Entertainment

ULM PLAYLIST: 10 เพลงบ่งบอกตัวตนของ Adele สุดยอด Diva ผู้ทรงอิทธิพลแห่งโลกดนตรียุคปัจจุบัน

By: Chaipohn November 2, 2021

สาวช้ำรักผู้มูฟออนความชอกช้ำเป็นวงกลม เปลี่ยนประสบการณ์เศร้าหมองให้กลายเป็นบทเพลงสุดฮิต ULM Playlist เดือนนี้มาทำความรู้จักกับ Adele ผ่าน 10 บทเพลงที่เป็นตัวตนของเธอ เพื่อต้อนรับอัลบั้มใหม่ชุดที่ 4 “30” ที่จะให้ฟังกันในเดือนพฤศจิกายนนี้

Hometown Glory

Round my hometown
Memories are fresh
Round my hometown
Ooh the people I’ve met
Are the wonders of my world
Are the wonders of my world
Are the wonders of this world
Are the wonders of my world

บทเพลงประเดิมอาชีพการเป็นนักร้องของ Adele ท่ามกลางจุดเปลี่ยนสำคัญของการตัดสินใจของเธอ หลังจากที่แม่ของเธอขอร้องให้เธอเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัย ในขณะที่ความรักชอบในการร้องเพลงของเธอกำลังฉายแวว

เธอจึงใช้เวลาเพียง 10 นาที เขียนบทเพลงประท้วงเล็กๆ เพื่อบอกถึงทางที่เธอตัดสินใจเลือก นั่นก็คือการเลือกอาชีพนักร้องนั่นเอง ขณะที่ในตอนนั้นเธออายุเพียง 16 ซ้ำยังเป็นสาวพลัสไซส์ที่ไร้ซึ่งเสน่ห์ ทุกๆคนในบ้านไม่มีใครเห็นด้วย แต่เธอก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คนในบ้านกำลังดูแคลนตัวเธอนั้นคือแรงผลักดันสำคัญที่พาให้เธอไปให้สุดทาง

และเพียงบทเพลงแรกก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของน้ำเสียงอันทรงพลัง เนื้อเพลงที่เสมือนเป็นความผูกพันในความทรงจำระหว่างเธอกับสถานที่ นั่นคือบ้าน คลอเคล้าไปด้วยเสียงเปียโนชวนเหงา นำพาให้ทุกคนต่างตกตะลึงในพลังเสียงของสาวน้อยมหัศจรรย์ของเธอ


Chasing Pavements

Should I give up,
Or should I just keep chasing pavements?
Even if it leads nowhere,
Or would it be a waste?
Even If I knew my place should I leave it there?
Should I give up,
Or should I just keep chasing pavements?
Even if it leads nowhere

ประสบการณ์อกหักเมื่อจับได้ว่าแฟนนอกใจ กลับกลายเป็นบทเพลงที่แจ้งเกิด Adele อย่างเต็มตัวอย่างเหลือเชื่อ เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อเธอรับรู้ว่าอดีตแฟนเธอกำลังอยู่ในผับกับกิ๊ก

“ฉันเดินตรงไปที่ผับแห่งนั้น ที่เขากำลังอี๋อ๋อกับกิ๊ก แล้วเดินตรงไปต่อยหน้าเขาอย่างจัง จากนั้นฉันถูกรปภ.ไล่ออกจากผับ ขณะที่ฉันกำลังเดินออกมาด้วยความเสียใจที่ถนน วลี ‘Chasing Pavements’ ก็ผุดขึ้นมา ฉันหยิบมือถือแล้วฮัมๆจนได้ท่อนหนึ่งขึ้นมา และในวันรุ่งขึ้นฉันก็แต่งเพลงนี้จนเสร็จ” Adele เล่าถึงที่มาและเบื้องหลังของเพลงแจ้งเกิดของเธอให้ Rolling Stone ฟัง

บทเพลงที่ทำให้ยอดขายในระดับ 2 แพลทตินัม ทั้งในฝั่ง UK และ US และทำให้เธอคว้ารางวัล Best Female Pop Vocal Performance จากเวที Grammy Awards ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องมองสาวน้อยคนนี้ทันที และแฟนเก่าของเธอต้องมองอย่างเสียดายที่เลิกรากับเธอไปอย่างแน่นอน


Make You Feel My Love

When the evening shadows and the stars appear
And there is no one there to dry your tears
Oh, I hold you for a million years
To make you feel my love

Make You Feel My Love ถือเป็นบทเพลงเพียงไม่กี่เพลง ที่ Adele ยอมคัฟเวอร์ เพราะเธอรู้สึกว่าความสามารถในการแต่งเพลงของเธอนั้นยังมี เธอไม่อยากจะเกาะความสำเร็จใครเพื่อดัง “ฉันค่อนข้างที่จะต่อต้านมัน เพราะฉันไม่อยากให้อัลบั้มชุดแรกของฉันมีเพลงคัฟเวอร์ของใครอยู่ในนั้น…มันบ่งบอกว่าฉันมีความสามารถไม่มากพอกับอัลบั้มของฉัน”

แต่แล้วผู้จัดการของ Adele ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของศิลปินในตำนานอย่าง Bob Dylan ก็คะยั้นคะยอให้ Adele ร้องเพลงๆนี้ให้ได้ จนเมื่อเธอฟัง เธอก็เปลี่ยนใจยอมร้องและบรรจุบทเพลงนี้ลงในอัลบั้ม Make You Feel My Love เพลงที่สร้างมาตรฐานยุคใหม่ให้กับเทพเจ้าหัวฟู Bob Dylan ที่โดดเด่นในเนื้อหาที่อุปมาความรักได้งดงามราวกับบทกวีที่มีท่วงทำนองนี้ เมื่ออยู่ในน้ำเสียงของ Adele สาวผู้ชอกช้ำในความรักก็ยิ่งทำให้พลังของบทเพลงนี้ยิ่งใหญ่มากขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์


Rolling in the Deep

We could have had it all,
Rolling in the deep,
You had my heart inside of your hand,
And you played it to the beat,

และเพียงอัลบั้มชุดที่ 2 “21” Adele ก็ได้สร้างสถิติใหม่ให้ทุกคนต้องหันมามองเธอ เมื่อเพลง ‘Rolling in the Deep’ ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ท Billboard ได้อย่างสมศักดิ์ศรี แถมในปีนั้นเธอยังคว้ารางวัลใหญ่บนเวที Grammy Awards อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Record of the Year, Song of the Year ไปจนถึง Best Short Form Music Video

โดยที่มาของเพลงนี้ก็มาจากการเลิกราของเธอกับแฟนเก่า (อีกแล้ว) โดยเธอร่วมเขียนเพลงนี้กับ Paul Epworth “ฉันยอมรับว่าฉันอารมณ์เสียและโกรธมากๆกับการเลิกราในครั้งนั้น ฉันจึงบอก Paul ว่า ‘Paul เรามาเขียนเพลงบัลลาดช้ำรักกันเถอะ’ แต่เขากลับตอบกลับมาว่า ‘จะเขียนเพลงเศร้าทำไม มันต้องเป็นเพลงเกรี้ยวกราดสิ’”

จนสุดท้ายก็กลายเป็นที่มาของบทเพลงบลูส์สุดเกรี้ยวกราดที่คลอไปด้วยเสียงประสานอันทรงพลัง ทำให้เพลงๆนี้เป็นเพลงอันดับที่ 8 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทศวรรษที่ 21 ที่นิตยสาร Rolling Stone ได้จัดอันดับขึ้น แถมยังเป็นบทเพลงที่ Linkin Park ได้หยิบมาคัฟเวอร์จนโด่งดังเพิ่มขึ้นไปอีก


Someone Like You

‘Never mind
I’ll find someone like you
I wish nothing but the best for you too
“Don’t forget me,” I begged
“I’ll remember,” you said
“Sometimes it lasts in love
But sometimes it hurts instead.”’

“ระหว่างที่ฉันแต่งเพลงนี้ ฉันนึกไปถึงตอนที่ฉันอายุประมาณซัก 40 ฉันมองหาคนที่ฉันแอบรัก จนได้พบว่าเขามีความสุขกับคนรักและสร้างครอบครัวมีลูกน้อยที่น่ารัก…ในขณะที่ฉันยังอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง เพลงนี้คือความรู้สึกนั้น และเป็นเพลงที่ฉันรู้สึกกลัวว่าเหตุการณ์ที่ฉันคิดนั้นจะเป็นจริง”

ที่มาของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Adele อายุ 18 เธอคบกับผู้ชายวัย 30 ที่แก่กว่าเธออย่างมาก แต่เธอก็คาดหวังอนาคตที่ดีร่วมกัน รวมไปถึงความฝันที่จะได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่รอด ซ้ำร้ายหลังจากที่ชายคนนั้นเลิกรากับเธอไปไม่กี่เดือนก็คบหาและแต่งงานกับคนรักใหม่ ซึ่ง Adele ยอมรับว่าตัวตนของเธอไม่ได้เกรี้ยวกราดในแบบเพลง ‘Rolling in the Deep’ สักเท่าไหร่ ตัวตนจริงๆของเธอคือหญิงสาวผู้อ่อนแอแบบในเพลงนี้ที่ต้องการใครสักคนมาเคียงข้างร่วมสร้างอนาคตกับเธอเพียงเท่านั้น

เพลงบัลลาดบาดลึกถึงอารมณ์สุดฮิตเพลงหนึ่งของ Adele ที่ตอกย้ำความเป็นเจ้าแม่แห่งเพลงช้ำรักได้เป็นอย่างดี ‘Someone Like You’ คือเพลงสุดฮิตที่ช่วยยืนยันสถานะนักร้องคุณภาพที่มีเพลงฮิตในมือ ขณะเดียวกันก็ไม่หย่อนคล้อยในด้านคุณภาพในการแต่งเพลงเลย ส่งผลให้เพลงนี้ฮิตในระดับ Global เป็นบทเพลงที่สะท้อนความเปลี่ยวเหงาชอกช้ำได้ทรงพลังเพลงหนึ่งของ Adele เลยทีเดียว


Set Fire to the Rain

But I set fire to the rain
Watched it pour as I touched your face
Well, it burned while I cried
‘Cause I heard it screaming out your name
Your name

Set Fire to the Rain คือบทเพลงแรกที่ Adele ลงมือเขียนเพื่อเริ่มต้นทำอัลบั้ม 21 ของเธอ โดยเธอต้องการใส่ความซับซ้อนทั้งเทคนิคการร้อง ไปจนถึงภาคดนตรีเพื่อให้มันแตกต่างและเติบโตขึ้นจากอัลบั้มชุดที่แล้ว

“มันคือเพลงแห่งการปลดปล่อย…ฉันต้องการเรียกกำลังใจและความมั่นใจให้กับตัวเอง ฉันจึงแต่งเพลงเพื่อเผาผลาญความเจ็บปวดให้มันสลายไป”

ซึ่งเพลงๆนี้เป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ของอัลบั้ม 21 กลายเป็นเพลง Power Ballad อันทรงพลัง ที่แสดงให้เห็นว่า Adele นั้นเก่งกาจในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลงไปจนถึงการร้องเพลง และเพลงๆนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเธอไม่แผ่วในการสร้างกระแสความโด่งดังของเธอเลย


Skyfall

Skyfall is where we start
A thousand miles and poles apart
Where worlds collide and days are dark
You may have my number, you can take my name
But you’ll never have my heart

การได้ร้องเพลงประกอบหนัง James Bond เป็น 1 ในสิ่งที่ศิลปินทั้งหลายปรารถนา เพราะมันหมายความว่าศิลปินท่านนั้นกำลังอยู่ในกระแส และมีชื่อเสียงพอที่จะได้รับเกียรติในการร้องประกอบหนังยิ่งใหญ่เรื่องนี้ แต่สำหรับ Adele เธอกลับเต็มไปด้วยความประหม่าและลังเล

“ปกติเพลงที่ฉันเขียนมันคือเรื่องราวส่วนตัวของฉัน เพราะมันกลั่นกรองออกมาจากใจ” แต่สุดท้าย Sam Mendes ผู้กำกับหนัง 007 ตอนนี้ก็ให้กำลังใจกับเธอว่า “ก็ไม่ได้ห้ามให้เขียนเรื่องส่วนตัวซะหน่อย” ว่าแล้วก็ส่งสคริปท์บทหนัง Skyfall ให้เธอไปทำการบ้านและแต่งเพลงนี้ออกมา

แม้ว่าผู้กำกับจะบอกให้คิดอย่างไรก็แต่งอย่างนั้น แต่ Adele ก็ใช้เวลายาวนานถึง 18 เดือน กว่าเพลงนี้จะเสร็จสมบูรณ์ เพราะเธอต้องการให้มันชัวร์ว่าเพลงๆนี้จะไม่ใช่เพลงที่เธอคิดไปเองว่ามันดี จนเมื่อแล้วเสร็จ คำตอบของผู้ที่ได้ฟังเป็นคนแรกๆนั่นคือน้ำตาของ Daniel Craig ที่หลั่งออกมาด้วยความรู้สึกประทับใจในเพลงที่สมบูรณ์และยอดเยี่ยมเพลงนี้ ที่โอบล้อมด้วยความรู้สึกที่ “Bond มากๆ” กับออร์เคสตร้าจำนวน 77 ชิ้น ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นเพลง Bond อันดับต้นๆที่คนรักสายลับรหัส 007 นึกถึง แถมยังคว้ารางวัล Oscars สาขาเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี ไปครองด้วย


Hello

Hello from the other side
I must’ve called a thousand times
To tell you I’m sorry for everything that I’ve done
But when I call, you never seem to be home

เพลงเปิดตัวอัลบั้มชุดที่ 3 ฉลองวาระเบญจเพสของเธอผ่านอัลบั้มชุดที่ 25 ที่ทิ้งช่วงห่างจากอัลบั้มชุดที่ 2 ถึง 4 ปี (ชื่ออัลบั้มของเธอจำง่ายเพราะใช้เลขอายุเป็นตัวตั้งเสมอ) สำหรับเพลงนี้ คำทักทายของเธอนั้นเป็นการกล่าวคำทักทายความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเธอ โดยเนื้อเพลงที่ว่า “Hello from the other side” นั้นหมายถึงการหลุดพ้นจากอีกด้านของความเป็นวัยรุ่น สู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างทรนง

เนื้อเพลงที่เขียนเหมือนบทสนทนานี้ บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของเธอไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อน หรือ อดีตคนรัก ที่ล้วนแล้วแต่รายล้อมและสร้างเธอให้แข็งแกร่ง โดย Adele ให้สัมภาษณ์ถึงเนื้อหาของเพลงนี้กับ The Radio 1 Breakfast Show ว่า “ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะลงเอยที่ร้ายหรือดี แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนต้องเดินหน้าต่อไป ฉันเขียนเพลงนี้เพื่อทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉัน”

แล้วบทเพลงบัลลาดทรงพลังเพลงนี้ ก็ยังคงเป็นการกลับมาอย่างสมภาคภูมิของเธอเช่นเดิม เมื่อได้สร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเธอไม่ว่าจะเป็นบทเพลงที่ทำยอดวิวผ่านหลักพันล้านได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขณะเดียวกันเธอก็กวาดรางวัล Grammy ได้อีกเช่นเคยกับรางวัล Record of the Year, Song of the Year และ Best Pop Solo Performance เบญเพสของเธอนั้นเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ และทำให้เธอกลายเป็นศิลปิน Diva ที่น่าจับตามองของยุคสมัยไปในทันที


When We Were Young

You still look like a movie
You still sound like a song
My God, this reminds me, of when we were young

1 ในบทเพลงที่วัตถุดิบของ Adele ใช้ในการแต่ง คืออดีตในช่วงเยาว์วัยของเธอ ความกลัวในความชราก่อตัวขึ้นพร้อมการหวนถึงความหลังในตอนเด็กที่วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าและสวยงาม ซึ่งในระหว่างที่เธอแต่งเพลงนี้ เธอคิดถึงเพื่อนเก่าในวัยเด็ก รวมไปถึงญาติห่างๆของเธอในช่วงซัมเมอร์ที่เธอได้ไปพักผ่อนในตอนเยาว์วัย

“จากการที่เราอายุมากขึ้น ได้ไปงานปาร์ตี้บ้านนี้บ้านนั้น ได้เห็นคนที่คุณเคยตกหลุมรักตรงหน้า มันทำให้เราหวนคิดถึงช่วงเวลาที่สวยงาม ฉันเลยอยากแต่งเพลงที่ทำให้เราคิดถึงช่วงเวลาอายุ 15 อีกครั้ง” จนเป็นที่มาของเพลงที่หวนระลึกถึงอดีต และกลัวความชราที่พร้อมมาเยือนในอนาคต

ซึ่ง Adele บอกว่าเธอรักเพลงนี้มากๆ เพราะมันได้แสดงด้านที่อ่อนโยนของเธอ ผ่านบทเพลงสไตล์ Musical ทำให้ได้ย้อนทบทวนตัวเองผ่านบทเพลงที่สวยงามและทรงพลังเพลงหนึ่งของเธอเช่นกัน


Easy on Me

Go easy on me, baby
I was still a child
Didn’t get the chance to
Feel the world around me
I had no time to choose what I chose to do
So go easy on me

แม้ตลอด 5 ปีที่ Adele ห่างหายไปจากการร้องเพลง เธอพบรักใหม่ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ด้วยภาพลักษณ์ของสาวร่างบางที่เธอสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ พร้อมกับการปรากฏตัวของลูกชายเธอ

แต่สุดท้ายก็เหมือนหญิงสาวที่ต้องคำสาป เมื่อเธอคาดหวังเธอเจอคนี่ใช่ Adele ลั่นระฆังวิวาห์กับชายหนุ่มที่ดูใจกันมานานอย่าง Simon Konecki แต่เมื่อเธอมีลูกแล้ว เธอก็เผชิญกับสภาวะซึมเศร้า ความหวาดกลัวเกิดขึ้นมากมายต่ออนาคตของลูก ไปจนถึงความกลัวในการถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว จนเธอได้ฟ้องร้องปาปาราซซี่ที่มาแอบถ่ายชีวิตประจำวันของเธอจนสามารถชนะคดีไป แต่สุดท้ายชีวิตคู่ของเธอก็ไม่รอดหลังมีการประกาศแยกทางเมื่อต้นปี 2021 ที่ผ่านมา

และ Easy on Me คือเพลงแห่งการขอโทษสำหรับเธอ ขอโทษอดีตสามีที่เธอยังคงเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสมอ รวมไปถึงสาสน์ถึงลูกเธอในอนาคตเพื่อบอกเล่าช่วงเวลาอันเปราะบางในการตัดสินใจแยกทางกับพ่อของเขาและไม่สามารถประคับประคองครอบครัวไปได้ดังใจหวัง

แม้บทเพลงจะเป็นเพลงที่เศร้าสลด แต่แฟนเพลงก็ยังตอบรับการกลับมาอย่างงดงามเช่นเคย ด้วยการครองสถิติสูงสุดของบทเพลงในรอบสัปดาห์ด้วยอันดับ 1 ในกว่า 20 ประเทศ และนี่เป็นเพียงซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม 30 ที่กำลังจะปล่อยให้ฟังกันในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จับหูจับตาดูกันว่าเธอจะสร้างสถิติใหม่เพิ่มขึ้นไปอีกกี่มากน้อยสำหรับอัลบั้มนี้กัน

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line