เมื่อเราพัฒนาความสัมพันธ์กับคนคุยของเราจนถึงขั้นเป็นแฟนกันแล้ว สิ่งที่ผู้ชายหลายคนน่าจะอยากทำเป็นอย่างแรก คือ การมีเซ็กส์อันเร่าร้อนกับแฟนสาวของตัวเอง แต่ในความเป็นจริง การมีเซ็กส์ถี่บ่อย รวมไปถึงการมีเซ็กส์ก่อนเวลาอันควร อาจทำให้เรามีความสุขกับมันน้อยลง และมีความสุขกับความสัมพันธ์ที่มีอยู่น้อยลงอีกด้วย ทำไมเราถึงไม่ควรรีบมีเซ็กส์กับคู่รักของตัวเอง ? การให้ความสำคัญกับ “เซ็กส์” มาก ๆ อาจเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของเราได้ เพราะเราอาจจะยังไม่รู้จักคู่รักของเราดีมากพอ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Family Psychology (2010) ได้ทำการศึกษาคนที่แต่งงานแล้วกว่า 2,000 คน ผ่านการทำแบบประเมินออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานชื่อว่า “RELATE.” และพบว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคนที่มีเซ็กส์หลังแต่งงาน และคนที่มีเซ็กส์ก่อนแต่งงาน คนที่มีเซ็กส์หลังแต่งงาน รายงานมีเซกส์ที่มีคุณภาพมากกว่าถึง 15% มีความมั่นคงทางความสัมพันธ์มากกว่าถึง 22% สามารถสื่อสารกันได้ดีกว่า 12% และมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์มากกว่าถึง 20% สาเหตุที่ทำให้คู่รักที่รู้จักรอคอยการมีเซ็กส์ มีความสุขกับความสัมพันธ์มากกว่า และรู้สึกมีคุณภาพเซ็กส์ที่ดีกว่า คาดว่าเกิดจาก พวกเขามีเวลาในการเรียนรู้คู่รักของตัวเอง จนสามารถพัฒนาทักษะที่ช่วยส่งเสริมการมีความสัมพันธ์ที่ดี หรือ สามารถสร้างกระบวนการสื่อสารที่ดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยพัฒนาความมั่นคง และความพึงพอใจในความสัมพันธ์ให้สูงขึ้น ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจาก Cornell University (2012) ที่ได้ทำการสำรวจคู่รักในเรื่องความสุข
ความสุขมีมากมายหลายรูปแบบ กิจกรรมหวามไหวก็เป็นอีกหนึ่งความสุขที่คลายเครียดทั้งกายและใจให้เราได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเซ็กซ์แล้ว การประกอบกิจกรรมย่อมทำได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ใครจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล) ดังนั้นเซ็กซ์ที่สมบูรณ์แบบจึงควรเป็นเซ็กซ์ที่อิ่มเอมกันทุกฝ่าย ไม่ใช่พอใจอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องง่าย ๆ ที่ผู้ชายหลายคนไม่รู้จึงเป็นเรื่องของจังหวะอารมณ์ที่ไม่เท่ากัน ผู้ชายอาจจุดติดง่ายไฟลุกโชติช่วง ทันทีที่มีอารมณ์ก็พร้อมจะกระโจนเข้าสมรภูมิได้เลย แต่ผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคน ผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องการการกระตุ้นเร้าที่เหมาะสม เพื่อจุดไฟรัญจวนให้ติด “การเล้าโลมจึงมีความหมาย” และนี่คือ 5 สิ่งที่เราอยาก UNLOCK วิธีคิดผูายสายจุดติดไวทั้งหลายว่าการมีเซ็กซ์ไม่ใช่แค่สอดใส่ แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน เพราะความหวามไหว เริ่มต้นตั้งแต่นอกห้องนอน เราไม่สามารถเอาความรู้สึกตัวเองไปสวมแทนความรู้สึกคนอื่นได้ เซ็กซ์เองก็เช่นกัน ต่อให้เรารู้สึกทะลักล้นปริ่ม ๆ มาตลอดวันเพียงใด ตกกลางคืนเจอหน้าเธอที่เรารัก แล้วกระโจนเข้าใส่ โดยหวังให้เธอมีอารมณ์ทะลักล้นระดับเดียวกันจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะแบบนี้การเล้าโลมจึงมีความหมาย และจงจำให้ขึ้นใจว่าการเล้าโลมเริ่มได้ตั้งแต่นอกห้องนอน! ไม่ต้องรอให้ขึ้นเตียงแล้วค่อยเริ่ม แต่เราสามารถส่งขอ้ความหวามไหว ไปกระตุ้นเร้าเธอได้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เจอกัน เช่น “คิดถึงจัง อดใจรอการจะได้เจอคุณคืนนี้ไม่ไหวแล้ว”, “อยากสัมผัสคุณจะแย่แล้ว แค่นึกถึงเรียวขาคุณก็แทบอดใจไม่ไหว” หรือประโยคอื่น ๆ ที่เป็นตัวเองกว่านี้ เต็มไปด้วยอารมณ์กว่านี้ และเป็นการสื่อสารกับเธออย่างจริงใจว่าคุณรู้สึกอยากกระโจนเข้าใส่เธอแค่ไหน การส่งข้อความนำไปก่อน เป็นทั้งการบอกความรู้สึกของคุณ เป็นการปรับระดับอารมณ์ของเธอให้มาอยู่ในระดับเดียวกัน รวมถึงกระตุ้นให้เธอรู้สึกมากขึ้น จินตนาการมากขึ้น ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
ความรักมักลึกลับและซับซ้อน ทั้งในเรื่องความรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลายจนปวดหัว และเรื่องบนเตียงที่บอกเล่าความรู้สึกที่แตกต่าง ดังเช่นการมีการมีเซ็กซ์กันแบบธรรมดา กับการร่วมรักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ สองอย่างนี้แม้จะมีปลายทางที่เรียกว่าเสร็จได้ไม่แพ้กัน แต่เชื่อเถอะว่าในระหว่างทางนั้น มีผลกับความรู้สึกที่ต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างที่รู้กันว่า เซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติที่ใครต่างก็ต้องการ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เรื่องแบบนี้มักเป็นเรื่องปกติ และผู้ชายมักจะมีอารมณ์ในเรื่องนี้มากกว่าผู้หญิงทั้งในด้านของสิ่งเร้า และฮอร์โมนทางเพศที่มีความต้องการมากกว่า เพียงแต่ว่าเมื่อมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง การมีเซ็กซ์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของตัวช่วยที่จะกระตุ้นให้ความสัมพันธ์ หรือที่เราเรียกว่าการสร้างเมคเลิฟร่วมกันระหว่างคู่รักนั่นเอง หากไม่เคยได้ลองกับตัวเอง หลายคนอาจจะไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้สักเท่าไหร่ หรือบางทีเราอาจจะยังสงสัยอยู่ว่า ที่ผ่านมาเราแค่มีเซ็กซ์กันปกติ หรือเมคเลิฟอยู่กันแน่? วันนี้เราจึงจะพาไปหาคำตอบกันว่าจะได้หายข้องใจกันสักทีว่า สรุปแล้วรักของเรามันเป็นแบบไหนกันแน่ แรงจูงใจในความสัมพันธ์ที่แตกต่าง เป้าหมายของการมีเซ็กซ์ อาจหมายถึงแค่การสำเร็จความใคร่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดจะผูกพันหรือสร้างความสัมพันธ์กันต่อ หรือที่รู้จักกันดีในรูปแบบของ One night stand หรือ Friend With Benefits ไม่มีการผูกมัด แค่สนองอารมณ์แล้วจบ ในขณะที่การเมคเลิฟ หรือร่วมรักกันนั้น จะมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก อยากครอบครอง แสดงความเป็นเจ้าของในทุก ๆ ส่วนของร่างกายของอีกฝ่าย ส่งผลให้มีความแตกต่างกันในรูปแบบของการจูบ กลิ่นกาย และการมีเซ็กซ์กันอย่างลงตัว ไม่เพียงแค่เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักเท่านั้น เราจะรู้สึกใส่ใจคู่ของเรามากเป็นพิเศษ แถมการร่วมรักในครั้งนี้ จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้น มากกว่าการมีเซ็กซ์แบบธรรมดา รูปแบบของการสื่อสารที่ต่างกัน
“กระอักกระอ่วน” คงไม่มีใครชอบหรืออยากเผชิญความรู้สึกนี้ โดยเฉพาะเรื่องชวนหน้าแตก อับอายที่เกิดขึ้นระหว่างกิจกรรมที่ควรจะเซ็กซี่ยวนใจที่สุดอย่างกิจกรรมบนเตียง แต่เพราะเซ็กซ์คือกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างเรือนร่าง 2 เรือนร่าง (หรือมากกว่านั้น) เราจึงไม่สามารถควบคุมร่างกายของเราและของเธอให้อยู่ในบรรยากาศชวนพิศวาสดังใจได้เสมอไป อย่างไรก็ตามการมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างมีเซ็กซ์ แม้จะไม่ตรงกับที่เราคาดหวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องผิดปกติเสมอไป ดังนั้นมาทำความเข้าใจบรรดาเรื่องชวนกระอักกระอ่วนระหว่างกิจกรรมสวาทให้ถี่ถ้วน พร้อมวิธีคร่าว ๆ ว่าเราจะรับมือกับเรื่องชวนเขินตอนมีเซ็กซ์เหล่านั้นอย่างไร เพื่อให้เราไม่ดูตื่นตระหนกเกินเบอร์ หรือทำให้อีกฝั่งรู้สึกแย่จนหมดอารมณ์ เพราะบางเรื่องก็เกิดขึ้นได้จนแทบจะเป็นปกติ ขอแค่เราเข้าใจมันเท่านั้น น้องสาวผายลมได้ ไม่ต้องตกใจ อารมณ์กำลังขึ้นสูงสุด จังหวะร่างกายโหมกระหน่ำระรัวตามอารมณ์ไปติด ๆ แต่แล้วก็ “ปุ้ด!?” เสียงลมดันตัวแทรกผ่านช่องแคบ ๆ ออกมา จะว่าเราเผลอตดก็ไม่น่าใช่ “ปุ้ด!?” อีกรอบ คราวนี้เราจึงมั่นใจว่านี่คือเสียงลมที่ออกมาจากอวัยวะส่วนนั้นของเธอเป็นแน่ ก่อนอื่นจงเข้าใจไว้ว่าการที่น้องสาวของเธอมีลมผุดออกมาระหว่างมีเซ็กซ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าน้องสาวเธอตดออกมาเหมือนการตดที่ออกมาจากก้นแต่อย่างใด แต่เกิดจากการเสียดสีเอาอากาศเข้าไป ส่วนนั้นของเธอจึงขับลมออกมา ซึ่งอาจหมายความว่าเราใช้แรงมากและเร็วเกินไปจนอากาศเข้าไปมากก็เป็นได้ วิธีรับมือก็เพียงแต่ปล่อยให้มันเป็นไป เพราะมันไม่ต่างอะไรจากการมีเซ็กซ์แล้วเหงื่อออก มีเซ็กซ์แล้วเหนื่อยหอบ ไม่ต้องเอ่ยปากถามเธอ ไม่ต้องทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ปฏิบัติให้คล้ายกับว่าเรามีบางอย่างปกติธรรมดาเกิดขึ้น การรับมือแบบนี้นอกจากจะไม่ทำให้สาว ๆ รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ (ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียความมั่นใจใด ๆ อยู่แล้ว) ยังทำให้เราดูเข้าอกเข้าใจสรีระ และไม่เป็นมนุษย์ที่ช่างตัดสินอีกด้วย ถุงยางอนามัยเจ้ากรรม ทำพิษ!
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่ว่ากันว่าจากนี้ไปโลกจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม นอกจากนั้นหลายสิ่งหลายอย่างจะถูกแบ่งออกเป็นยุค Pre-COVID-19 และ Post-COVID-19 เพราะสรรพสิ่งจะพลิกกลับตีลังกาหงายหน้าหงายหลังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอันเนื่องมาจาก COVID-19 ทั้งไลฟ์สไตล์ วิธีการทำงาน วิธีการเดินทางท่องเที่ยว การรักษาสุขอนามัยส่วนตัว ไปจนถึง “เรื่องบนเตียง” เซ็กซ์ของผู้คนก่อน COVID-19 มาถึงเป็นอย่างหนึ่ง และหลังจากนี้หลายสิ่งหลายอย่างอาจเปลี่ยนไปจนเราตกตะลึง ความปลอดภัยมาก่อน “ความโหยหา” โลกยุค Pre-COVID-19 โหยหาเมื่อใด ต้องการความอบอุ่นจากร่างกายใครสักคนตอนไหน เราก็แค่เข้าแอปพลิเคชันสักแอปปัดซ้ายย้ายขวาไม่กี่หนก็ได้ใครสักคนที่ถูกใจแล้ว ปัจจัยในการตัดสินใจ “มีเซ็กซ์” นั้นมีเพียงแค่โหยหาใครสักคน ถูกใจ ไปกันต่อ แล้วเรื่องราวก็อาจจบลงภายในคืนนั้น (หรือไม่กี่ชั่วโมงนั้นด้วยซ้ำ) หรือจะสานต่อความสัมพันธ์กระชับความสัมพันธ์บนเตียง หรือรูปแบบอื่นต่อก็ย่อมได้ ทว่าโลก Post-COVID-19 ไม่ได้เป็นแบบนั้น ความโหยหา ความต้องการยังคงมีเต็มเปี่ยม แต่วิธีเรื่องความปลอดภัยของเราจะเปลี่ยนไป เราไม่สามารถนัดเจอมนุษย์ทุกคนที่เราอยากเจอได้ หรือแม้แต่หนึ่งคนที่อยากเจอที่สุดก็ไม่มีอะไรการันตีอีกต่อไปว่าเขาคนนั้นจะไม่นำความเสี่ยงมาให้ รวมไปถึงการเดินทาง สุขอนามัยของสถานที่ที่ใช้เป็นสมรภูมิรักอีกต่างหาก หากเทียบกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีวิธีการป้องกัน และรณรงค์กันมาหลายทศวรรษ เลือกใช้ได้ทั้งถุงยางอนามัย การกินยา Pre ยา Prep การไม่สัมผัสสารคัดหลั่ง ฯลฯ แต่กับ COVID-19
สารภาพมาเสียดี ๆ เถอะว่าคุณคือผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเชื่อว่าการทำให้ผู้หญิงหายใจหอบกระชั้น รู้สึกซาบซ่านจนบิดเรือนร่างนั้นต้องสัมผัส “ส่วนนั้นของเธอ” อย่างเร็ว ๆ และแรง ๆ เท่านั้น เราอยากบอกว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่ชอบการสัมผัสแบบรัวแรง โดยเฉพาะอวัยวะส่วนนั้นของเธอที่มีความบอบบางและอ่อนไหวเป็นพิเศษ การตะบี้ตะบันใช้แรง ไม่ได้หมายถึงอารมณ์ซาบซ่าน แต่อาจหมายถึงการทำให้เธอหมดอารมณ์ไปได้ดื้อ ๆ วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจอวัยวะสุดพิเศษนี้กันใหม่ ว่าหนทางคลึงเคล้าเร้ารัญจวนที่จะทำให้เธออิ่มเอม อาจไม่ใช่หนทางที่เราเคยเข้าใจมาก่อนเลยก็เป็นได้ จุดอารมณ์หวามไหว ด้วยการ “สัมผัสแบบไม่สัมผัส” ลองทิ้งน้ำหนักมือหนักแน่นที่เคยใช้มาทั้งชีวิตไว้ก่อน แล้วลองทำความรู้จักเวทมนตร์แห่งการ “สัมผัสแบบไม่สัมผัส” ดู บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นอย่างเร่าร้อน จู่โจมเสมอไป โดยเฉพาะสาว ๆ ที่มีกราฟอารมณ์ต่างจากผู้ชายอย่างเรา ผู้ชายอาจจุดติดง่ายราวกับเตาแก๊สแค่สะกิดจุดที่ใช่ ไฟก็ลุกโชน ในขณะที่สาว ๆ ใช้เวลาจุดไฟอย่างพิถีพิถันราวกับเตาถ่าน ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีที่ถูกต้องเพื่อให้เชื้อไฟอยู่ได้นาน เราจึงไม่จำเป็นต้องสัมผัสอวัยวะส่วนนั้นของเธอตรง ๆ หรือสัมผัสเป็นจุดแรก กลวิธีที่ผู้ชายหลายคนไม่เคยใช้ (เพราะสำหรับผู้ชายมันอาจดูเยิ่นเย้อไม่ทันใจ) คือการนำมือฉวัดเฉวียนเฉียดไปเฉียดมา ทำคล้ายจะจับเนินเนื้อของเธอ แต่ก็ไม่ ไล่ไปจับต้นขาแทน บีบ ๆ คลึง ๆ คล้ายจะเข้าใกล้จุดรวมความรู้สึกเต็มแก่ แต่ก็ยั้งมือไว้แล้วไปนวดบริเวณท้องน้องของเธอ ฯลฯ ผู้หญิงเก่งที่สุดเรื่องจินตนาการ ดังนั้นการที่เราไม่ต้องสัมผัสอวัยวะส่วนนั้นของเธอตรง
จิ๋มมีกลิ่นเหมือนปลาเค็ม? เราอนุญาตให้คุณสารภาพมาที่นี่ ตอนนี้ ว่าคุณคือคนหนึ่งที่เคยคิด เคยเชื่อ เคยเล่นมุกตลกโปกฮาว่า “จิ๋มมีกลิ่นเหมือนปลาเค็ม” อาจเพราะฟังต่อ ๆ กันมา อาจเพราะเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ หรือเคยมีประสบการณ์ตรงกับกลิ่นปลาเค็มจากอวัยวะร่องแคบด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไหน SEX CONVERSATION วันนี้อยากกระซิบบอกคุณว่า ไม่! จิ๋มไม่ได้มีกลิ่นปลาเค็มเสมอไป “บางคนอาจมีจิ๋มกลิ่นปลาแซลมอนก็ได้” พญ.ขวัญชนก หอมแสงประดิษฐ หรือ คุณหมอน้ำอ้อย หมอเวชศาสตร์ครอบครัว ผู้เป็นแอดมินเพจน้องสาว (เพจที่ว่าด้วยเรื่องสุขอนามัยทางเพศของสาว ๆ ) บอกเราแบบนั้น และแน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีกลิ่นเฉพาะตัวแบบไหนก็ได้ สำคัญที่ว่าเรารู้จักกลิ่นของเราดีแค่ไหน? เราเคยสำรวจสุขภาพทางเพศของตัวเราเอง หรือคนที่เรารักหรือไม่? จิ๋มไม่ได้มีกลิ่นปลาเค็มไปหมด, จิ๋มดำไม่เกี่ยวกับทำบ่อย, จิ๋มตดไม่ได้แปลว่าจิ๋มหลวม และอีกสารพัดเรื่องจิ๋ม ๆ ที่ผู้ชาย (และบางครั้งก็ผู้หญิงและอีกหลาย ๆ เพศ) เข้าใจผิด มาดำดิ่งไปใน (บทสนทนาว่าด้วย) จิ๋มและการดูแลสุขภาพทางเพศไปพร้อม ๆ กัน สัญญาว่าหลังอ่านจบ คุณจะเข้าใจจิ๋มขึ้นอีกเยอะ! สำหรับสาว ๆ เราคงไม่ต้องแนะนำว่า “เพจน้องสาว”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการดื่มของมึนเมาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ กามารมณ์พลุ่งพล่าน และฉุดความยับยั้งชั่งใจให้ดิ่งลงเหว จนผู้ชายหลายคนเผลอทำอะไรไปโดยไม่คิด ราวได้ปลดแอกตัวเองออกจากคุกที่เรียกว่ากฎและบรรทัดฐานทางสังคมที่เป็นกรอบ แต่ในบรรดานักดื่มหลากหลายระดับ มีผู้ชายไม่น้อยที่อุทานวลี “เมาแล้วเงี่ย…ว่ะ” จนชินปาก เผลอคิดว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปกระตุกต่อมความใคร่อยากให้กำเริบ และปลุกเร้ามังกรน้อยใต้กางเกงให้พองตัวชูคอผงาดโด่ตามมา ในทางตรงกันข้ามหนุ่มบางคนกลับรู้สึกว่าการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นอุปสรรคต่อเซ็กซ์ของพวกเขา จากที่เจ้าโลกเคยเกรี้ยวกราดและสู้มือ กลายเป็นมังกรน้อยผู้หลับใหลที่ไม่มีวี่แววจะตื่น ร้ายกว่านั้นคือเบียร์ เหล้า ไวน์ และของมึนเมาอีกหลายขนาน ทำให้ผู้ชายไปไม่ถึงจุดสุดยอดและไม่ได้สำเร็จความใคร่ตามที่พวกเขาต้องการ คงไม่มีคำใดใช้นิยามเหตุการณ์นี้ได้ดีไปกว่า “Whisky Dick” ศัพท์สแลงอธิบายความอ่อนแอของบุรุษ ที่ยกแก้วเหล้ากระดกดื่มไม่ยั้ง แต่เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศต้องการงัดกระบี่ฟาดฟันร่ายรำบนเตียง กระบี่เล่มเดียวเล่มนั้นของพวกเขากลับไร้คม ‘Whisky Dick’ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (จากแอลกอฮอล์) Whisky Dick ไม่ใช่คำศัพท์ทางการแพทย์ หากเป็นวลีที่ปรากฏขึ้นครั้งแรกในวรรณกรรมของกวีอังกฤษ William Shakespeare ใช้นิยามอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ Dr. Koushik Shaw ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะจาก The Austin Urology Institute เชื่อว่าความหมายบางส่วนของ Whisky Dick ยังคงเดิมเหมือนในอดีต แต่บริบทในปัจจุบันซ่อนความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นไปอีก เพราะ Whisky Dick ถูกใช้ขยี้ความหงุดหงิดและอับอายของผู้ชายต่อหน้าสาว ๆ
นอกจากเซ็กซ์จะเป็นสับเซตของความรักและเป็นหนึ่งส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของบางคู่ บนโลกนี้ยังมีเซ็กซ์แบบฉาบฉวยหรือที่เราเรียกกันว่า “Hookup” แม้คำนี้จะไม่ได้นิยามถึงเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ความหมายแฝงของมันคือ casual sex รูปแบบหนึ่งที่เน้นการทาบทับสอดใส่แบบที่ผู้ชายหลายคนโปรดปราน Hookup ถือเป็นข้อตกลงร่วมกันของคนสองคนว่าจะนัดเจอกันเพื่ออะไร อาจเจอกันเพื่อเรียนรู้และสร้างความสนิทสนม หรือเจอเพื่อเรื่องอย่างว่า เพื่อเซ็กซ์ชั่วข้ามคืนที่ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน และไม่ต้องสานความสัมพันธ์หวานต่อกันหลังจบศึก กว่าที่จะได้แอ้มสาวสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณต้องเอาตัวเองไปอยู่ตามผับบาร์ ส่งสายตาเว้าวอนจากมุมไกล และเดินเข้าไปชนแก้วพลางชวนคุยสารพัดเรื่อง แต่ใช่ว่าวิธีนี้จะได้ผลกับผู้ชายทุกคน เพราะมันต้องอาศัยความกล้าบ้าบิ่นและหน้าด้านในระดับหนึ่งเลย หนุ่มบางคนจึงเลือกจะนัด Hookup กับสาว ๆ ผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน ไม่ต้องเดินเข้าไปทัก ไม่ต้องเก๊กทำตัวเท่ เพียงแค่สาวคนนั้นอยู่ในระยะวงกลมที่คุณเป็นศูนย์กลาง ก็นัดเจอกันได้แล้ว นับตั้งแต่ Mickey Gilley นักร้องคันทรี่คนดังปล่อยเพลงฮิตในปี 1975 ที่ร้องว่า “the girls get prettier at closing time” นักจิตวิทยาอย่างน้อยสี่ทีมก็เข้าไปในบาร์และไนต์คลับเพื่อพิสูจน์ว่าเนื้อเพลงนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า มีผลสำรวจอ้างว่าผู้ชายและผู้หญิงจะดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่อถึงเวลาที่บาร์ใกล้จะปิดบริการ ทฤษฎีนี้ถูกเรียกว่า “The Closing-time Effect” เช่นเดียวกับเนื้อเพลงของนักร้องคนดังกล่าว และเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าถ้าโอกาสในการหาคู่ลดลง อาจทำให้ความคิดหรือรสนิยมของคนเปลี่ยนไปด้วย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Sexuality
อีกประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องผู้ติดเชื้อ HIV รายหนึ่งที่จะเปิดคอร์สสอนมีเซ็กซ์แบบปลอดภัยโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย ประเด็นดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียลมีเดีย เนื่องด้วยตรรกะและวิธีสื่อสารไม่เป็นที่ยอมรับ แถมการไม่ใส่ถุงยางอนามัยยังดูต่อต้านกับทฤษฎีทางการแพทย์และความเชื่อเรื่องการสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคอีกด้วย ขณะที่ถุงยางอนามัยถูกสร้างมาช่วยคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อเป็นหลัก แต่กลับมีบางคนปักใจเชื่อว่า ‘ทฤษฎี U=U / ไม่เจอเชื้อ=ไม่แพร่เชื้อ HIV’ นั้นหนักแน่นและน่าเชื่อถือเพียงพอที่เขาหรือใครจะไม่ต้องสวมใส่ถุงยางอนามัยขณะร่วมเพศ แม้จะไม่ติด HIV โลกใบนี้ก็ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกหลายโรคที่คร่าชีวิตเราได้เช่นกัน วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาย้อนประวัติศาสตร์จากเรื่องราวของ 5 สุภาพบุรุษที่ทั้งแกร่ง โหดเหี้ยม ชาญฉลาด และมีพรสวรรค์ แต่ไม่ว่าคุณจะแกร่งแค่ไหน กามโรคและความตายก็สามารถร่วมกันพรากสัมผัสสุดท้ายออกไปจากชีวิตของพวกเขาได้อย่างไม่ไยดี แม้ผู้ชายหลายคนในลิสต์นี้จะไม่ได้ติดโรคมาจากการไม่สวมถุงยางอนามัยทั้งหมด แต่ผู้ชายอย่างเราก็จะเห็นได้ว่าการป้องกันไว้ดีกว่าแก้นั้นดีที่สุด เพราะแกร่งแค่ไหนก็อาจพ่ายแพ้ให้กับโรคได้อย่างราบคาบและไม่มีข้อยกเว้น แอล คาโปน (Al Capone) มาเฟียหัวโจกแห่งแก๊งชิคาโกที่ทุกคนยำเกรง แอล คาโปน (Al Capone) คือผู้ทรงอิทธิพลในชิคาโกที่โด่งดังจากธุรกิจผิดกฎหมาย ตั้งแต่การพนัน ค้าประเวณี เลี่ยงภาษีนำเข้า กรรโชกทรัพย์ หรือแม้แต่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมนองเลือดในเมืองเล็ก ๆ ของรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้ แม้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนมัธยมด้วยเรื่องชกต่อย และชีวิตถูกประทับรอยตำหนิตั้งแต่วัยเยาว์ ทว่าเส้นทางมาเฟียของ แอล คาโปน