Entertainment

UNLOCKMEN PLAYLIST กับ 11 เพลงร็อกระดับตำนาน สัญลักษณ์แห่งยุค ’90s จากฝั่งอเมริกา

By: JEDDY March 2, 2022

ในช่วงแต่ละยุคแต่ละสมัยดนตรีมักจะมีอิทธิพลแฝงอยู่ในห้วงเวลาเหล่านั้นอยู่เสมอ มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปและอีกหนึ่งยุคที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากคือยุค 90’s ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย โดยเฉพาะในสายของร็อกที่แตกแขนงออกมาได้อย่างน่าสนใจ

วันนี้เราขอหยิบ 11 เพลงร็อกเด็ด ๆ ฝั่งอเมริกาจากยุค 90’s มาให้ทุกคนได้เสพหรือยัดใส่เพลย์ลิสต์ไว้ฟังมันส์ ๆ กันครับ

*ปีของเพลงจะนับจากวันที่ถูกโปรโมต


NIRVANA – SMELLS LIKE TEEN SPIRIT (1991)

ผลงานจากอัลบั้ม “Nevermind” ของวง Nirvana ที่เปลี่ยนให้ทั้งโลกก้าวเข้าสู่ยุคของดนตรีกรันจ์และอัลเทอร์เนทีฟอย่างเต็มตัว

ตัวดนตรีไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ซัดกันแบบตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยอารมณ์ทางดนตรีที่ก้าวร้าว แต่เมื่อรวมกันแล้วมันกลายเป็นเพลงที่โคตรทรงพลัง จึงไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วเพลง “Smells Like Teen Spirit” จะกลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของเพลงร็อกยุค 90’s ที่ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึงเป็นเพลงแรก นี่คือมรดกสุดแสนล้ำค่าที่บ่งบอกความรุ่งเรืองในอดีตของดนตรีกรันจ์ได้ดีที่สุดเพลงนึงของโลก


METALLICA – ENTER SANDMAN (1991)

ซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มปกดำของ Metallica ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีเพื่อเจาะกลุ่มตลาดกว้างด้วยสไตล์เฮฟวี่เมทัลที่ฟังง่ายมากกว่าเดิมมาก มีการวางโครงสร้างเพลงแบบเพลงป๊อปอย่างชัดเจน

“Enter Sandman” มาพร้อมกับจังหวะหน่วง ๆ ชวนให้โยกตาม มีริฟฟ์กีตาร์ที่เล่นวนซ้ำ ๆ จนจำได้ขึ้นใจ ตามมาด้วยท่อนโซโล่ที่เร้าอารมณ์ และการวางเมโลดี้การร้องที่พร้อมให้แฟนเพลงร้องตามกันได้แบบง่ายดาย นี่คือสูตรสำเร็จที่ Metallica นำมาพลิกเกมจนทำให้พวกเขากลายมาเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นมาจนถึงทุกวันนี้


SOUNDGARDEN – BLACK HOLE SUN (1994)

หากจะให้พูดถึงซีแอตเทิลซาวด์ ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งใหญ่ต่อวงการดนตรีกรันจ์ วง Soundgarden จะต้องถูกหยิบยกมาอ้างอิงถึงอย่างแน่นอน

ในส่วนของเพลง “Black Hole Sun” มาจากอัลบั้มที่ 4 ที่ใช้ชื่อว่า Superunknow ตัวดนตรีทำออกมาเป็นเพลงช้า เป็นการหยิบซาวด์ของกรันจ์มาผสมกับไซคริดิลิกได้อย่างลงตัว ทำให้เพลงออกมามีทั้งความหนักแน่น ความหลอน และดูล่องลอย เสียงร้องของ Chris Cornell ถือว่าโดดเด่นด้วยโทนทุ้มต่ำ และสื่อสารอารมณ์ของเพลงออกมาได้เป็นอย่างดี


RATM – KILLING IN THE NAME (1992)

ผลงานโคตรคลาสสิคจากคณะแร็ปเมทัลในตำนานนามว่า Rage Against The Machine แม้จะใช้ริฟฟ์กีตาร์ไม่กี่ริฟฟ์แต่ก็ทำออกมาได้โคตรเท่ เมื่อถูกนำมารวมกับจังหวะกรูฟหนึบ ๆ และการร้องแร็ปที่เน้นท่อนซ้ำ ๆ และพูดถึงเรื่องการเมืองอย่างเผ็ดร้อน มันก็ยิ่งช่วยเพิ่มดีกรีความร้อนระอุให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี

สำหรับ “Killing In The Name” เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง และยังเป็นเพลงที่ถูกนำไปอยู่ในเกม Guitar Hero II อีกด้วยเช่นกัน


KORN – BLIND (1994)

หาก “Smells Like Teen Spirit” เป็นประตูเปิดสู่ยุคกรันจ์ เพลง “Blind” ของวง Korn ก็คือผู้เปิดประตูปูทางสู่ยุคนูเมทัลเช่นกัน

ผลงานจากอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง มาพร้อมกับซาวด์ที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงกับความแปลกใหม่ในตอนนั้น ดนตรีเต็มไปด้วยเสียงกีตาร์จูนสายต่ำ บรรยากาศสุดกดดัน และเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ปลุกอะดรีนาลีนคนฟังให้พุ่งพล่านได้เป็นอย่างดี

ผลงานเพลง “Blind” เป็นอีกหนึ่งเพลงที่วง Korn จะต้องติดไว้ในเซตลิสต์ทุก ๆ โชว์ ถ้าขาดไปแฟนเพลงโกรธตายแน่นอน


RED HOT CHILI PEPPERS  – UNDER THE BRIDGE (1992)

อีกหนึ่งเพลงช้าสุดเพราะของวง Red Hot Chili Peppers ผลงานจากอัลบั้ม Blood Sugar Sex Magik และเป็นเพลงแฟน ๆ ของทางวงต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี

“Under The Bridge” เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก กวาดยอดขายซิงเกิ้ลไปได้เกิน 10 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก หากคุณชอบเพลง “Californication” ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ชอบเพลงนี้


NO DOUBT – DON’T SPEAK (1996)

ก่อนที่ Gwen Stefani จะก้าวมาประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยว เธอเคยโด่งดังในฐานะนักร้องนำให้ No Doubt วงสกาพังก์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุค 90’s

แม้ผลงานเพลงในอัลบั้ม Tragic Kingdom จะเต็มไปด้วยเพลงจังหวะชวนสนุกที่เต็มไปด้วยเสียงของเครื่องเป่า แต่สำหรับ “Don’t Speak” ถูกทำออกมาเป็นเพลงช้าที่มีเนื้อหาเศร้าตอกย้ำความอกหัก ตัวดนตรีถือว่าเรียบเรียงออกมาได้อย่างสวยงามมีกลิ่นอายของเรกเก้และเข้ากับอารมณ์ของเนื้อเพลงได้เป็นอย่างดี

“Don’t Speak” ได้กลายเป็นเพลงที่ทำให้ใครหลายคนได้รู้จักกับชื่อของวง No Doubt เพราะมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถึงขนาดติดชาร์ตอันดับ 1 ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก


GUNS N’ ROSES – NOVEMBER RAIN (1992)

แม้ช่วงยุค 90’s จะเป็นยุคตกต่ำของบรรดาวงแฮร์แบนด์ไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความยิ่งใหญ่ของ Gun N’ Roses สั่นคลอนแต่อย่างใด สิ่งเหล่านั้นพิสูจน์ได้จากอัลบั้ม Use Your Illusion I ได้เป็นอย่างดี เพราะมีหลาย ๆ ซิงเกิ้ลที่ยังคงได้รับความนิยม โดยเฉพาะเพลง “November Rain”

บทเพลงสไตล์บัลลาดร็อกสุดอลังการ บรรเลงด้วยเสียงของเปียโน, กลุ่มบรรดาเครื่องสายจากวงออร์เครสตรา และพาร์ตดนตรีหลัก รวมไปถึงเสียงร้องสุดทรงพลังเต็มไปด้วยอีโมชั่นของ Axl Rose ยิ่งทำให้ตัวเพลงออกมาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

และอีกสิ่งหนึ่งที่แฟน ๆ จดจำกันได้เป็นอย่างดีก็คือ MV กับฉากที่ Slash ออกมาโซโล่กีตาร์หน้าโบสถ์ผมปลิวไสว เท่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


GREEN DAY – BASKET CASE (1994)

อีกหนึ่งวงป๊อปพังก์/พังก์ร็อก ที่ประสบความสำเร็จในวงการดนตรีเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันก็ยังคงมีผลงานออกมาให้ฟังอย่างต่อเนื่อง แต่จริง ๆ แล้ว Green Day สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่โด่งดังตั้งแต่ในยุค 90’s แล้ว

ส่วนผลงานเพลงที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากจริง ๆ ก็มีอยู่หลายเพลงโดยเฉพาะจากอัลบั้ม Dookie กับเพลง “Basket Case” ดนตรีที่สับคอร์ดกันง่าย ๆ ไม่ต้องซับซ้อนอะไร แต่ใครที่ได้ฟังก็อยากจะกระโดดไปตามจังหวะของเพลง

นอกจากนั้นเพลงนี้ยังถือเป็นการปูรากฐานให้วงดนตรีป๊อปพังก์มากมายในยุคหลังด้วย


LIMP BIZKIT – NOOKIE (1999)

เด็กปั้นจากวง Korn ผู้ก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จในฐานะหัวหอกของสายนูเมทัล Limp Bizkit ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนซาวด์ให้มีความแมสมากขึ้นในอัลบั้มที่ 2 “Significant Other” 

เพลง “Nookie” คือซิงเกิ้ลที่ได้รับความนิยมจากอัลบั้มดังกล่าว อัดแน่นไปด้วยซาวด์กีตาร์ที่แตกพร่า จังหวะดนตรีหนักหน่วง เสียงของเทิร์นเทเบิ้ล การร้องด้วยท่อนแร็ปสลับกับการร้องปกติ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกช่วงเวลาที่นูเมทัลครองโลกได้เป็นอย่างดี


THE OFFSPRING – PRETTY FLY (FOR A WHITE GUY) (1998)

“Give it to me baby uh huh uh huh” ขึ้นมาท่อนนี้ร้องตามกันได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะวัยรุ่นในช่วงยุค 90’s เพราะตามผับบาร์ในบ้านเราเปิดกันแทบทุกร้าน ผลงานเพลง “Pretty Fly (For A White Guy)” ของวง The Offspring

เพลงนี้ถือเป็นการทำให้แฟนเพลงของทางวงต้องผงะไปเต็ม ๆ เพราะพวกเขาได้เปลี่ยนจากซาวด์พังก์ร็อกอันเข้มข้นให้กลายเป็นดนตรีป๊อปพังก์ที่มีความเป็นอัลเทอร์เนทีฟร็อกแทน แถมมีจังหวะที่คล้าย ๆ กับเพลงสามช่าบ้านเราซะด้วย และเพราะการเปลี่ยนแปลงนั่นเองที่ทำให้เพลงของพวกเขาเข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกเพศทุกวัย จนส่งผลให้ทางวงกลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

จริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็นกลยุทธ์ของทางวงและค่ายเพลงที่จะหาทางต่อยอดเส้นทางดนตรีของวง The Offspring ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จอย่างที่เราได้เห็นกัน


จริง ๆ ยังมีอีกหลายเพลงที่เหมาะสมเข้ามาอยู่ในเพลย์ลิสต์นี้ด้วย แต่ด้วยคอนเซปต์จึงขอหยิบยก 11 เพลงดังกล่าวมานำเสนอตามความชื่นชอบของผู้เขียนเอง

ส่วนใครชื่นชอบเพลงไหนอีกก็สามารถเข้าไปคอมเมนต์บอกกันได้ที่เพจของเรา และใครที่ชื่นชอบการจัดเพลย์ลิสต์แบบนี้รับรองว่าเราจะมีมาฝากให้ทุกคนอย่างต่อเนื่องแน่นอนครับ

 

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line