Guide

MAN UP: WINE 101 รวมทุกศาสตร์เบื้องต้นเรื่อง “ไวน์” เพื่อการดำดิ่งสู่บทกวีองุ่นที่ถูกบรรจุลงสู่ขวด

By: Chaipohn May 1, 2021

“ไวน์คือบทกวีที่ถูกบรรจุลงสู่ขวด” เป็นคำที่นักเขียนชาวสก็อตติชอย่าง Robert Louis Stevenson เคยกล่าวเอาไว้

ซึ่ง UNLOCKMEN ว่านี่ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินความจริงแต่อย่างใด เพราะไวน์เป็นเครื่องดื่มอันเต็มไปด้วยความซับซ้อนและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดชวนให้ผู้ชายอย่างเราเข้าไปสัมผัส นอกจากนั้นวัฒนธรรมแห่งการดื่มไวน์ได้กลายเป็นศิลปะการลองลิ้มชิมรสสุดคลาสสิกที่ผู้ชายคูล ๆ ทุกคนไม่ควรพลาด การรู้เรื่องไวน์ประดับตัวไว้จึงเป็นทั้งการยกความเท่ของผู้ชายอย่างเราให้สูงขึ้นไปอีกระดับ แถมยังช่วยให้เราเข้าสังคมแห่งการดื่มไวน์ได้อย่างดื่มด่ำยิ่งขึ้น

ผู้ชายแมน ๆ คนไหนที่เคยคิดไว้ว่าการดื่มไวน์นั้นยากแสนยาก วันนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เพราะการได้รู้จักเครื่องดื่มแห่งความลุ่มลึกมีระดับอย่างไวน์จะทำให้เราติดใจจนบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่าที่จะลิ้มลองบทกวีบรรจุขวดให้ลึกซึ้ง ถ้าพร้อมจะดำดิ่งไปกับความคลาสสิกในโลกของไวน์แล้ว UNLOCK WINE 101 ที่เก็บเรื่องไวน์พื้นฐานให้ครบถ้วนทุกเม็ดก็พร้อมจะปลดล็อกศักยภาพการสัมผัสไวน์ให้คุณถึงที่แล้วเช่นกัน

สำหรับมือใหม่ที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ การเริ่มต้นนับหนึ่งในโลกของไวน์จะเป็นไปอย่างราบรื่น มีระดับและไม่ซับซ้อน ถ้าเราเริ่มจากพื้นฐานของไวน์กันก่อน โดยคำถามสุดเบสิคที่เราควรรู้ก็คือ “ไวน์คืออะไร?”

นอกจากความงดงามคล้ายบทกวีแล้ว ไวน์คือเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการหมักของน้ำองุ่นที่ได้จากผลองุ่นสด ๆ นั่นเอง โดยแต่ละท้องที่ก็จะมีกระบวนการผลิตแตกต่างกันไปตามสไตล์ที่แต่ละท้องถิ่นกำหนดขึ้น

ถ้าในหัวผู้ชายอย่างเรายังนึกออกแค่ไวน์แดงกับไวน์ขาวก็ไม่ต้องห่วงไป ครั้งนี้เราจะพามาทำความเข้าใจไวน์ 3 ประเภทที่แบ่งตามเทคนิคการผลิตให้เข้าใจแจ่มแจ้งกันไปเลย

เริ่มต้นกันที่ Still Wine เป็นไวน์ที่ไม่มีฟอง หรือพูดง่าย ๆ คือไม่มีการอัดก๊าซ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 8-15% Still Wine แบ่งออกเป็นไวน์ได้อีก 3 ชนิดตามสีของไวน์ หนึ่งในนั้นก็คือไวน์ขาว ไวน์แดงที่ผู้ชายทุกคนรู้จักกันดีนั่นเอง

  • Red Wine หรือไวน์แดง คือไวน์ที่ทำจากน้ำองุ่นที่ผ่านการบ่มร่วมกับส่วนอื่นขององุ่นให้เกิดสี ทั้งการเติมเปลือก (Grape Skin) ขั้วองุ่น (Grape Pip) และเมล็ด (Seed) ลงไป จึงมักมีสีแดงเข้มไปจนถึงสีม่วงชื่อไวน์แดงยอดนิยม : คาร์เบอเน โซวีญง (Cabernet Sauvignon), แมร์โล (Merlot), ปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) และซินฟานเดล (Zinfandel)
  • White Wine หรือไวน์ขาว คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าทำจากองุ่นเขียว แต่ความจริงเขามีการนำองุ่นสีอื่นมาทำร่วมด้วยเพียงแต่ถอดพวก Pigment ที่เป็นสีออกไป ว่าง่าย ๆ คือการลอกเปลือก ลอกทุกส่วนที่มีสีออกแล้วเก็บแต่เนื้อองุ่นขาว ๆ มาทำน้ำองุ่นเพื่อหมักไปทำไวน์ สีจึงออกมาใส ๆ ไปจนเป็นถึงเหลืองทองอำพันชื่อไวน์ขาวยอดนิยม :  ชาร์ดอนเนย์ (Chardonnay), รีสลิง (Riesling), โซวีญง บล็อง (Sauvignon Blanc) และมอสคาโต้ (Moscato)
  • Rose Wine หรือไวน์โรเซ่ สีสวย ๆ อมชมพูกุหลาบนี่แหละเหมาะสำหรับสั่งให้สาว ๆ ยิ่งนัก ถ้าเธอถามว่าบ่มต่างจากอย่างอื่นยังไงถึงได้สีแบบนี้ ตอบเธอไปด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า บ่มเหมือนไวน์แดงแต่ใช้เวลาน้อยกว่า เพราะใช้เวลาเพียง 12-36 ชั่วโมง จากนั้นค่อยเอามาเบลนด์เข้ากับไวน์ขาว จนออกมามีสีกุหลาบอย่างที่เห็นชื่อไวน์โรเซ่ยอดนิยม : San Miguel, Rose’D Anjou

Sparkling Wine หรือสปาร์คกลิ้งไวน์ ชื่อนี้ขาปาร์ตี้คุ้นหูกันดี ความพิเศษที่ต่างจากประเภทอื่นเพราะมีความซ่า หรือเป็นไวน์มีฟองจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหมักทำให้กินได้เพลินในบรรยากาศรื่นเริง มีแอลกอฮอล์ 8-14%

 

ผู้ชายคนไหนที่ใจฝักใฝ่ไวน์ที่หวานตามธรรมชาติขึ้นมาสักหน่อย และร่างกายต้องการแรงปะทะจากระดับแอลกอฮอล์ในไวน์ที่สูงขึ้นมาอีกระดับ เราก็ขอแนะนำให้รู้จัก Fortified Wine หรือ ฟอร์ติไฟด์ ไวน์ ซึ่งเป็นไวน์ที่มีการเติมแอลกอฮอล์จากบรั่นดีหรือวอดก้าลงไปในขั้นตอนการผลิต ผลที่ได้ก็คือไวน์จะมีรสชาติหวานตามธรรมชาติมากขึ้น และมักจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 17-22%

นอกจากนี้ ไวน์ยังแบ่งตามความหวานจาก Dry ถึง Sweet

  • Dry เหมาะกับผู้ชายสายดิบ เป็นไวน์ ที่ไม่มีความหวานเลย หรือมีน้ำตาลไม่เกิน 2 % เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้น ที่ไม่มีความหวานเพราะ Dry Wine จะผลิตโดยการหมักให้น้ำตาลในองุ่นกลายเป็นแอลกอฮอล์จดหมด
  • Off-Dry หรือ Semi-sweet  เป็นไวน์ที่มีปริมาณน้ำตาล 2-4 % หวานเล็กน้อย คือไวน์ที่ยังปล่อยให้มีน้ำตาลในองุ่นอยู่บ้าง เพื่อลดความเปรี้ยวและเพิ่มกลิ่นชวนดมให้ไวน์
  • Sweet คือไวน์ที่มีปริมาณน้ำตาล 4 % ขึ้นไป เป็นไวน์รสชาติหวาน ผลิตแบบไม่ปล่อยให้น้ำตาลในองุ่นเสียไป ส่วนใหญ่จะมีระดับแอลกอฮอล์ต่ำที่สุด (ยกเว้นพวก Fortified Wine)

หลายครั้งที่เดินเข้าร้านไวน์ แล้วตาไวไปเห็นปี ค.ศ.ระบุอยู่บนฉลากไวน์ ผู้ชายอย่างเราก็คงพอจะเดาได้ไม่ยากว่ามันคือปีที่ผลิตของไวน์ขวดนั้น ๆ แต่ อ้าว ทำไมไวน์บางขวดถึงไม่มีปีที่ผลิตระบุไว้ล่ะ? ไวน์ปลอมหรือเปล่า ทำไมถึงไม่มีที่มาที่ไป? ไม่ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัวอีกต่อไป เพราะนั่นคือความแตกต่างขั้นเบสิคที่เราสังเกตเห็นได้ระหว่าง Vintage Wine กับ Non-Vintage Wine

แต่ความลุ่มลึกของ Vintage Wine กับ Non-Vintage Wine ไม่ได้จบอยู่แค่ปีที่ผลิตที่แปะหรือไม่แปะอยู่บนฉลากเท่านั้น แต่ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ รอให้เข้าใจอีกด้วย

  • Vintage Wine หรือไวน์โลกเก่า เหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบความยูนีคโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง เพราะ Vintage Wine เป็นไวน์ที่มีความเฉพาะตัวสูง แต่ละปีมีความแตกต่างกันไป เพราะสภาพอากาศของปีที่ผลิตแต่ละปีไม่เหมือนกัน ไวน์จึงออกมาแตกต่างกันไปด้วย โดยที่ฉลากของ Vintage Wine จะระบุปีที่ผลิตเอาไว้ เพื่อทำหน้าที่ประกาศบอกผู้ชายอย่างเราให้รู้ว่าไวน์ขวดนี้ผลิตจากองุ่นปีไหน จะไม่มีการผสมไวน์ข้ามปีให้สูญเสียความเป็นองุ่นปีนั้น ๆ และไม่มีการปรุงรสหรือปรับกลิ่นใด ๆ ทั้งสิ้น โดยชื่อของไวน์มักจะตั้งตามชื่อที่ที่ผลิต เช่น ชื่อเมือง ตำบล หมู่บ้านประเทศที่ผลิต ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส อิตาลี เยอรมัน
  • Non-Vintage Wine หรือไวน์โลกใหม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบความมาตรฐานคงที่ ไม่ชอบความสวิงสวายคาดเดาไม่ได้ เพราะ Non-Vintage Wine มีการเบลนดิ้งน้ำไวน์จากองุ่นหลาย ๆ ปี และใช้กระบวนการผลิตที่พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นรสชาติของ Non-Vintage Wine จะเป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกปีทุกขวด ทำให้ไม่ต้องระบุปีที่ผลิตไว้บนฉลากแต่อย่างใด เพราะได้ความสม่ำเสมอเหมือนกันทุกปีอยู่แล้ว ชื่อของไวน์จะตั้งตามชื่อพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตไวน์ขวดนั้นประเทศที่ผลิต ชิลี อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้และอเมริกาเหนือ

 

บ่อยครั้งที่จับแก้วไวน์ ๆ ดู ๆ ดม ๆ แล้วจิบแล้วได้ยินคนพูดถึงบอดี้ของไวน์ จนเรางง ๆ ว่า เฮ้ย ไวน์ต้องมีบอดี้ด้วยเหรอ? บอดี้ของไวน์คืออะไร มันมาจากไหน เราจะเล่าให้ฟัง บอดี้ของไวน์มีที่มาจากปัจจัยสุดหลากหลาย แต่ปัจจัยหลักที่เอาไว้ไปคุยให้คนอื่นฟังได้แบบชิล ๆ เลยคือ “แอลกอฮอล์” ดังนั้นการรู้ว่าไวน์ขวดนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่จากฉลากที่แปะบอกไว้อยู่แล้วจึงเป็นทริคดี ๆ ที่เราจะรู้ว่าบอดี้ของไวน์ที่เรากำลังดื่มนั้นเป็นแบบไหน

  • Light-Bodied Wine ไวน์ไลท์บอดี้มักจะมีแอลกอฮอล์ต่ำกว่า 12.5% โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นไวน์ขาวและไวน์แดงอย่าง Pinot Noir ดื่มแล้วให้ความสดชื่น
  • Medium-Bodied Wine ไวน์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 12.5-13.5% ถูกจัดให้เป็นไวน์ที่บอดี้กลาง ๆ ตัวอย่างไวน์บอดี้กลาง ๆ นี้ เช่น Rose, French Burgundy, Pinot Grigio และ Sauvignon Blanc
  • Full-Bodied Wine สำหรับขาไวน์ที่ชอบจัดหนักจัดเต็มก็ขอเชิญพบกับไวน์บอดี้หนักแน่น ที่มีแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 13.5% ขึ้นไป โดยไวน์ฟูลบอดี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นไวน์แดง เช่น Zinfandel, Syrah/Shiraz, Cabernet, Merlot และ Malbec แต่ไวน์ขาวที่บอดี้เต็มเหนี่ยวก็มีกับเขาเหมือนกัน เช่น Chardonnay ที่ถูกหมักบ่มในถังไม้โอ๊ค

 

ถ้าเป็นอย่างอื่น เรื่องภายนอกอาจไม่สำคัญ แต่กับเรื่องไวน์บอกได้คำเดียวว่าสำคัญตั้งแต่ภายในอย่างพันธุ์องุ่นยันเรื่องภายนอกอย่างแก้วที่ใช้บรรจุไวน์ เพราะการดื่มไวน์ถือเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่ง ผู้คนจึงได้พยายามเสาะแสวงหาแก้วไวน์ที่เหมาะสมกับไวน์แต่ละประเภท แก้วไวน์ที่ดีจะทำให้ไวน์แสดงรสชาติและเปิดเผยคาแรคเตอร์ที่แท้จริงออกมาได้มากที่สุด โดยแก้วไวน์ที่เหมาะกับไวน์แต่ละชนิดก็จะถูกดีไซน์ออกมาแตกต่างกันทั้งความสูง ความกว้าง รูปทรง ดังนั้นแก้วไวน์จึงส่งผลต่อการดื่มไวน์โดยตรงแน่นอน

  • Red Wine Glass ตัวแก้วใหญ่ ปากแก้วกว้าง เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแก้วไวน์แดง เพราะไวน์แดงมีความซับซ้อนของกลิ่นและมีรสชาติเข้มข้น ที่สำคัญแก้วไวน์แดงควรใส เพื่อไม่ให้สีและเนื้อของแก้วไปรบกวนสีที่แท้จริงของไวน์ ทำให้เราสังเกตสีไวน์แดงได้ชัดเจน ไม่มีผิดเพี้ยน
  • White Wine Glass รูปแก้วไวน์ขาวควรมีลักษณะสูงเพรียว เพื่อให้รักษากลิ่นไว้ได้ดี และช่วยส่งไวน์ไปยังโคนลิ้น เพื่อให้ได้เราได้สัมผัสรสชาติของไวน์ได้หนักแน่นเต็มที่ รวมถึงรักษาอุณหภูมิความเย็นของไวน์ขาวไว้ได้ด้วย
  • Sparkling Wine Glass แก้วที่เหมาะกับ Sparkling คือแก้วที่ปากแก้วแคบแต่ทรงแก้วยาว เป็นการช่วยลดโอกาสไม่ให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของ Sparkling Wine ซึ่งคือฟองและเพื่อคงความซ่าเอาไว้

Variety ของไวน์กลายเป็นอีกหนึ่งคำที่ถูกพูดถึงกันมากในผู้ดื่มไวน์ โดย Variety ที่ว่านี้พูดถึงพันธุ์องุ่นที่นำมาผลิตไวน์ โดยสายพันธุ์องุ่นนี่ถือเป็นเรื่องสุดสำคัญ เพราะส่งผลต่อรสชาติไวน์ที่แตกต่างกันไปด้วย

PINOT NOIR

องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir เองขึ้นชื่อในเรื่องความใส่ใจและซับซ้อนในขั้นตอนการปลูก รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษา เพราะต้องอยู่ในดินที่มีอุณหภูมิเฉพาะเท่านั้น และด้วยความยุ่งยากนี้เอง ที่ทำให้องุ่นสายพันธุ์ Pinot Noir มีอยู่น้อยนิดเท่านั้น เมื่อเทียบกับองุ่นพันธุ์อื่น ๆ ไวน์ Pinot Noir ขวดหนึ่งจึงมีราคาที่ไม่ย่อมเยาว์นัก แต่มันก็คุ้มค่า ที่จะลองลิ้มรสของ Pinot Noir ดี ๆ สักครั้ง ยิ่งเก็บไว้ก็จะยิ่งได้รสชาติที่ซับซ้อนและละมุนขึ้น

MERLOT

องุ่นสายพันธุ์ Merlot ถือเป็น หนึ่งในองุ่นพันธุ์ชั้นนำของโลก สามารถเจริญเติบโตได้ดีมาก ในสภาพอากาศหนาวเย็น ไวน์แดงแบบ Merlot ส่วนใหญ่มักมีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ที่สูงกว่า ไวน์แดงที่ใช้องุ่นพันธุ์อื่น ๆ โดยปกแล้ว Merlot จะมีปริมาณ แอลกอฮอล์อยู่ที่ 13% ซึ่งถือว่าสูงใช้ได้เลยทีเดียว แต่รับรองว่ากลิ่นหอมหวานชื่นใจ ยิ่งบ่มในถังไม่โอ๊กนาน ๆ จะได้รสชาติที่ไม่หนักเกินไป แถมดื่มง่าย

CABERNET SAUVIGNON

สำหรับไวน์แดงที่มาจากองุ่นพันธุ์ Cabernet Sauvignon คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายนัก เพราะมันคือ เจ้าของสมญานาม “King of Red Grapes” หรือ “ราชาแห่งพันธุ์องุ่นโลก” เพราะเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกเยอะที่สุดในโลก องุ่นสายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดมาจาก Bordeaux ทนสภาพอากาศทั้งหนาวและร้อน ให้รสชาติเปรี้ยวและฝาด

MALBEC

องุ่นพันธุ์ Malbec ที่คุณภาพดีที่สุดจะอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา ความพิเศษคือการปลูกบนยอดเขาสูง ไวน์ที่ได้จากองุ่นพันธุ์ Malbec จะมีความเปรี้ยว ได้กลิ่นหอมผลไม้ที่ซับซ้อน ให้รสชาติร้อนแรงปนความฝาดที่หนักหน่วง โดยปัจจุบัน Malbec ยังเป็นหนึ่งใน 5 องุ่นไวน์แดงอันดับต้น ๆ ที่คนนิยม ยิ่งใครที่หัดจิบไวน์ใหม่ ๆ Malbec ถือเป็นทางเลือกที่ไว้ใจได้ และไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังแน่นอน

SYRAH/SHIRAZ

องุ่นชนิดเดียว แต่มีถึง 2 ชื่อ เพราะใน Europe และ Califonia องุ่นชนิดนี้ถูกเรียกว่า Syrah แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในประเทศ  Australia และ ใน South Afica หรือประเทศที่ผลิต Non-Vintage Wine จะเรียกพวกมันด้วยอีกชื่อก็คือ SHIRAZ แต่ความจริงของ สุดยอดไวน์แดงอย่าง Syrah/Shiraz นี้ เกิดขึ้นที่ Franch จากนั้น มันก็ได้กลายเป็น องุ่น Signature ของประเทศ Australia ไปซะอย่างนั้น จนในปี 2010 องุ่น Syrah/Shiraz ประมาณร้อยละ 23 จากทั้งหมด เป็น องุ่น Syrah/Shiraz ที่มาจากประเทศ Australia โดยมีรสชาติจัดจ้านโดดเด่น ให้กลิ่นหอมผลไม้สุกงอม


SAUVIGNON BLANC

Sauvignon Blanc แปลว่า “Wild White” มันเป็นไวน์ขาวที่มีต้นกำเนิดจากหุบเขา Loire ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสนอกจากที่หุบเขาแห่งนี้แล้ว อีกสถานที่นึงที่มีองุ่นพันธุ์หายากนี้ ก็คือ ที่ Marlborough ใน New Zealand เท่านั้น Sauvignon Blanc เป็นพันธุ์องุ่นที่ไวน์ขาว Light Bodied และ Medium Bodied มีความ Dry และมีความเป็นกรดสูง ผู้ดื่มจึงรู้สึกได้ถึงความเปรี้ยวสดชื่นมีชีวิตชีวา มันจึงเป็นไวน์ที่มีรสชาติหอมหวาน และง่ายต่อการดื่มมากที่สุดตัวนึง

CHARDONNAY

ชื่อขององุ่นพันธุ์ Chardonnay เชื่อว่า แม้แต่คนที่ไม่ศึกษาเรื่องไวน์อย่างลึกซึ้ง ก็เคยได้ยินผ่านหูกันมาอย่างแน่นอน และถ้าหาก ไวน์แดงอย่าง Cabernet Sauvignon ถูกยกย่องให้เป็น “King of Red Wine” ไวน์ขาวอย่าง Chardonnay ก็คงจะเป็น “Queen of White Wine” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นองุ่นขาวที่ปลูกเยอะที่สุดในโลก มีสีเหลืองอ่อนเหมือนสีน้ำผึ้ง รสชาติไม่เปรี้ยวมาก กลิ่นหอมซับซ้อนและให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

SEMILLON

องุ่นพันธุ์นี้สีเหลืองทอง และใครที่หลงใหลในความมีระดับและสง่างามยิ่งไม่ควรพลาด เพราะรสชาติและโครงสร้างของไวน์นั้นมีระดับเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อผสมกับองุ่นพันธุ์ Sauvignon Blanc เป็นไวน์หวาน จะได้ไวน์หวานชั้นเยี่ยมราคาสูง แถมเก็บไว้ได้อีกเป็นร้อยปีเลยทีเดียว


รสชาติของไวน์ที่เราได้ลองลิ้มชิมรสเข้าไปจึงมีที่มาจากพันธุ์องุ่นล้วน ๆ ยิ่งพันธุ์องุ่นมีคุณภาพดีมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งได้สัมผัสกับไวน์ที่มีรสชาติดีมากขึ้นเท่านั้น เราอาจสงสัยว่าแล้วองุ่นที่คุณภาพดีมันมีที่มาจากอะไรบ้าง? เราบอกได้เต็มปากเลยว่า ระดับความสูง (Altitude) ดิน (Soil) และ อากาศ (Climate) คือสิ่งที่มีความสำคัญสูงที่กว่าจะได้องุ่นพันธุ์ดีมาให้เราได้สัมผัส ไวน์ที่ดีจากองุ่นที่มีคุณภาพต้องมาจากระดับความสูง ดินและอากาศที่เหมาะสม

นั่นจึงเป็นสาเหตุให้องุ่นพันธุ์ที่มาจากเมืองเมนโดซา (Mendoza) ประเทศอาร์เจนตินามีความพิเศษหาตัวจับยาก เพราะเมืองเมนโดซาตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีส (Andes) ซึ่งทำให้สภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศเหมาะที่จะรังสรรค์ไวน์ชั้นเยี่ยมออกมาสู่นักดื่มไวน์ทั่วโลก พร้อมสรรพไปด้วยคุณสมบัติ 3 อย่างทั้ง ระดับความสูง (Altitude) ดิน (Soil) และ อากาศ (Climate) ที่เป็นปัจจัยให้ได้องุ่นพันธุ์ดีเพื่อผลิตไวน์ที่ควรค่าแก่การลิ้มลองสักครั้งในชีวิต

  • Altitude ด้วยระดับความสูงของ เทือกเขา Andes ทำให้อุณหภูมิตอนกลางวันจะมีแดด และร้อน ตกเย็นจะหนาวและมีลม ซึ่งส่งผลให้ช่วยชะลอความสุกของผลองุ่น ก่อให้เกิด การสะสมของรสชาติที่มากกว่า มองง่าย ๆ องุ่นก็เหมือนนักกีฬาที่เตรียมตัวแข่งโอลิมปิก ที่ต้องผ่านการเทรนขนาดหนักตอนกลางวัน (เจอแดดเยอะ ๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการผลิตน้ำตาล) และพักผ่อนเยอะ ๆ ตอนกลางคืนในที่เย็น ๆ ลมโกรกสบายเหมือนเด็กน้อย
  • Soil องุ่นที่ให้น้ำไวน์ที่ดี จะต้องปลูกบนดินที่แห้ง ร่วน แต่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งจะทำให้รากองุ่นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด องุ่นต้องชอนไชรากลึกลงไปใต้ดินให้มากที่สุด เพื่อไปหาแหล่งน้ำ และเมื่อยิ่งรากลงไปลึก ๆ จะยิ่งเจอกับแร่ธาตุใต้ดินมากเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้รสชาติไวน์มีความซับซ้อนหลากมิติมากขึ้น
  • Climate ถ้าสถานที่ปลูกองุ่นปลูกอยู่บนที่ Rain Shadow ทำให้องุ่นไม่โดนฝนหนัก ไม่เกิดความชื้น (เพราะความชื้นส่งผลให้เกิดเชื้อราและโรคได้ง่าย) ทั้งยังได้ประโยชน์จากลมที่นิ่งและแห้งซึ่งจะไหลผ่านไปที่องุ่นได้ดีมาก

 

UNLOCK WINE 101 วันนี้ก็ครบเครื่องทุกกระบวนท่าของไวน์ไปแล้ว ที่เหลือก็เหลือแค่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะลงมือเลือกไวน์มาดื่มเองสักขวด ลิ้มรสดูว่าบทกวีที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะอย่างไวน์มันจะลุ่มลึกสมคำร่ำลือแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ การเรียนรู้ WINE 101 พร้อมบอกที่มาและปัจจัยคุณภาพของพันธุ์องุ่นได้ ก็สร้างความคูลและมีมิติให้การดื่มไวน์เพื่อเข้าสังคมครั้งหน้าได้อย่างเท่ขึ้นแน่นอน

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line