Girls

สวยไม่ต้องสาว ‘หลี-วาทินี ชัยถิรสกุล’บล็อกเกอร์ที่สวยด้วยความคิดและการแบ่งปัน

By: PSYCAT June 6, 2017

ผู้ชายอย่างเรามักจินตนาการภาพความสวยออกมาในรูปแบบสาว ๆ สวย ๆ เท่านั้น แต่ UNLOCKMEN เชื่อว่าความสวยมีรูปแบบที่หลากหลายกว่านั้น และการพูดคุยกับวาทินี ชัยถิรสกุล หรือที่เพื่อน ๆ น้อง ๆ มักเรียกเธอว่าเจ๊หลี จะพาผู้ชายอย่างเราก้าวเข้าไปสู่อีกมิติของความสวย ความงาม ในแบบที่เราต้องประหลาดใจว่า คิดแบบนี้ก็ได้หรอ?

คุณหลีเป็นนักธุรกิจด้านสิ่งทอ แต่อีกด้านหนึ่งเธอผันตัวเองมาเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ในวัยเกือบ 50 คอยบอกเล่าเรื่องราวเสริมความงามผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ SisWalk SisTalk ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดการพูดคุยครั้งนี้ ทำให้เราอดหัวเราะตามไม่ได้ แต่ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะเท่านั้น ประเด็นหนัก ๆ เราก็ได้กลับมาเช่นกัน

ความสวยของผู้หญิงคืออะไรกันแน่?

แคมเปญที่เธอร่วมกับกอล์ฟ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง เพื่อส่งเครื่องสำอางให้กับผู้ต้องขังหญิงคืออะไร?

ทำไมคนที่ได้รับโทษถึงมีสิทธิที่จะสวยเหมือนคนอื่น?

แก่แล้วก็สวยได้จริงหรือ?

UNLOCKMEN จะพาไปเข้าใจเธอ เข้าใจผู้หญิง และเข้าใจความหลากหลายของความสวยที่ผู้ชายอย่างเราหลงใหลแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าใจ

17-6-1 k.lee-1

UNLOCKMEN: อะไรเป็นจุดเริ่มต้นของการอยากเป็นบิ้วตี้บล็อกเกอร์ของเรา?

พื้นฐานเราเป็นคนที่มีเครื่องสำอางอะไรมาก็จะชอบรีวิวให้เพื่อนในเฟซบุ๊กตัวเองอยู่แล้ว เราก็จะบอกว่าครีมที่ได้มาตัวนี้เป็นไง ราคาเท่าไหร่ คุณสมบัติเป็นไง มีขายที่ไหน คราวนี้น้อง ๆ ก็เลยบอกว่า พี่หลี ทำเพจเถอะ เลยเป็นที่มาของการเป็นบล็อกเกอร์ แล้วก็กลายมาเป็นแฟนเพจ Siswalk Sistalk

UNLOCKMEN: ทำไมต้องเป็น Siswalk Sistalk

ที่มาของชื่อเพจนี้มาจากรายการของช่อง Voice TV รายการพี่เบียร์ (มนทกานติ รังสิพราหมณกุล บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร มาดามฟิกาโร) รายการชื่อ Catwalk Cattalk แล้วเราชอบรายการเขามาก

เราเลยรู้สึกเสียดาย เพราะรายการเขาคอนเทนต์ดีมาก เป็นคอนเทนต์เรื่องผู้หญิงทั้งนั้นเลย แต่รายการไม่อยู่แล้วอ่ะ เราก็เลย เอาคำว่า Catwalk Cattalk มาเปลี่ยนเป็น Siswalk Sistalk ให้เป็นพี่น้องคุยกัน เพราะคนที่ชวนให้เรามาทำก็เป็นน้อง ๆ ทั้งนั้น ก็เลยเหมือนเป็นพี่มาคุยกับน้องว่าพี่ใช้อะไร ถ้าน้องมีตังค์ก็ไปซื้อมาใช้ตาม ถ้าไม่มีตังค์ก็มารอของเหลือจากพี่เอามาใช้ไป (หัวเราะ) เพราะพี่แจกบ่อย

UNLOCKMEN: สังคมมักติดภาพว่า โห บิวตี้บล็อกเกอร์ต้องสาว ๆ สวย ๆ สิ เราต่อสู้กับความคิดเรื่องนี้ยังไง? มันต้องอาศัยความกล้ากว่าปกติไหม? หรือไม่เลย?

จริง ๆ เราว่าโปรดักส์แต่ละตัวมันมีทาร์เก็ตกรุ๊ปของเขาเองนะ เขาเน้นชัดเจนว่ามันเหมาะสำหรับวัยไหน บางแบรนด์มันก็มีภาพชัดเจนว่าเป็นคนแบบไหนถึงจะเหมาะกับสินค้าเขา แบรนด์บางแบรนด์มันก็ราคาสูง เด็ก ๆ บางคนอาจจะซื้อไม่ได้

เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องบิวตี้บล็อกเกอร์เป็นได้เฉพาะคนยังเด็กเนี่ยเราว่าไม่จำเป็น เราเห็นเด็ก ๆ ทำ เราก็ชอบนะ เรามีความรู้สึกว่าเขามีไฟ ส่วนหนึ่งคือเขาก็มีน้ำใจในการรีวิวบอกคนอื่น ๆ ในตัวที่เขาไม่ได้ได้ตังค์น่ะนะ

แต่อย่างเรา เราก็มาสู่วัยที่ใกล้ 50 ซึ่งเราคิดว่ามันไม่มีบิวตี้บล็อกเกอร์ที่อายุประมาณนี้เท่าไหร่ พอไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เราก็มาแนะนำในส่วนที่เราใช้ว่าเราใช้อะไรบำรุงผิว

เรายอมรับว่าเราเน้นสกินแคร์เป็นหลัก เพราะอายุเราก็ต้องเน้นเรื่องนี้เป็นหลัก เราก็เลยมีความรู้สึกว่าการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ของเราไม่ได้ไปคาบเกี่ยวกับน้อง ๆ แต่มาอยู่ในส่วนของคนที่สูงวัยหน่อย อาจจะอายุ 45 ขึ้นไป อะไรอย่างนี้

แต่ปรากฎว่าน้อง ๆ ที่มาเป็นแฟนเพจเนี่ย กลับอยู่ในช่วงอายุ 25 ไปถึง 30 กว่าเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะก็ถือเป็นการเตรียมผิวไป

17-6-1 k.lee-3

UNLOCKMEN: แสดงว่าเราก็เชื่อว่าการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์มันไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยอายุ?

ไม่ (ปฏิเสธเสียงหนักแน่น) ไม่เลย มันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอายุ เราว่ายิ่งหลากหลายมันก็ยิ่งดี

UNLOCKMEN: แล้วเรื่องความสวยล่ะ คิดว่ามันถูกจำกัดด้วยอายุไหม ถ้าเกินวัยหนึ่งไปแล้ว ผู้หญิงก็ไม่ควรต้องสวยขนาดนั้นไปให้ใครหรือเปล่า? คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

(หัวเราะ) ถ้าพูดตรง ๆ นะ สมัยสาว ๆ นี่เราไม่รักสวยรักงามเลย เราเป็นคนไม่แต่งหน้า ไม่เขียนตา อายไลน์เนอร์นี่ก็เพิ่งมาเขียนเป็นเมื่อไม่นานมานี้เอง เป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับเครื่องสำอาง แต่เป็นคนที่ใส่ใจกับสกินแคร์

คือเราเป็นคนที่ชอบการบำรุงผิว แต่เมคอัพที่เห็น ๆ นี่ บอกตรง ๆ ว่าเพิ่งมีมาเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ที่เริ่มมาสนใจ เพราะ เฮ้ย ฉันแก่แล้วว่ะ ปากฉันเริ่มซีด แก้มชมพูเราเริ่มไม่มี

เมื่อก่อนแก้มเราชมพูตลอดเวลา เราไม่ต้องปัดแก้มเลย ตาเราก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะตาเราโต แต่ เฮ้ย พอเราแก่ หนังตาเรามันเริ่มตก คิ้วเรามันเริ่มตกลงมา เราเลยรู้สึกว่า เฮ้ย เราต้องทำอะไรกับมันบางอย่างแล้ว เพราะว่าเราเริ่มมีริ้วอยเพิ่มขึ้น ผิวเราเริ่มไม่สวยเหมือนเดิม แล้วเราก็เริ่มแก่

เพราะฉะนั้นนอกจากเราจะโปะสกินแคร์ที่มันเป็นตัวช่วยส่วนหนึ่งแล้ว เรายังต้องเอาเมคอัพมาใส่เพื่อให้เราดูสวยขึ้น

UNLOCKMEN: โอเค แปลว่าความสวยมันไม่ได้จำเป็นต้องอยู่คู่กับคนอายุน้อย ๆ เท่านั้น แล้วเราคิดว่าความสวยของผู้หญิงมันเป็นพลัง เป็นอำนาจในการขับเคลื่อนอะไรบ้างหรือเปล่าในสายตาเรา?

มันก็อยู่ที่ความหื่นของผู้ชายนะ เพราะส่วนตัวเราก็คิดว่าเราแต่งหน้าให้ผู้ชายดู ผู้ชายหื่นมากพลังความสวยของเราก็ยิ่งฟูมฟักแรงขึ้น (หัวเราะ)

UNLOCKMEN: (หัวเราะ) นี่จริงจังหรือเปล่า?

ถ้าถามความจริง เราก็ว่ามันคือเซล์ฟคอนฟิเดนท์ของตัวเราเอง วันไหนที่เราแต่งตัวสวย วันไหนที่เราแต่งหน้าสวย วันไหนที่เราไปงาน แล้วเราเมคอัพเต็มที่ เราแต่งตัวเต็มที่ วันนั้นเราจะรู้สึกว่าเราเดินด้วยความภาคภูมิใจ

แต่วันไหนที่เราแบบเข้าโรงงาน ไปทำกิจการที่บ้าน เราก็ใส่กางเกงยีนส์ตัว เสื้อยืดตัว เราก็จะผูกผมธรรมดา แล้วเราก็จะไม่ค่อยออกไปไหน เวลาเดินห้างก็จะไม่เดินตรงที่ขายเครื่องสำอางเลย ก็จะเดินไปซื้อของกิน เดินซุปเปอร์ ถ้าต้องเดินผ่านโซนเครื่องสำอาง เราจะเครียด ๆ ว่าวันนี้ฉันไม่สวย

เพราะอย่างนั้นความสวยมันถึงเป็นความมั่นใจของเรา วันไหนที่เราสวย เราก็โพสต์เฟซบุ๊กแล้ว ว่ามีใครจะไปกินข้าวกับฉันไหม? วันนี้ฉันพร้อมมาก (หัวเราะ) อย่างเมื่อวานอย่างนี้มีคนชวนไปกินเบียร์ เราก็บอกเลย ไปไม่ได้จริง ๆ วันนี้ใส่กางเกงยีนส์ ขาสั้น ไปไหนไม่ได้หรอก ฉันไม่พร้อมจริง ๆ อะไรอย่างนี้

17-6-1 k.lee-4

UNLOCKMEN: เพราะฉะนั้น โอเค ในมุมหนึ่งเราอาจบอกว่าเราสวยให้ผู้ชายอย่างพวกคุณมอง ถูกไหม?

อ้ะ แน่นอนสิ

UNLOCKMEN: แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ลุกขึ้นมาสวยเพื่อตัวเองด้วย?

ใช่ เราสวยเพื่อให้คนอื่นดูด้วย เราสวยเพื่อให้ตัวเองดูด้วย เราสวยเพื่อให้ศัตรูเราดูด้วย

เราสวยให้เพื่อนเราเลียนแบบด้วย เพราะมันเป็นการชวนกันแต่ง พอเพื่อนเราที่สนิทกัน เที่ยวด้วยกันมากขึ้น พอเขาเห็นเราแต่ง เขาก็เริ่มอยากรู้ เฮ้ย แต่งยังไง เราก็แบบมา ฉันแต่งให้แกนะ แล้วก็ไปซื้อ ไปแต่งนะ เพื่อนก็เริ่มสนใจ เป็นเพื่อนกันมันก็จะชวนกันแต่ง

แล้วที่สำคัญ คือสวยให้ศัตรูดู เพื่อบอกว่าฉันยังมีความสุข หรือถ้าเรายังโสด เราก็สวยให้ผู้ชายดูบ้าง เราก็แฮปปี้

UNLOCKMEN: ถ้าความสวยเป็นอะไรหลายอย่างขนาดนี้ในมุมมองของเรา แสดงว่าแคมเปญ“ส่งมอบความสวยให้สาวหลังกำแพง” ที่เราส่งเครื่องสำอางให้กับผู้หญิงในเรือนจำ ก็เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิจะสวยด้วยใช่ไหม?

คือเริ่มแรก เราบอกตรง ๆ ว่ามันยังไม่ได้อยู่ในหัวเรา เรายังไม่ได้สนใจการส่งของให้คนที่อยู่หลังกำแพง เรายังเฉย ๆ มาก เผอิญเราได้รู้จักกอล์ฟ (ภรณ์ทิพย์ มั่นคง) จากข่าว ว่าน้องมีคดี ซึ่งก็ชดใช้กันจบแล้ว

แล้วบังเอิญเราไปเจอกันในงานสัปดาห์หนังสือ เราไปเซ็นหนังสือ น้องเขาขายหนังสืออยู่ในบูธนั้น แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้จักกัน

ตอนหลังพอน้องเริ่มมาเล่นเฟซบุ๊ก เขาก็มากดไลก์เพจเรา พอมาเจอกันอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ เขาก็มาบอกว่า พี่หลี อยากได้เครื่องสำอางพี่หลี เราก็แบบ ได้สิ เราก็คิดว่าเขาไม่มีใช้ (หัวเราะ)

17-6-1 k.lee-6

UNLOCKMEN: เป็นคนตลกนะเนี่ย (ฮา) แล้วยังไงต่อ?

เราก็เอาสิ ๆ จะเอาอะไร เขาก็บอกเอาดินสอเขียนคิ้ว เราก็บอก เออ เอ็งไม่มีคิ้ว เราก็ถามว่าเอากี่แท่ง เขาก็บอกว่าพี่หลีมีเหลือเท่าไหร่เอาเท่านั้น เราก็เริ่มงง เราก็ถามว่าเอาไปทำไม เขาก็บอกว่าเอาไปให้คนที่อยู่ในเรือนจำ ให้สาว ๆ เราก็เริ่มเอะใจ เราก็ตอบตกลง แล้วก็ไปเดินดูหนังสือของเรา

แต่ระหว่างนั้นสมองเราเปลี่ยนความคิดละ เราเดินไปนี่เราไม่ได้หนังสือเลยวันนั้น สมองเราเอาแต่คิดว่าเขาอยากได้เครื่องสำอางหรอ คนในนั้นต้องการเครื่องสำอางหรอกหรอ เขาอยากได้ดินสอเขียนคิ้วหรอ ทำไมไม่เอาลิปสติกล่ะ?

เราเดินวนคิดอยู่อย่างนั้น แล้วก็เดินกลับไปหากอล์ฟใหม่ แล้วก็ถามกอล์ฟว่าเขารับลิปสติกไหม เพราะเรามีความรู้สึกว่าลิปสติกมันได้ใช้เยอะกว่า เพราะมันใช้ได้ทั้งปาก ใช้ได้ทั้งแก้ม บางทีใช้กับตาได้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เลยถามว่าเขารับไหม กอล์ฟก็บอกว่ารับ เราเลยบอกว่า พี่มีเพจนะ แล้วพี่ก็เชื่อว่ามีผู้หญิงหลายคนที่มีใจอยากให้

เราเลยบอกให้กอล์ฟถามทางท่าน ผอ.เรือนจำว่ายินดีที่จะรับของบริจาคไหม ส่วนพี่ พี่รอคำตอบจากกอล์ฟ แล้วเตรียมด้านมาร์เก็ตติ้งให้

UNLOCKMEN: ผลเป็นอย่างไร?

อีกสองอาทิตย์ถัดมา กอล์ฟก็บอกว่ารับ แต่ก็มีเงื่อนไขว่าถ้าเป็นของใหม่เลย ไม่มีปัญหา เอาเข้าไปได้เลย แต่ถ้าเป็นของมือสอง คุณต้องเอามาหลอมลงตลับใส แล้วก็ผ่านกระบวนการไฮยีนนิดหน่อย ให้สะอาด ก็สามารถส่งเข้าไปได้

นั่นเป็นจุดเริ่มต้น แล้วยิ่งพอเริ่มแคมเปญแล้วได้คุยกับกอล์ฟมากขึ้น เราก็ยิ่งรู้ว่าสภาพจิตใจของคนที่อยู่ข้างในเรือนจำ มันแย่ มันไม่มีความสุข นอกจากวิถีที่ถูกจำกัดอิสรภาพแล้ว การดำรงชีวิตในนั้น อุปกรณ์ต่อคนมันไม่ครบ

มันไม่เหมือนในหนังฝรั่งที่ทุกคนมีห้อง มีหมอน มีทุกอย่างของตัวเอง แค่ผ้าถุงยังขโมยกัน เราฟังแล้วเราก็เศร้า กอล์ฟบอกว่าคนทำลิปสติกเองเอาวาสลีนมาหลอมผสมกับสีผสมอาหาร เราฟังแล้วเราก็รู้สึกว่าใจเรามีให้เขาเยอะขึ้น เราเลยยิ่งรู้สึกว่าเราพร้อมเข้าไปใหญ่ในการที่จะทำเพื่อเขา

แล้วเราก็ถามกอล์ฟ กอล์ฟก็บอกว่าเวลามีคนมาเยี่ยม เขาอยากออกมาแล้วอยากดูสวย มาเจอแฟน เจอพ่อแม่ เพื่อบอกคนอื่นว่าต่อให้อยู่ข้างในเราก็ยังเช้งกระเด๊ะนะ เรายังอยู่ได้ ให้คนที่เห็นเขาสบายใจว่าเรายังโอเค เรายังพอหาความสุขใส่ตัวเองได้

17-6-1 k.lee-2

UNLOCKMEN: เราเชื่อว่าท่ามกลางกระแสดราม่า มันต้องมีคนที่ออกมาบอกว่า เฮ้ย คนที่อยู่ในเรือนจำ ยูทำผิด ยูก็ไม่ควรต้องได้รับสิ่งดี ๆ สิ เราจะบอกอะไรกับคนเหล่านี้ จะบอกอะไรว่าทุกคนมีสิทธิเข้าถึงสิ่งพวกนี้?

มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานนะ การที่เขาทำความผิด ไม่ว่าคดีอะไรก็ตาม แล้วเขาถูกขัง ถูกกักบริเวณอยู่ในนั้น นั่นคือการรับโทษ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีสิทธิจะคิด ไม่มีสิทธิจะสวย

เพราะฉะนั้นเขามีสิทธิที่จะกิน เขามีสิทธิที่จะมีที่นอนที่ดี เขามีสิทธิที่จะรับทุกอย่างเหมือนคนปกติ

การที่เขาอยู่ในนั้นมันคือการรับโทษแล้ว แต่สิทธิในความเป็นมนุษย์ของเขาที่เขาอยากจะสวยหรืออยากที่จะมีความสุข หรือมีสภาพจิตใจที่อยู่ให้ได้เนี่ยมันก็สำคัญสำหรับเขา

17-6-1 k.lee-5

UNLOCKMEN: ถ้ามีคนถามว่าทำไมไม่ส่งของจำเป็นกว่านี้ไปให้ ผ้าอนามัย ยาสีฟัน ผ้าถุง อะไรอย่างนี้ เราจะบอกเขาว่าอะไร?

เราไม่ได้คิดอะไรเยอะ เราคิดอะไรที่คนช่วยบริจาคง่าย โดยเฉพาะสิ่งของที่ผ่านการใช้มาแล้ว คนจะสบายใจอย่างหนึ่งว่าเราจะไม่เอาของเขาไปใช้เองแน่ ๆ

ถ้าเป็นผ้าอนามัย เป็นของจำเป็น เราต้องรับเป็นเงิน เพื่อให้เรือนจำจัดการ ซึ่งเราก็เข้าใจว่าใครจะมาไว้ใจเรา เราเองก็ไม่อยากจับเงิน ไม่อยากรับเงินกับใคร คนอื่นเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะไว้ใจเราแค่ไหน

เราเลยคิดว่าเราไม่ควรเริ่มแคมเปญด้วยความไม่เชื่อใจกัน แต่เครื่องสำอางที่เราไม่ใช้เนี่ยมันง่าย เพราะเขาไม่เอาแล้ว เขาอยากแบ่งปัน แล้วคนที่ให้ก็ยินดี เพราะเขามีเหลือเฟือ เหลือเฟือมาก

UNLOCKMEN: ฟีดแบ็คหลังจากปล่อยแคมเปญนี้ไปเป็นอย่างไรบ้าง?

ฟีดแบ็คยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง แคมเปญเราได้มา 1,500 แชร์ คือเราก็ช็อคมาก ตอนนี้คนก็เห็นแคมเปญนี้ก็เกือบสามแสนคนแล้ว เราดีใจ เราเริ่มต้นมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ระหว่างทางนี่เต็มไปด้วยน้ำตา น้ำตาแห่งความดีใจ ที่รู้สึกว่า เฮ้ย มันมีคนที่ใจดีว่ะ

เราไม่ได้บอกว่าเราใจดีนะ เพราะเราทำเพราะกอล์ฟมาขอ แต่เรารู้สึกว่ามันมีคนที่พร้อมจะให้ เวลาเราอ่านที่เขาไปแชร์ต่อ แล้วเราซึ้ง เรารู้สึกว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะให้

17-6-1 k.lee-7

UNLOCKMEN: การที่เรากล้าคิด กล้ากระโจนไปลงมือร่วมกันทำแคมเปญที่ไม่ค่อยมีคนทำ หรือแม้แต่การเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยสนใจเรื่องการแต่งหน้ามาก่อน มันต้องอาศัยความกล้ามากเลยนะ เรามีอะไรอยากบอกคนที่ยังไม่กล้าลงมือทำอะไรเพราะคิดว่ามีอุปสรรคไหม?

เราเป็นคนชอบลองนะ เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าคนเราควรจะได้ลอง อย่างน้อยในชั่วอายุอย่างมาก 75 ปี เราควรได้ลองทุกอย่างที่โอกาสเข้ามา

เราเองก็ลองอะไรเยอะมาก เราลองเขียนหนังสือ ลองเล่นหนัง ลองเป็นบล็อกเกอร์ ลองทำงานเป็นเอชอาร์ ลองเป็นนักแปลหนังสือ เราลองทุกอย่างเท่าที่ความสามารถเราจะเกื้อหนุน

เราเลยอยากบอกให้คนได้ลองทำทุกอย่างในชีวิตตัวเอง เพราะถ้าเราไม่ลอง เราก็จะไม่รู้เลยว่าเราทำอะไรได้เก่งที่สุด เราจะไม่รู้เลยว่าเรากล้าทำอะไร

อย่างการมาเป็นบล็อกเกอร์ เราก็ยอมรับว่าแก่ แต่แก่แล้วงไ? แก่แล้วเขียนหนังสือไม่ได้หรอ? แก่แล้วมีคนมาถ่ายรูปไม่ได้หรอ? หรืออย่างตอนเล่นหนัง เราเล่นเป็นแม่ก็ได้ เป็นคนใช้ก็ได้ แล้วไงล่ะ? ขอให้เราได้ลองทำทุกอย่างในชีวิต

ยิ่งในวันที่งานมันหลากหลาย เรายิ่งต้องลองทำให้ได้หลาย ๆ อย่างเท่าที่โอกาสเข้ามา หรือไม่เราก็ต้องไขว่คว้าโอกาสนั้นด้วยตัวเอง

17-6-1 k.lee-8

UNLOCKMEN: ลองทำอะไรมาเยอะขนาดนี้ ยังมีอะไรที่อยาก UNLOCK ความสามารถตัวเองอีกไหม?

เราไม่รู้หรอก โอกาสที่เข้ามานี่มันเซอร์ไพร์สเราทุกอย่าง ขอแค่มีโอกาสเข้ามาแล้วอย่าเพิ่งปฏิเสธกับเขาว่า ไม่เป็น เราทำไม่ได้ ไม่เอา อาย อย่าเพิ่ง ให้รับไว้ก่อน แล้วไปฝึกกันเอาข้างหน้า (ยิ้ม)

สำหรับหนุ่ม ๆ คนไหนที่สนใจอยากชวนสาวข้างกายส่งต่อลิปสติกที่รู้สึกว่าคงใช้ไม่หมดชั่วชีวิตนี้ก็สามารถส่งไปได้ที่ Fairly Tell Group 94 เอกพัฒนาอพาร์ทเม้นต์ ซอยลาดพร้าว 26 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. 10900  ถึงวันที่ 15 มิถุนายนนี้นะ คลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดแคมเปญได้ที่นี่

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line