Girls

ใต้ภาพหวานใสคือใจแข็งแกร่ง “BINKO” ILLUSTRATOR ที่เลือกแข่งกับตัวเองไม่ใช่คนอื่น

By: PSYCAT March 12, 2020

เราให้โอกาสคุณย้อนมองภาพ Cover คอนเทนต์นี้อีกรอบ คุณเห็นอะไร? มนุษย์ผู้หญิงหวานใสใต้ผมหน้าม้า สายตาคล้ายกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่าง ถ้าคุณมองเผิน ๆ คุณจะบอกว่าเธอคือ “ผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง” แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้นอีกนิดคุณจะรู้ว่าเธอคือ “BINKO” หรือ บิ๊งภาพฟ้า พุทธรักษา” Illustrator สาวฝีมือเก่งกาจหาตัวจับยาก มีผลงานวาดภาพประกอบ ศิลปะ รวมถึงทำบล็อกที่ใคร ๆ หลายคนติดตามอยู่ในขณะนี้

แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้นใต้ความเป็น Illustrator หน้าหวานใส ที่บางครั้งอาจดูนิ่ง ๆ มีเรื่องราวซ่อนอยู่อีกมากมาย เพราะการประสบความสำเร็จไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะกับ BINKO ที่เคยถูกสบประมาททั้งจากคนใกล้และไกลตัวว่าคนแบบเธอไม่เก่งพอจะวาดรูปได้แน่ ๆ

แต่เพราะเธอไม่เคยคิดว่าจะต้องแข่งกับใคร ความสามารถ ความพยายาม  และความตั้งใจที่จะมีชีวิตที่เป็นสุข เธอจะแข่งแค่กับคนคนเดียว คือตัวเธอเองเท่านั้น…

ทุกภาพวาดที่คนชื่นชม จุดเริ่มต้นมาจากเด็กสาวที่วาดรูปไม่เป็น

บางคนเชื่อในพรสวรรค์ บางคนเชื่อในพรแสวง คุณจะเชื่อในอะไรก็ได้ แต่หลายครั้งที่เราเห็นภาพวาดเทพ ๆ จากฝีมือ BINKO เรามักคิดว่านี่แม่งพรสวรรค์ชัด ๆ แต่ไม่ใช่ น้อยคนที่จะรู้ว่า Illustrator ที่ใคร ๆ ก็ยอมรับอย่างเธอไม่ได้เกิดมาวาดรูปสวยงามจับใจใคร ๆ ตั้งแต่เกิด แต่เธอเคยวาดรูปไม่เป็นมาก่อนต่างหาก

“บิ๊งเริ่มต้นจากตอนยังไม่ได้ลาออกจากโรงเรียน ชอบวาดรูปเล่นในห้อง เพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัย ฝึกวาดรูปติวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเดียวเลย โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะไปทำเป็นอาชีพ แต่ว่าพอตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพราะตั้งใจจะประหยัดค่าเทอม”

“ค่าเทอมแพง เรารู้สึกว่าเราสามารถตัดค่าใช้จ่ายก้อนนี้ได้ เพราะเรารู้ว่าเรามีความรับผิดชอบพอที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองได้ในช่วงนี้ เลยสอบเทียบวุฒิให้มันจบม.ปลาย แล้วเอาเวลาทั้งหมดที่จะไปโรงเรียน ไปฝึกวาดรูป เราอยากเป็นคนบริหารเวลาให้ตัวเอง จะได้รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรตอนไหน”

“เราเริ่มวาดเคส ตอนแรกวาดเพราะอยากใช้เองก่อน ตอนนั้นทั้งบีบี ทั้งไอโฟน เป็นของที่ฮิตมาก คนก็อยากจะหาเคสน่ารัก ๆ มาใช้ แต่มันก็มีแต่เคสแบบสีพื้น เราเลยเริ่มวาดให้เพื่อนเป็นของขวัญก่อน เพื่อนก็เอาไปโพสต์ เลยมีคนถามว่าซื้อที่ไหน? จนคนเริ่มแนะนำกันมา

“ตอนแรกเราไม่แน่ใจว่าจะขายได้ไหม เพราะว่าบิ๊งยังไม่ได้ทดสอบว่าทนทานกับการใช้งานแค่ไหน เราให้เพื่อนเป็นของขวัญเฉย ๆ ใช้เวลาเกือบ 2 เดือนทดสอบสีกับปากกาไปเรื่อย ๆ ว่าอันไหนที่เหมาะจะใช้งาน พอเราได้สีทุกอย่างหมดแล้ว เราถึงเริ่มเปิดออเดอร์ คนบอกปากต่อปากไปเรื่อยตอนนั้นคนตามในอินสตาแกรมพุ่งขึ้นไปประมาณแปดหมื่นถึงแสนคนภายในไม่กี่เดือน เพราะคนอยากเข้ามาดูว่าวันนี้เราวาดเคสอะไร จุดเริ่มต้นเป็นแบบนั้น”

“ปัญหารุมเร้า” แต่การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

“ครอบครัว” สำหรับใครหลายคนในวัย 16-17 ปี คือความมั่นคง คือที่พึ่ง คือความอบอุ่น ไม่ว่าโลกภายนอกจะเจ็บปวดและเลวร้ายแค่ไหน เรารูั้อยู่แก่ใจว่าเราจะกลับเข้าสู่อ้อมกอดของครอบครัวแสนอบอุ่นได้เสมอ แต่ไม่ใช่กับ BINKO เธอเคยมีทุกสิ่งเท่าที่ครอบครัวสมบูรณ์แบบจะมี แต่เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ และอยู่ที่ว่าเราเลือกรับมือกับเหตุไม่คาดฝันนั้นอย่างไร?

“ตอนนั้นบิ๊งประมาณ ม.4-ม.5 น่าจะอายุประมาณ 16-17  บิ๊งโตมาในบ้านที่ทุกอย่างค่อนข้างสมบูรณ์อะ ไม่ได้รวยมากแต่ว่าเราได้ทุกอย่างที่เราอยากได้ ความรัก ความอบอุ่นพร้อม เราเป็นลูกคนเดียวด้วย พอมาถึงจุดหนึ่งที่ทุกอย่างพลิกผัน เราก็ตั้งตัวไม่ทัน”

“แต่อายุเท่านั้นถือว่าโตแล้ว ไม่ใช่ตอนเด็กที่เราจะลืมอะไรง่าย ๆ รู้สึกว่าเราเอาความเศร้าที่มันเศร้ามาก ๆ มาคิดว่าวางแผนอนาคตจะทำยังไงให้ดีกว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนั้นอะ เราเศร้าขนาดที่ว่าย้ายออกไปอยู่คนเดียว เพราะว่าบ้านก็ไม่มีใครอยู่แล้ว” 

“แล้วบ้านก็อยู่นนทบุรี เวลาจะคุยงานหรือซื้อของเพื่อทำงานมันก็ไกล เราเลยไปเช่าคอนโดอยู่ตรงสาทร ไม่ไกลจากที่ที่เราซื้อของมาใช้ทำงาน การออกไปอยู่คนเดียวมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้เราอยู่บ้านตัวเอง แต่พออยู่คอนโดต้องมีความรับผิดชอบ ทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายของตอนนั้นที่เราอายุ 16-17 ถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา”

“เราให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรารู้สึกแย่ในตอนนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกใน 3 เดือน 5 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้าแน่นอน เราต้องทำอะไรก็ได้ให้ทุกอย่างดีขึ้น แล้วระหว่างทางนั้นก็ต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อพาตัวเองให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้”

เราต้องทำอะไรก็ได้ให้ทุกอย่างดีขึ้น แล้วระหว่างทางนั้นก็ต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อพาตัวเองให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้”

“ส่วนหนึ่งที่ผ่านมาได้ต้องยกความดีความชอบให้แมวเลย เหมือนเขามาอยู่เป็นเพื่อนเรา ทำให้เรารู้สึกว่าการที่เราเคยตัวคนเดียวไม่ต้องใส่ใจใครมาก พอมีเขา ทุกการตัดสินใจของเราคือการอยู่กินของเขาด้วย มันคือการรับผิดชอบชีวิต ทำให้เรามีกำลังใจและมีความรับผิดชอบมากขึ้นตอนนั้น”

“จริง ๆ แล้วตอนนั้นที่รู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิตัดสินใจในชีวิตตัวเอง เพราะเราไม่ได้ขอเงินที่บ้านใช้ รู้สึกว่าถ้ายังขอเงินเขาใช้ ยังต้องพึ่งพาที่บ้านอยู่ เขาเองก็มีสิทธิที่จะออกความเห็น เรื่องการเลือกทางเดินของเรา

แต่บิ๊งตัดสินใจแล้วว่าตอนนั้นบ้านมีปัญหาหลาย ๆ อย่างด้วย เรามองว่าถ้าเราอยู่เฉย ๆ จะไม่มีอะไรดีขึ้น อยู่เฉย ๆเปอร์เซ็นที่จะดีขึ้นคือศูนย์

แต่ถ้าเราลองทำมันก็ยังเป็นห้าสิบ เลยคิดว่าเราเลือกแล้วว่าเราจะทำแบบนี้ โดยที่เราจะไม่ขอเงินที่บ้านหรือรบกวนเขาเลย แต่เราจะขอลองในสิ่งที่เราอยากลองทำเองดู เป็นพลังใจล้วน ๆ เลย ยากเหมือนกันที่ต้องผ่านอะไรมา”

“บิ๊งเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือยเลย ตอนนั้นเราประหยัดโดยที่เราไม่ฝืน เราไม่ได้อยากได้อะไรมากอยู่แล้ว เราแค่มีเงินเลี้ยงแมว มีเงินซื้อสีก็โอเคแล้ว ได้เห็นคนชอบของเรา ซื้อของเราไปใช้ ความสุขมันคือเวลาเราเห็นคนใช้ของเรา ใช้เคสโทรศัพท์เรา ใช้กระเป๋าที่เราออกแบบ เราก็ยิ้มได้แล้ว”

“ช่วงนั้นถ้าเกิดรายได้ที่ทำอยู่ไม่พอ บิ๊งก็จะคิดว่าช่วงนั้นคนต้องการอะไรอีก อย่างตอนที่บิ๊งขายอย่างเดียวแล้วกราฟมันเคยเป็นอย่างนี้แล้วมันพุ่งลงมา ลูกค้าบิ๊งเป็นเด็กวัยมัธยมเขาใช้อะไรบ้าง ซึ่งมันเป็นอายุที่ใกล้เรา เราก็ยังพอเข้าใจได้ จะบอกว่าเป็นคนรอบคอบก็ได้ เพราะว่าจะคิดเผื่ออนาคตตลอดว่าถ้ามันแย่จะเกิดอะไรขึ้น จะพยายามหาทางซัพพอร์ตรอไว้ล่วงหน้า เวลาล้มจะได้ไม่เจ็บหนักมาก”

“ได้ดีเพราะฟอลโลเวอร์เยอะ?” ยิ่งถูกสบประมาท ยิ่งฝึกฝน

เพราะความเป็นจริงไม่เหมือนในนิยาย แม้ BINKO จะเด็ดเดี่ยวและเลือกทางเดินอย่างที่ตัวเองหวังด้วยการลาออกจากการศึกษาภาคปกติ และตัดสินใจอาศัยอยู่คนเดียว แต่ชีวิตก็ยังมอบบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ให้เธอ แม้เธอจะหาเงินได้ มีคนติดตามจำนวนมากที่ติดตามเธอเพราะอยากเห็นผลงานของเธอในแต่ละวัน แต่ก็ไม่วายถูกสบประมาทว่าได้ดีเพราะฟอลโลว์เวอร์ ไม่ใช่เพราะศักยภาพของเธอเอง

“บิ๊งเริ่มต้นจากวาดรูปไม่เป็นเลย แต่เราอยากทำอาชีพที่เกี่ยวกับการวาดรูป ที่บ้านก็บอกว่าบิ๊งอะไม่มีทางที่จะหาเงินจากการวาดรูปเพื่อเลี้ยงชีพได้

ไม่รู้ว่าอะไรข้างในใจเราที่ทำให้รู้สึกว่าทำไมเราทำไม่ได้แล้วเราจะทำไม่ได้ตลอดไป? ทำไม่ได้วันนี้ พรุ่งนี้อาจจะทำได้ก็ได้ เลยคิดว่าทุกอย่างมันฝึกได้ บิ๊งเลยเริ่มฝึกวาดรูป ทำมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ที่เริ่มฝึกวาดรูปตอนนี้ก็ประมาณ 6-7 ปีแล้วค่ะ แต่จนมาถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ายังต้องฝึกต่อไปอยู่ดี”

“ตอนที่บิ๊งวาดตอนแรก งานตอนนั้นแย่มาก แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่ช่วยทำให้เรารู้ตัว ทั้งคนที่วาดรูปด้วยกันหรือคนในวงการ บิ๊งเคยได้ยินคำพูดมาบ้างว่า บิ๊งอาจจะไม่ได้เป็นบิ๊งในวันนี้ก็ได้ ถ้าบิ๊งไม่ได้มียอดฟอลโลเวอร์เยอะแบบนี้ เขามองว่าเราฝีมือไม่เอาไหน แต่ว่าเรามีคนติดตามในโซเชียลมีเดีย เลยทำให้คนสนใจเรา”

“คำพูดพวกนี้วนอยู่ในหัวตลอด เราคิดว่าเราไม่ดีพอหรอ กับโอกาสที่เราได้รับ? เลยเป็นแรงผลักดันทำให้เราอยากเก่งขึ้นในทุก ๆ วัน”

“นับว่าเป็นความโชคดีก็ได้เพราะจังหวะกับโอกาสมาพร้อมกัน ถ้าอาศัยแค่ความพยายามเราอย่างเดียว แต่ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้น จังหวะนั้น เราก็อาจจะไม่เป็นเราในวันนี้”

“ตอนนั้นบิ๊งไม่มีปลายทาง เพราะบิ๊งไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริง ๆ กลัวว่าถ้าตัวเองปักเป้าหมายไว้แคบเกินไป จะทำให้ผิดหวังที่ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะสุดท้ายแล้วอะไรมันก็ต้องเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่ว่าบิ๊งมีธงที่ปักไว้ว่าเราต้องมีชีวิตที่มีความสุข มันคือธงนั้น”

บิ๊งไม่ได้คิดว่าบิ๊งจะต้องมีอาชีพอะไร หรือทำอะไร บิ๊งแค่อยากมีความสุขในทุก ๆ วัน ตอนนั้นมีสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่เยอะมากพอแล้ว ความฝันของเราคือแค่มีความสุข เลยคิดว่าระหว่างทาง เราจะทำยังไงให้เรามีความสุข สุขภาพดี มีครอบครัว มีคนรักที่ดี มีแมว ได้ทำงานที่ตัวเองมีความสุข เลยทำให้รู้สึกว่าตอนอายุ 16-17 ความสุขเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก เลยทำให้เรามาถึงจุดนี้”

ท้อก็แค่พัก เพราะเราแข่งกับตัวเองไม่ใช่คนอื่น

ไม่เคยมีใครไม่ท้อ ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน หรือดูดีในสายตาคนจำนวนมากเพียงใด BINKO เองก็เช่นกัน แม้ในสายตาคนนอกเธอจะประสบความสำเร็จล้นหลาม และมีฝีมือวดภาพโดดเด่นหาตัวจับยาก แต่ก็ไม่วายถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงอยู่ดี

แต่การถูกวิจารณ์ไม่สำคัญเท่าที่ว่าเธอรับมือกับคำวิจารณ์เหล่านั้นอย่างไร?

“เฮ้ย ทำไมล่ะ? ทำไมเขาถึงมองเห็นแต่จำนวนฟอลโลเวอร์หรือคนที่เป็นกำลังใจให้เราเป็นแค่เครื่องมือหรือเป็นทางผ่าน ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น? ไม่คิดบ้างหรอว่าเรามาถึงจุดนี้ได้เพราะเราได้กำลังใจตรงนี้มาทำให้เราเก่งขึ้น?”

“ตอนนั้นบิ๊งรู้สึกเซ็งถึงขั้นว่าไม่อยากวาดรูปต่อ หยุดวาดรูปไปเกือบครึ่งปี เพราะรู้สึกว่าพยายามไป สุดท้ายไม่สามารถเลี่ยงให้คนมองแบบนี้ได้อยู่ดี แต่ว่าช่วงครึ่งปีที่บิ๊งหยุดไป บิ๊งไปพักผ่อนแบบร้อยเปอร์เซ็นเลย มีเงินเก็บอยู่บ้าง เลยลองไปเที่ยวไปที่ที่อยากไป ไปประเทศที่ไม่คิดว่าเราจะอยากไป”

ตอนนั้นเลือกไปอินเดีย ไปหิมาลัย ถ้าเราได้ไปอยู่ในที่ที่เราไม่เคยรู้จักหรือสนใจมาก่อน ไม่รู้มันมีพลังใจจากไหนที่ทำให้เราอยากกลับมาวาดรูป เหมือนเราได้ไปอยู่ในธรรมชาติที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กนิดเดียว คล้าย ๆ ว่าวางเรื่องความเห็นของคนอื่นไปได้พอสมควรภายใน 10 วันที่ไปอยู่ที่นั้น แค่ 10 วันก็กลับมาพร้อมวาดรูปต่อ วิธีคิดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ”

“การเดินทางหรือไปเจอคนใหม่ ๆ คนที่เราไม่รู้จัก จำเป็นกับชีวิตการทำงานของเราเหมือนกัน ทำให้วิธีคิดเราเริ่มเปลี่ยนไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้มองว่าใครจะพูดยังไงก็ไม่เป็นไร เอามาทำให้มันดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเอาชนะเขาหรือทำให้เขาเปลี่ยนความคิด ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองกว่าตอนนั้นก็พอ”

“จำได้เลยรูปแรกที่กลับมาวาดคือเอารูปภูเขาที่ถ่ายที่อินเดีย มาวาดรูปเติมเข้าไป แต่ก่อนบิ๊งวาดรูปคนแบบ 2D คือเป็นรูปคนแบบไม่มีมิติหรือแสงเงา เพราะว่าตอนที่เราฝึกวาดรูป เราฝึกแค่ลายเส้น แต่ไม่รู้ทฤษฎีของแสงเงา ทำให้ตอนนั้นรูปเราไม่มีมิติหรือไม่มีชีวิต

แต่พอไปที่อินเดียแสงที่มันตกกระทบภูเขา ทำให้มันดูมีชีวิตจังเลย ก็กลับมาฝึกอ่านเรื่องแสง หรือฝึกลองลงสีที่ทำให้ภาพดูมิติมากขึ้น รูปนั้นเลยเป็นรูปแรกที่กลับมาลองวาด แล้วเป็นรูปแรกที่เราฝึกเรื่องแสงเงาด้วย”

“ทุกครั้งเราจะเปรียบเทียบงานตัวเองกับงานเก่าของตัวเอง จะไม่เปรียบเทียบกับใคร เราดูว่าเราทำได้ดีขึ้นจากเมื่อวานหรือเปล่า เราเป็นคนชอบแข่งขัน แต่ว่าแข่งขันกับตัวเอง เพราะการเห็นพัฒนาการของตัวเอง เราได้ทบทวนไปด้วย”

“เราเป็นคนชอบแข่งขัน แต่ว่าแข่งขันกับตัวเอง

จากวันนั้นสู่วันนี้ ยิ่งวาดก็ยิ่งเยียวยาตัวเอง

แม้ว่าคำวิจารณ์ และคำสบประมาทจะเคยโบยตี BINKO จนเลือดซิบ ๆ แต่การรู้จักตัวเองมากพอ ก็ดึงเธอขึ้นมาจากหลุมดำมืดมิดนั้นได้อย่างหมดจรด ดังนั้นการวาดรูปสำหรับเธอจึงไม่ใช่การพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไป แต่การวาดรูปคือการเยียวยา คือความสุขที่ไม่ต้องทำเพื่อใครที่ไหน แต่ทำเพื่อตัวเธอเอง

“สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือวิเคราะห์ตัวเอง คุยกับตัวเองมากที่สุดตอนนั้น ตอนแรกก็แพ้บ้างนะคะ มันไม่ไหวจริง ๆ เราตัวคนเดียว แบบตัวคนเดียว สุดท้ายแล้วเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองดิ่งนาน เพราะธงที่เราปักไว้มันคือการมีความสุข ถ้าเรายอมตอนนี้ เราจะไปไม่ถึง เราร้องไห้บ้าง เศร้าบ้าง แต่สุดท้ายก็พยายามต่อให้เก่งขึ้นและทำให้มีงานเข้ามา เพื่อจะไปถึงปลายทางที่ตั้งใจไว้”

ธงที่เราปักไว้มันคือการมีความสุข ถ้าเรายอมตอนนี้ เราจะไปไม่ถึง

“เราเป็นคนพยายาม เราไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่เราเชื่อมั่นในตัวเอง บิ๊งมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่เราไม่ได้เชื่อว่าตัวเองเก่งแล้ว แต่เชื่อว่าตัวเองจะเก่งขึ้นมากกว่านี้ มันเลยทำให้เราขยับขึ้นมา อาจจะเป็นก้อนเล็ก ๆ แต่ว่าเราก็จะเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ”

“เรามองทุกอย่างในแง่ดีมากขึ้น เรื่องวิธีคิดเลยสำคัญ เมื่อก่อนเราวาดรูปเพราะเราคิดว่ามันคืออาชีพ ต่อมาเราวาดรูปเพื่อลบคำสบประมาท เราไม่เคยมีเวลาให้เราได้วาดรูปเพื่อความสุขของตัวเองเลย

จนกระทั่งเราเริ่มปล่อยวางจากความคิดเห็นลบๆ เลิกสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง เรามีเวลาได้สนใจว่าเราได้วาดรูปเพื่อความสุขของตัวเองยังไงบ้าง หรือคิดว่าการวาดรูปบำบัดอะไรเราบ้าง วิธีคิดแค่นี้มันปลี่ยนการทำงาน หรือการดำเนินชีวิตเป็นสเต็ปๆได้หมดเลยอะค่ะ ใช้เวลาเจ็ดแปดปีกว่าที่จะมาเป็นแบบนี้”

“แพสชันเป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด สมมติถ้าเรามีความรักที่จะทำ แต่ว่าเราถอดใจหรือว่าเราไม่มีปลายทางอื่นที่ชัดเจน สมมติว่าวันหนึ่งเราหมดแพสชั่น หรือมีวันที่เบาลงหรือวันที่มันขึ้นมา เหมือนพลังงานการใช้ชีวิต แล้ววันนึงมันหายไป เราก็จะไม่เหลือทางเดินสำรองเลยอย่างที่บอกคือทางหลักของบิ๊งคือความสุขที่ปลายทาง แพสชั่นเป็นตัวซัพพอร์ตดันเราให้ไปข้างหน้า”

“มันเริ่มจากการทำสิ่งที่เรารักโดยไม่ฝืน เพราะงั้นถ้าวันนึงแพสชันหายไป มันไม่ได้ดับมอดไป มันแค่เบาลง แล้วมันก็จะติดขึ้นใหม่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือสิ่งที่เรารักมันก็ไม่หายไปไหน

เคยลองทำในสิ่งที่ไม่ได้ชอบขนาดนั้น เสอีกสักพักก็รู้สึกว่าไม่ได้มีแรงใจในการทำต่อแล้ว เพราะไม่ได้ชอบขนาดนั้น เพราะงั้นบิ๊งว่า คนเราควรจะทำในสิ่งที่คิดว่าจะทำมันไปได้จนแก่ แล้วเราไม่เบื่อมัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มันก็ทำได้ยาวๆ”

เมื่อไม่มีโอกาส ต้องหาโอกาสให้ตัวเอง

เพราะชีวิตมนุษย์ไม่ว่าคนไหน ไม่เคยมีอะไรราบรื่นสมบูรณ์แบบ ชีวิตของ BINKO ก็เช่นกัน ใคร ๆ อาจคิดว่าหนทางของเธอช่างงดงามและโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ภ่ยใต้กลิ่นหอมยวนใจของกุหลาบ และสีสันสดใสของกุหลาบ ย่อมเต็มไปด้วยความปวดเจ็บและหนามแหลมคม

สิ่งสำคัญของการเผชิญหน้ากับหนามแหลมคมในฐานะอุปสรรคของ BINKO ก็คือต้องไม่ยอมแพ้มัน

“คนอาจจะชอบตัดสินจากลุคบิ๊งในอินสตาแกรม จากการแต่งตัว คิดว่าบิ๊งเป็นคนขรึม ๆ ดึง ๆ นิ่ง ๆ แต่จริง ๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ บิ๊งเป็นคนอ่อนไหว ขี้แงมาก คำพูดแค่นิดเดียวหรือคอมเมนต์ที่คำคิดว่าบิ๊งผ่านมันมาได้ยังไงเนี่ย? จริง ๆ ร้องไห้มาแล้วกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่รู้? แต่ก็ต้องผ่านไปอยู่ดี”

“อีกเรื่องที่คนมองว่าบิ๊งโชคดี ที่บอกไปตอนแรกว่ามันคือจังหวะกับโอกาสที่เราได้รับ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากโชคอย่างเดียว เราสามารถสร้างมันขึ้นได้ด้วยตัวเอง ในวันที่เราไม่ได้รับโอกาส เราต้องสร้างโอกาสให้ตัวเอง”

“ในวันที่เราไม่ได้รับโอกาส เราต้องสร้างโอกาสให้ตัวเอง”

“ช่วงที่บิ๊งไม่มีงาน บิ๊งจะรอให้งานเข้าหาอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องเข้าหางานเองด้วย เราทำยังไง เราส่งโปรไฟล์ไปที่นู่นที่นี่ ให้เขามองเห็นเรา คือบิ๊งไม่เคยอยู่เฉย ๆ เพื่อรออย่างเดียว ทุกคนเห็นเรามีชีวิตใช้จ่ายดี กินดีอยู่ดี แต่กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ ทุกคนต้องมีอุปสรรคอยู่แล้ว ไม่อยากให้มองว่าทุกเส้นทางคือความสวยหรู หรือความโชคดีอย่างเดียว”

“มีวันที่เรายังไม่รู้เรื่องการจ่ายเงินเพราะเรายังเด็ก การทำงานกับบริษัทใหญ่ ต้องรอ 30 วัน 60 วัน เราเคยแคะกระปุกเพื่อกินข้าว อาหารตามสั่งหลังคอนโด เพราะเงินมันหมดแล้วจริง ๆ มันมีค่าคอนโดรออยู่แล้ว 20,000  

แต่ว่าเราจะกินข้าวในทุก ๆ วัน อีก 60 วัน เราจะบริหารเงินที่มีอยู่ยังไง? เหมือนตอนเด็ก ๆ ฝึกให้เราเข้มแข็ง จากสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราต้องเจอในอายุแค่นั้น เป็นความโชคดีก็ได้นะ เป็นความโชคดีที่ทำให้เราเจอเรื่องแย่ ๆ ให้เราได้แข็งแกร่งขึ้น”

“เราเคยแคะกระปุกเพื่อกินข้าว อาหารตามสั่งหลังคอนโด เพราะเงินมันหมดแล้วจริง ๆ

“พอมาถึงตรงนี้บิ๊งจะพยายามมองทุกอย่างในแง่ดี เหมือนเป็นคนมองโลกในแง่ดีไปเลย ทุกครั้งที่มีงานที่ไม่ใช่เราเลย หรือโดนแก้ ดราจะคิดว่ามันคือโอกาสที่ทำให้เราได้ฝึกงานแนวอื่น”

“ล่าสุดบิ๊งออกแบบคอลเลกชันชุดชั้นในให้แบรนด์หนึ่ง ปกติบิ๊งจะเป็นคนทำสีเอิร์ธโทนหรือโทนหม่น ๆ แต่แบรนด์อยากให้ทำเป็นสีพาสเทล บิ๊งตื่นเต้นมาก หาข้อมูลแพนโทนพาสเทลว่าอันไหนคือโทนเรา? หยิบมาทีละอันทีละอัน เริ่มหาไอเดียว่าที่วาดรูปแนวนี้จะทำรูปให้เป็นสีพาสเทลแล้วเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นม.ต้น หรือ ม.ปลายยังไง? สนุกในช่วงรีเสิร์ชค่ะ ยิ่งโดนเปลี่ยนสไตล์งาน ยิ่งโดนแก้ ยิ่งรู้สึกว่าได้ฝึกรับมือกับสไตล์ใหม่”

“บางทีบิ๊งใช้น้ำหอมขวดหนึ่ง แล้วรู้สึกอยากทำงานกับน้ำหอมยี่ห้อนี้ เพราะเราอยากเห็นน้ำหอมที่เราชอบเป็นแบบนี้ สมมตินะคะ เราก็จะร่าง Proposal ทำ Presentation ไปนำเสนอว่าอันนี้เป็นแค่ไอเดีย เป็นแบบนี้ ๆ เราสามารถร่วมงานกันได้ไหม?

หรือเป็นการร่วมงานกันในแบบไหนได้บ้าง บิ๊งรู้สึกว่ามันเปิดกว้างตรงที่ว่าเรามีโซเชียลมีเดียในมือ เราสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ ลูกค้าแต่ละแบรนด์มีแอคเคานต์เป็นของตัวเอง เราสามารถส่งข้อความไปหาเขาได้ เริ่มจากแนะนำตัวเองก่อนว่าเราทำอะไรมาบ้าง เราเป็นใคร เราชอบหรือรู้สึก มีความเห็นยังไงกับของของเขาที่เราได้ ทำให้เกิดไอเดียนี้ เราก็ลองเสนอไอเดียนี้”

“สุดท้ายแล้วไม่ว่าเขาจะสนใจหรือไม่สนใจ เขาก็ได้เห็นงานเราผ่านตาแล้ว ปกติเขาอาจจะไม่เคยได้เห็นก็ได้ บิ๊งรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสียเวลาในการแลกมากับการให้คนได้เห็นงานเรามากขึ้น

เวลาบิ๊งลงรูปในอินสตาแกรมหรือการลงโปรโมตให้แบรนด์สักอย่าง คนคิดว่าต้องได้ค่าตอบแทนแน่เลย แต่บิ๊งรู้สึกว่าบางทีบิ๊งชอบในงานนั้นจริง ๆ และบิ๊งลงของสิ่งนั้น บิ๊งวาดรูปเข้าไป แล้วบิ๊งแท็กแบรนด์เพื่อโปรโมทสิ่งนั้น โดยที่เราไม่ได้รับค่าตอบแทน

บิ๊งรู้สึกว่าค่าตอบแทนมันไม่ใช่แค่เงิน มันคือการที่คนได้เห็นงานเรามากขึ้น หรือแบรนด์ที่ไม่เคยรู้จักเราได้เห็นงานเรา นี่คือการเข้าหาแบรนด์ลูกค้าของบิ๊ง”

“บิ๊งว่าเราโชคดีที่เกิดมาในยุคสมัยนี้ เรามีโซเชียลมีเดียอยู่ในมือ เมื่อก่อนเราต้องไปจ้างคนเพื่อลงโฆษณาหรือสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ตอนนี้เราสามารถเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง บิ๊งเชื่อว่าทุกคนใช้โซเชียลมีเดียได้เก่งอยู่แล้ว ปรับออกมาให้เป็นผลงานของเราได้เลย

เวลาวาดอะไรไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาให้ความเห็นลบ ๆ ลงไปเลย ลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเอาผลตอบรับมาปรับใช้กับงานเรา บิ๊งเห็นคนที่เป็นยูทูบเบอร์ บางทีคอมเมนต์ในยูทูปอาจจะทำให้เหนื่อย หรือรู้สึกบั่นทอน ตัดกำลังใจ เราเสียใจแป๊ปเดียวก็พอ แล้วเอาสิ่งนั้นมาทำให้งานของเราดีขึ้น วันหนึ่งเราก็จะทำได้โดยที่รู้สึกว่าไม่ว่าใครจะพูดอะไร เราก็ยังจะเชื่อมั่นในผลงานตัวเอง และมีความสุขก็พอ”

ขอบคุณคอมเมนต์ทั้งที่แย่ และที่ดี ทุกคอมเมนต์คือแรงผลักดัน

แรงผลักดันของคุณมาจากอะไร? แรงบันดาลใจ แพสชัน เป้าหมายที่จะมีความสุข มนุษย์เรามีแรงผลักดันหลายรูปแบบ นอกจาก BINKO จะปักธงสูงสุดไว้ในใจว่าเธออยากจะมีความสุข แต่สิ่งหนึ่งที่เธออยากขอบคุณ (แม้จะเป็นคำขอบคุณในรูปแบบต่างกัน) คือความคิดเห็นทั้งดีและแย่ที่มอบให้กับเธอ

“ขอบคุณ มันเศร้าแต่มันก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่คอมเมนต์แย่ ๆ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เมื่อก่อนบิ๊งเป็นคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เวลามีคนคอมเมนต์อะไรแย่เรารู้สึกว่าเราไม่ควรจะต้องเจออะไรแบบนี้ เราต้องสู้กลับ บิ๊งก็จะคอมเมนต์ถามกลับว่าทำไม? บางทีก็แก้ต่างให้ตัวเองบ้าง สู้เพื่อตัวเองบ้าง”

“แต่ว่าสุดท้ายแล้วบิ๊งว่ามันไม่จำเป็น ถ้าเขาจะคิดแบบนั้นเราก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนอะไรเขาได้ นอกจากแค่เอามาเป็นแรงผลักดันให้เราไปทำอย่างอื่นที่ดีต่อไป ไม่ต้องสนใจแต่สิ่งแย่ ๆ”

แต่เราจะทำแต่สิ่งดี ๆ เพื่อคนที่เขามีความเห็นดี ๆ หรือเขาชอบเรา บิ๊งรู้สึกว่าจุดดำบนกระดาษขาวมันชัดกว่าเสมอ ทำไมเราไม่มองพื้นที่กระดาษขาวที่เหลือ เรามองแค่จุดดำจุดเดียวบนกระดาษ ตอนนี้บิ๊งรู้สึกว่าบิ๊งสามารถมองข้ามจุดดำไปได้แล้ว โดยมาสนใจแค่พื้นที่บนกระดาษขาวที่เหลือว่าเขาซัพพอร์ตเรายังไงมากกว่า”

“คอมเมนต์ที่ดีก็ขอบคุณเหมือนกัน แต่เป็นขอบคุณในอีกรูปแบบหนึ่ง บิ๊งมีคนที่ซัพพอร์ทตั้งแต่ที่บิ๊งอยู่ม.ปลาย ในขณะที่บางคนอยู่แค่ประถมเองตอนนั้น แม่ก็พามาอีเวนต์ที่บิ๊งวาดรูป เพราะอยากมาดูเรา และมาขอให้เราบอกเขาให้ตั้งใจอ่านหนังสอบ คนที่ซัพพอร์ตเรา มีทุกวัยตั้งแต่ประถม ยันผู้ใหญ่ที่โตกว่าเรามาก ๆ บิ๊งว่าบิ๊งได้รับความรักกับกำลังใจที่ท่วมท้นมาก ทำให้บิ๊งมีทุกวันนี้”

“เราอยากไปตบบ่าตัวเองตอนยังเด็ก แล้วบอกว่าทำได้ดีละ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเศร้าบ้าง และต้องแพ้หรือเจออะไรที่ไม่คาดคิด แต่เราทำดีแล้วที่ลุกมาเดินต่อ ถ้าวันนั้นยังนอนอยู่ที่เดิมก็คงไม่มีวันนี้”

ทุกคนมีหนทางของตัวเอง ทางที่ดีของเราอาจไม่ใช่ทางที่ดีของคนอื่น

แม้ใคร ๆ จะมองว่าวันนี้ BINKO เลือกทางที่ถูก ทุ่มให้สิ่งที่เชื่อหมดใจ เลือกทางเดินเด็ดเดี่ยว แม้ต้องออกจากการศึกษาภาคปกติ หรือออกจากบ้านเพื่อมาอยู่ลำพัง แต่เธอไม่เคยบอกใครว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องที่สุด เราทุกคนล้วนมีหนทางเป็นของตัวเอง

ทางที่เหมาะกับเธอที่สุด จึงไม่ได้หมายความว่าเธออยากแนะนำให้คนอื่นทำตาม เพราะเธอมองว่าเราแต่ละคนล้วนมีหนทางที่แตกต่างเป็นของตัวเอง

“พูดถึงเรื่องการเลิกเรียนก่อน ถ้าคิดตามว่าการออกจากมหาวิทยาลัยหรือการออกจากโรงเรียนคือสิ่งที่ดีที่สุด บิ๊งอยากบอกว่าไม่ใช่ มีสิ่งที่บิ๊งต้องยอมแลกไปด้วยเหมือนกัน ในที่นี้คือแต่ละคนมีวิธีการที่ทำงานหรือการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน บิ๊งชอบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่บางคนอาจจะเหมาะกับการเรียนรู้ที่มีคนแนะนำ หรือชี้นำให้ ซึ่งอาจเกิดผลดีกับเขามากกว่า”

“อย่างแรกคืออยากให้ทำความรู้จักตัวเองก่อน บิ๊งเชื่อว่าการใช้ชีวิตคือการเอาตัวเองไปอยู่ให้ถูกที่ หลังจากที่เราผ่านสเต็ปนี้แล้ว แล้วเรารู้ว่าเราอยากทำอะไรจริง ๆ เราลุยเลย ถ้าเรารอหรือเราคิดว่ามันจะเกิดผลอะไรหรือเปล่ามันจะไม่ได้ทำสักที สิ่งที่บิ๊งทำมาตลอดคือคิดแล้วทำเลย

แต่ต้องคิดเผื่อด้วยว่าถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดจะเสียหายแค่ไหน บิ๊งจะเลือกทำในสิ่งที่เรารับมือกับความเสียหายไหว ไม่ใช่ลงแล้วไม่เหลืออะไรเลย ก็ไม่ใช่เพลย์เซฟแต่อยากให้คิดเผื่อทางออก ไม่อยากให้ลงทุนจนหมดหน้าตัก”

ถึงวินาทีนี้ คุณอาจจะย้อนกลับไปมองภาพ Cover ของคอนเทนต์นี้อีกหนึ่งรอบ หรือจะย้อนดูรูปทุกรูปของเธอ เรามั่นใจว่าคุณจะไม่ได้เห็น BINKO เป็นแค่ผู้หญิงหน้าตาหวานใส แต่คุณจะเห็นตัวตนแข็งแกร่ง จิตใจมุ่งมั่น และประสบการณ์ที่บ่มเพาะออกมาให้เธอเป็นเธอ

เพราะเบื้องหน้าคือความสำเร็จ แต่เบื้องหลังคือทุกอณูที่เธอสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเธอเอง (แน่นอนว่าหลอมรวมกับแรงใจจากใครหลาย ๆ คน ซึ่งเธอก็ไม่เคยลืมมัน) นั่นคือเหตุผลที่เรายกให้เธอเป็น THE REAL ของเรา

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line