Girls

รัดรึงตรึงคลาย: เมื่อเราพาร่างกายไปให้เธอมัด UNNAMEDMINOR หญิงสาวผู้รัก SHIBARI หมดใจ

By: PSYCAT November 26, 2018

ภาพหญิงสาวในเรือนร่างหลากหลาย บ้างอวบอัด บ้างเพรียวบาง ถูกมัดด้วยเชือกสีแดงสด ยิ่งเน้นหนั่นเนื้อให้นูนโผล่พ้นเส้นเชือกที่พันธนาการออกมา เห็นทีไรก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ๆ ทั้งเรือนร่างและเส้นเชือกที่มีเสน่ห์ดึงดูดแบบยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อพ้นไปจากความดึงดูดและแรงขับทางเพศที่เต้นเร่าอยู่ในตัวเราแล้ว เราเห็นอะไรเบื้องหลังเส้นเชือกและเรือนร่างเหล่านั้นอีก ?

สำหรับเรา เราเห็น ไมเนอร์-เพชรดา ปาจรีย์ หรือ Unnamedminor หญิงสาวคนหนึ่งที่หลงใหลการมัดแบบหมดจิตหมดใจ เธอเริ่มต้นจากการมัดตัวเองแบบงู ๆ ปลา ๆ มีอาจารย์เป็นข้อมูลที่หาได้ทางอินเตอร์เน็ต ก่อนจะเริ่มเรียนรู้จาก Mother of Kinbaku อย่างเอาจริงเอาจัง

ในวันที่โลกมอง Kinbaku หรือ Shibari (แล้วแต่จะเรียก) อย่างสนใจมากขึ้น ๆ เราจึงมีโอกาสเห็นบทสนทนาที่ว่าด้วยเรื่องนี้จากปากของเธอตามสื่อสารพัดแขนงมากตามไปด้วยเช่นกัน เธอเปิดเปลือยตัวตน พอ ๆ กับที่รัดรึงได้อย่างน่าทึ่ง เราจึงคิดว่าไม่มีอะไรจะงดงามไปกว่าการพาร่างกายไปให้เธอมัด

บทสนทนาของเราจึงเป็นบทสนทนาที่ไม่ได้ร้อยเรียงด้วยคำพูด แต่ผูกรัดร้อยเรียงขึ้นมาด้วยเส้นเชือก เธอและเรา

“เซ็กซี่ฉิบหาย” นั่นคือแวบความรู้สึกแรกที่พุ่งขึ้นมาในหัวตอนที่เธอเปิดประตูออกมารับ ในขณะที่ชั่วขณะต่อมาเราสัมผัสได้ถึงความมั่นใจและความเป็นตัวเองบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเธอและนั่นยิ่งขับให้เธอดูเซ็กซี่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ใต้แดดบ่ายสีทอง เรากระซิบกระซาบคุยกันด้วยเรื่องทั่ว ๆ ไป สลับเสียงหัวเราะของเธอและรอยยิ้มของฉัน

จนเมื่อเธอพร้อม ฉันพร้อม ทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น …

ความละเมียดละไมอาจเป็นสิ่งท้าย ๆ ที่ถูกนึกถึงเมื่อพูดถึงการมัด ภาพสุดยั่วอารมณ์ หรือแม้แต่เมื่อพูดถึง Unnamedminor หญิงสาวเซ็กซี่ ขี้เล่น ดูยั่วยวนและมั่นใจ ฉันเคยคิดว่าทุกอย่างจะเต็มไปด้วยความดุเดือด ความเร่าร้อน และสัญชาตญาณบางอย่างในตัวที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมา แต่กลับกันกับที่คิด “ความละเมียดละไม” คือสิ่งแรกที่ได้รับหลังจากเรานั่งลงเผชิญหน้ากัน

เธอสัมผัสร่างกายฉันอย่างแผ่วเบาเพื่อทำความรู้จักมัน เธอไถ่ถามฉันว่ามีปัญหาตรงไหนไหม ปวดจุดใดเป็นพิเศษหรือเปล่า ก่อนจะเช็กความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงบนของร่างกายด้วยการทดสอบกำลังนิ้วทั้งสิบของฉันและแน่นอนฉันสอบผ่าน แต่ที่ฉันรู้สึกมากกว่านั้นคือ “ความเชื่อใจ” ภายใต้การโอบกอดจากเส้นเชือกของเธอที่ฉันมั่นใจว่าฉันจะปลอดภัย

“เราใช้คำนิยามว่าเรามัดเป็นก็ต่อเมื่อ เรามีคู่ที่เขาไว้ใจเรา” ไมเนอร์บอกแบบนั้น “เสน่ห์ของมันคือการที่เราได้มีส่วนร่วมกับคู่ของเรา เหมือนคุณมีคู่รัก ถามจริง ๆ ว่าคุณมีคู่รัก คุณได้พูดกับเขาทุกอย่างไหม ? ไม่หรอกเป็นไปไม่ได้ แม้แต่รสนิยมทางเพศจริง ๆ เราก็ไม่บอกกัน แต่การมัด ความละเอียดอ่อนของมันคือการพูดทุกอย่างจริง ๆ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เจ็บตรงไหน คือเราพูดกันทุกอย่าง นั่นคือความงามที่เราเห็น การทำให้สองคน Trust กันจากสิ่งที่ไม่ปลอดภัยมาก ๆ เราว่ามันสวยงาม”

ใช่ ฉัน Trust เธอหมดใจ และโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ฉันก็เชื่อว่าเธอสัมผัสได้ว่าฉัน Trust ในตัวเธอเช่นกัน

เธอจับเชือกราวกับเสกมนต์บางอย่าง เธอเคลื่อนไหวราวกับร่ายรำ เธอบอกให้ฉันหายใจเข้าออกเป็นจังหวะและผ่อนคลาย เชือกสีแดงค่อย ๆ รัดจากส่วนบน สู่ส่วนอื่น ๆ อย่างแผ่วเบา แต่ในขณะเดียวกันก็เร้นรีดเร้ารึงให้ความรู้สึกแปลกประหลาดแต่เป็นสุขอย่างที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“คนเรามีวิธีการผ่อนคลายที่ต่างกัน บางคนอาจชอบช่วยตัวเอง บางคนอาจจะชอบวาดรูป บางคนอาจจะชอบฟังเพลง นี่ก็เป็นประเภทหนึ่งของการผ่อนคลาย เราเลือกสิ่งนี้ เพราะมันเป็นตัวเรา” ไมเนอร์เล่าว่าเธอเริ่มทำความรู้จัก Shibari จากการมัดตัวเอง “เวลาเรามัดตัวเอง เราจะรู้สึกผ่อนคลาย”

ฉันเคยคิดว่าฉันเป็นเจ้าของร่างกายนี้ ฉันสามารถรับรู้ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทุก ๆ อณูบนร่างกายของฉัน แต่ไม่ จริง ๆ แล้วฉันแทบไม่รู้จักร่างกายตัวเองเลย วินาทีที่เชือกสีแดงผูกร่างกายส่วนบนของฉันเข้ากับขาและเท้าในท่าทางที่ผิดแผกไปจากท่านั่ง เดิน ยืน นอนตามปกติของตัวเอง ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกใหม่ ๆ ในบริเวณที่ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตรงนี้ควรต้องมีความรู้สึกอะไร แต่วันนี้มันกลับมีความรู้สึกราวกับฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับไหลยาวนาน

คนเราจึงไม่ได้รู้จักร่างกายของตัวเองหรือคนอื่นดีอย่างที่เราเคยคิด ทุกอย่างต้องผ่านการสัมผัส การเรียนรู้ การสื่อสาร “เราเริ่มทดลองด้วยการมัดตัวเองในช่วงปีแรก เรียนรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่สิ่งที่ผิดพลาดก็คือ เราประสบอุบัติเหตุจากการมัดตัวเองต้องเข้าเฝือก 3 เดือน ตอนนั้นรู้สึกว่าเริ่มไม่ใช่แล้ว มันอันตรายเกินไป เราควรจะไปเรียนเป็นจริงเป็นจัง”

“เป็นความโชคดีที่เราได้เจอรุ่นพี่จาก BDSM Thailand เพราะเราชอบถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเองกับการมัด เขาเลยแนะนำให้ไปเจอกับอาจารย์ญี่ปุ่นที่ตอนนั้นเขามาสอนที่ไทยพอดี”

การมัดจึงดูเป็นเรื่องเร้าใจและให้ความรู้สึกตื่นเต้น บางครั้งดูซับซ้อน แต่บางรูปแบบดูไม่ยุ่งยากจนเราหลงคิดไปเองว่าใคร ๆ ก็น่าจะมัดได้ ไม่น่าเป็นอันตรายอะไร แต่กับร่างกายเราเองที่เราคิดว่าเรารู้จักมันดี เราอาจยังรู้จักมันได้ไม่ดีพอเลยด้วยซ้ำ ประสาอะไรกับการมัดที่เราจำเป็นต้องรู้จักตัวเอง รู้จักคนอื่น นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ไมเนอร์ตัดสินใจเริ่มเรียนรู้จาก Yoshida Yoi – Mother of Kinbaku อย่างจริงจัง

“เราสูญเสียความรักครั้งใหญ่ไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามีคำพูดที่พูดกับเราเสมอว่าไม่ว่ายังไงเราอยากให้คุณดำเนินชีวิตของคุณไปในสิ่งที่เป็นคุณ เราเองก็คิดได้ว่าถ้าเราสูญเสียอะไรบางอย่างไป เราต้องเอาความรักความชอบแบบอื่น ๆ มาทดแทน ซึ่งสิ่งเดียวที่เราให้ความสนใจมานานที่สุดก็คือเรื่องนี้” ไมเนอร์เล่าถึงอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอแปรความชอบในการมัดสู่การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง

“เราอยากเรียนรู้มันที่สุดแล้ว เหมือนเราเจอคนที่เราชอบแล้วเราอยากเรียนรู้เขามากขึ้น” เธอพูดด้วยตาเป็นประกาย ใช่ สัมผัสได้จริง ๆ ว่าเธอพูดถึงการมัดเหมือนกับการพูดถึงการตกหลุมรักใครสักคน รักจนอยากรู้จัก รู้จักแล้วก็อยากรู้จักให้ดีขึ้นอีก ๆ “จนเราได้เห็นอาจารย์มัด ได้เรียนรู้กระทั่งกระบวนการคิดของความสวยงามทุกอย่างที่เราเห็น เราเลยยิ่งหลงรักมากขึ้น ๆ มันเลยกลายเป็นความรักที่มาทดแทนความรักอีกอย่างหนึ่งได้”

“เราสูญเสียความรักบางแบบ เราเลยใช้ความรักบางแบบมาเติมเต็มเรา มันเลยเยียวยาเราได้ เราเลยคิดว่ามันช่วยเราได้ มันก็อาจจะสามารถช่วยคนอื่นได้เหมือนกัน”

“มันเริ่มมาจากตัวเรา เราทำกับตัวเอง แล้วเรารู้ว่ามันผ่อนคลาย กูก็ไม่น่าจะประหลาดอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้หรอก มันต้องมีคนที่เหมือนกูสิ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเจอใครที่คล้าย ๆ เรา เราก็จะบอกเขาว่า เฮ้ย กูเคยทำแบบนี้แล้วมันช่วยกูได้นะ ลองมั้ย”

เมื่อร่างกายฉันถูกโอบกอดด้วยเส้นเชือกของเธอเบ็ดเสร็จ เราหายใจเป็นจังหวะเดียวกัน ฉันรู้สึกถึงการถูกรัดรึง แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกตรึงไว้ด้วยความรู้สึกดี ๆ บางแบบอันไม่อาจอธิบาย แต่ที่ประหลาดใจที่สุดคือความรู้สึกคลายความกังวลใจอย่างไม่น่าเชื่อ

“เราใช้คำนิยามว่าเรามัดเป็นก็ต่อเมื่อ เรามีคู่ที่เขาไว้ใจเรา นั่นคือสิ่งที่เราทำได้แล้ว และได้โชว์ให้อาจารย์เห็นและยอมรับในจุดนั้น แต่เราจะไม่เรียกตัวเองว่าเป็นมาสเตอร์ แค่เราก้าวมาจากจุดเริ่มต้น มาสู่จุดที่เราทำได้และมีคนยอมรับ แต่เราก็ต้องเรียนรู้มันไปเรื่อย ๆ “ ไมเนอร์ตอบเรา หลังจากที่เราถามว่าวันแรกที่มัดตัวเองจนต้องเข้าเฝือก กับวันนี้เรานิยามตัวเองว่ามัดเป็นได้หรือยัง

เธอมีคำตอบของเธอ แต่ฉันเองก็มีคำตอบของฉัน ถ้าการมัดเป็นหมายความถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ฉันมอบให้เธออย่างไม่มีเงื่อนไขในการมัดครั้งนี้

ทุกอย่างมีกระบวนการของมัน ตั้งแต่การผูกไปจนถึงการคลาย เชือกค่อย ๆ ถูกคลายออก พร้อมกับที่ฉันค่อย ๆ เข้าใจกระบวนการมัด กระบวนการเรียนรู้จากสิ่งที่ไมเนอร์เล่าให้ฟัง รวมไปถึงคำพูดที่เธอไม่ได้เอ่ย แต่เราสื่อสารกันผ่านเส้นเชือกสีแดงนั้นแล้ว และเรากำลังรุกเข้าไปยังเรื่องอื่น ๆ พร้อมกันกับที่เธอตั้งต้นมัดฉันในรูปแบบอื่นด้วย

“เราแค่รู้สึกว่าเราได้ทำสิ่งที่เราชอบ ส่วนมันจะเป็นศิลปะมั้ย เราไม่ได้สนใจ เราแค่ได้เริ่มในสิ่งที่เราอยากทำ เราได้ทำมัน มันเติมเต็มเรา เราจะทำให้เป็นศิลปะได้ยังไงก็เป็นกระบวนการคิดที่มันต่อยอดมาหลังจากนั้น” ไมเนอร์ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ทำตรงหน้าจะเป็นศิลปะหรือไม่ มันอาจจะเป็นหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับการได้ทำในสิ่งที่รักและมันเติมเต็มเธอได้

“เราคิดว่าจะทำอะไรให้เป็นศิลปะได้ มันต้องมีมากกว่าความชอบ เราไม่สามารถหยิบแค่ความชอบขึ้นมาแล้วอ้างว่านั่นคือศิลปะ มันต้องมีสุนทรียภาพ มันต้องมีที่มาที่ไป มันต้องมีการตอบสนองอารมณ์ของคนดู มันต้องมีความหมายอะไรมากกว่านั้น”

นั่งนิ่ง ฟังอย่างเดียว ไม่อาจโต้แย้งอะไร ณ ขณะนั้น แต่หลังจากกลับมาทบทวน ฉันเห็นสุนทรียภาพจากเส้นเชือกของเธอ เห็นเรื่องเล่า เห็นที่มาที่ไป และฉันกล้ายืนยันว่าในฐานะคนดูและคนถูกมัดในเวลาเดียวกันฉันมีอารมณ์ตอบสนองต่อการมัดของเธออย่างเต็มเปี่ยม ส่วนความหมาย ฉันก็มั่นใจว่ามันมีความหมายบางแบบที่ฉันสัมผัสได้

สำหรับไมเนอร์สิ่งที่เธอทำอาจจะเป็นศิลปะหรือไม่ฉันก็น้อมรับ แต่สำหรับฉัน ฉันก็มีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจเช่นกัน

ความมืดค่อย ๆ โรยตัวปกคลุมท้องฟ้าด้านนอก เมื่อเปิดไฟสีสันแปลกตา สตูดิโอตรงหน้าก็คล้ายเปลี่ยนไปเป็นอีกสถานที่หนึ่ง สถานที่ที่ไมเนอร์จะมัดฉันแบบลอยตัว เธอบอกให้ฉันเปิดเพลงที่ฟังแล้วผ่อนคลายที่สุด การมัดคือการรัดรึง แต่เธอก็อยากให้มันตรึงฉันไว้กับความรู้สึกผ่อนและคลาย

ฉันเดินไปเปิดเพลง Open ของ Rhye เมื่อเสียงยวนใจของ Mike Milosh เปล่งท่อนแรกของเพลงออกมา ท่อนล่างของฉันก็ตกอยู่ภายใต้การพันธนาการของเธอแล้ว

มันต้องมีคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำสิ เคยโดนต่อว่าบ้างไหม ? ฉันถามเธอ “เราเจอคำพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะเราแปลกตั้งแต่เด็ก แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ไปทำร้ายใคร” เธอยืนยันว่าสิ่งที่เธอทำมันอาจต่างออกไปจากสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมนี้ทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำแน่ ๆ คือการทำร้ายใคร

“ถ้าเราไม่มีกฎ ไม่มีกติกา ไม่มีความปลอดภัย มันก็ไม่ต่างจากฆาตกรโรคจิตที่กระทำความรุนแรงต่อคนอื่นเลย แต่เราต่างเพราะตรงนี้ เรามีความเข้าใจ เรามีการพูดคุยกับอีกคน เรามีกฎของเรา เรามีขอบเขตที่เราตีขึ้นมาด้วยความยินยอมพร้อมใจของคนสองคน”

เธอยืนยันว่าทุกอย่างที่เธอทำ เริ่มต้นจากความยินยอมพร้อมใจของคนสองคน ร้อยเรียงขึ้นมาเป็นกฎ เป็นกติกา ที่คนสองคนต้องยึดถืออย่างเหนียวแน่นตลอดการมัด ไม่แปลกอะไรที่คนจะผูกโยงการมัดเข้ากับรสนิยมทางเพศแบบนิยมความรุนแรง แต่เธอก็ย้ำว่าแม้แต่รสนิยมทางเพศแบบนั้นมันก็มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง “คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับ BDSM ที่น้อยมาก ๆ ก็จะเข้าใจแค่ว่ามันคือนายกับทาส หรือการกระทำชำเราหรือการสนองตัณหาบางอย่าง รสนิยมทางเพศยิ่งดูรุนแรง ยิ่งมีความละเอียดอ่อนมากกว่าแค่การกระทำหรือถูกกระทำ”

“มันก็เหมือนว่าเราไม่ได้ไปเอาเขาโดยที่เขาไม่ยินยอม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากความยินยอม เราไม่ได้ทำอะไรเกินขอบเขตของกฎที่เราตกลงกัน เราอาจทำเรื่องที่ต่างจากคนอื่นไป แต่กฎที่เรามีต่อกัน เราก็ยังเคารพอยู่”

ภายใต้สังคมที่เรื่องเพศหรือรสนิยมที่ผิดแผกไปจากการเอากันตามปกติถูกมองว่าประหลาด เราก็ไม่แปลกใจนักที่ทุกคนมองว่าการมัดเชื่อมโยงแค่กับความรุนแรงโดยไม่ได้มองบริบทอื่น ๆ นอกเหนือไปจากนั้น แต่เรามั่นใจว่าคนที่ชื่นชอบการมัด หรือมีรสนิยมทางเพศที่ต่างออกไปและพร้อมจะอยู่ในกฎกติการ รวมถึงความยินยอมพร้อมใจก็มีอยู่จริงในสังคมนี้

“ถ้ามีคนที่คล้าย ๆ เรา แล้วไม่รู้ว่าต้องอยู่ยังไงกับสังคมแบบนี้ หรือไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอะไรกับสังคมแบบนี้ เราอยากบอกว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงนี้ที่พร้อมจะพูดคุยด้วย แบ่งปันความรู้ด้วยหรือแนะนำให้ได้”

“เราเจอมาเยอะมาก ส่งข้อความมาบอกว่าผมอยากเลียเท้าใครสักคน ผมควรทำยังไงดีครับ เราจะเจอเคสแปลก ๆ เยอะเพราะฉะนั้นคุยกับเราได้ แต่ไม่ใช่คุกคาม”

“การคุยเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะทำความรู้จักกัน ถ้าคุณไม่เริ่มคุยในสิ่งที่คุณชอบ คุณจะไปทำเหี้ยอะไรได้วะ”

“การเป็นตัวเราเองมันไม่ใช่เรื่องผิดขนาดนั้น” เธอจ้องลึกลงไปในตาฉันตอนพูดประโยคนี้ ฉันท่องมันซ้ำ ๆ ในใจ ใช่ การเป็นตัวเราเองมันไม่ใช่เรื่องผิด อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง “มึงจะต่าง มึงจะเพี้ยน มันไม่ได้ผิดอะไรเลย มึงไม่ได้ทำร้ายใคร เพี้ยนให้เต็มที่เลย มันไม่ได้แปลกอะไรที่เราจะแปลก เพราะเราไม่ได้ไปทำร้ายใคร”

“เราอยากให้คนเห็นความต่าง อยากให้เป็น Comunity ธรรมดา ๆ เหมือนเราไปเรียนโยคะ เหมือนเรามีสตูดิโอโยคะหรือโพลแดนซ์ อาจจะมีสตูดิโอเหมือนกัน อย่างที่ฝรั่งเศสหรือเยอรมัน เขาก็มีแบบนี้ “

“ถามว่าคนที่สนใจในไทยมันมีเยอะไหม มันมีเยอะมาก แค่มันไม่มีใครบอกเขาว่าต้องทำยังไง

มึงไม่ได้วิปริตขนาดนั้นหรอก กูก็เป็น คนอื่นก็เป็น แค่ต้องมีพื้นที่ ต้องทำให้มันถูก”

การไม่มีพื้นที่ที่เปิดกว้างให้คนได้เรียนรู้อย่างถูกต้องร่วมกันอาจหมายรวมไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะเชือกทุกเส้นต้องเป็นเชือกเฉพาะแบบเท่านั้น วิธีการมัดต้องเป็นวิธีที่ดูแลคนถูกมัดให้ปลอดภัยที่สุด แม้ทางหนึ่งคนจะรู้จัก Shibari มากขึ้น แต่ก็ก่อให้เกิดการมัดแบบผิด ๆ เกิดขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน

“งานมัดเป็นเรื่องคนสองคน แต่สิ่งที่เราเห็นแล้วเป็นการกระทำที่ผิดคือคนกระทำเห็นแก่ตัว เราอยากบอกว่าอย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่คู่ของตัวเองบ้าง อย่าคิดแค่ว่าอยากถ่ายรูป อยากได้รูป ถ่ายได้รูปสวย จบ มันคือชีวิตของอีกคน การแขวนใครอีกคนอันตรายมั้ย ? คุณคิดว่ามันอยู่ได้ แต่จริง ๆ คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา คุณรับผิดชอบทั้งชีวิตเขาได้มั้ย ?”

“อย่าเห็นแก่ตัวสิ” เธอย้ำ

“การมัดทำให้เราเห็นคนคนนั้น รู้จักคนคนนั้นมากขึ้น เพราะเราสื่อสารกันหมด เราสื่อสารด้วยการมอง สื่อสารด้วยการสัมผัส เราใช้ทุกการสื่อสารที่มี” ร่างของฉันที่เชือกเธอมัดอย่างแนบแน่น ถูกชักจนลอยขึ้นเหนือพื้นช้า ๆ ฉันกำซาบทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั่วร่างของฉันตอนนี้

ไม่ใช่แค่เธอรู้จักฉัน ฉันได้รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้น ฉันรู้จักความกลัวการพันธนาการ ในขณะที่ก็รู้จักการมอบความไว้ใจให้เธอ ฉันรู้จักความไม่มั่นคงของการไม่อาจใช้เท้าแตะพื้นอย่างมั่นคง ในขณะที่ฉันก็รู้จักปล่อยวางและปล่อยทุกอย่างให้ลอยไป มันคือการรัดรึงตรึงคลายอย่างไม่น่าเชื่อ

มันมีขั้นต่อไปไหม อยากทำอะไรเพื่อปลดล็อกตัวเองไปอีกขั้นหรือเปล่า ? ฉันถามเธอ “มันคือการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ เพื่อพัฒนางานของตัวเองไปเรื่อย ๆ”

“เราเริ่มมาจากงานอดิเรก เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าอยากให้มันเป็นอะไร เราแค่อยากให้ทุกคนที่ชอบเหมือนเรา ให้คนที่ไม่มีโอกาสได้อย่างที่เราได้ ได้รับบ้าง”

“เราสนุกกับการที่ได้ทำมันไปเรื่อย ๆ แล้วเราก็อยากให้ทุกคนสนุกกับการที่เห็นเราทำมันไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง ส่วนเราก็ได้เรียนรู้มันไปเรื่อย ๆ ด้วย”

มีอะไรอยากบอกคนที่มองว่าการมัดเป็นเรื่องผิดแปลกหรือเปล่า ?

“ก็ไม่ได้หวังให้เขาเข้าใจ หรือไปเปลี่ยนมายด์เซ็ตเขา ชิบาริมันเกี่ยวกับการมัด การเอากันอยู่แล้ว แค่คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรมันไม่ผิดหรอกที่จะชอบ ถ้ามันไม่ได้ทำร้ายใครก็ทำไปเถอะ มายด์เซ็ตคนทั่วไปมองมันแบบนั้น เราแค่อยากแนะนำให้เขาเห็นมันในอีกมุมหนึ่ง ทุกความต่างมันมีความงาม แค่ลองมองมุมอื่น อย่ามีมายด์เซ็ตฝังหัว แล้วตัดสินไปเลย”

“ถ้าคุณมาดูงานเรา มันจะไม่มีคำว่าวิปริตอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ คุณจะมองว่ามันต่างออกไป”

“งานมัดที่ให้ได้มากกว่า AV คุณต้องมาดูที่เรา” เธอพูดยั่ว แต่ฉันเชื่อว่ามันหมายความตามนั้นจริง ๆ

เชือกถูกปลด ปมถูกคลาย เท้าฉันแตะพื้น บทสนทนาผ่านเส้นเชือกของเราจบลง แต่ ไมเนอร์-เพชรดา ปาจรีย์ หรือ Unnamedminor จะยังสนทนา สื่อสาร ทำความรู้จักคนอื่น ๆ ผ่านเส้นเชือกต่อไป ใครที่อยากรู้จักเธอผ่านงานของเธอมากขึ้นติดตามได้ที่ Unnamedminor เธอจัดอีเวนต์มัดสดอยู่บ่อย ๆ และฉันอยากบอกว่าต้องไปดูให้ได้สักครั้งในชีวิต

เส้นเชือกตรงหน้าอาจพาคุณไปรู้จักตัวเองได้มากกว่าที่คิด

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line