Entertainment

WEEKLY PLAYLIST: รวมเพลงสากลที่เกี่ยวกับ ‘ฝุ่น’ ใส่แมสก์ให้พร้อม แล้วเปิดฟังให้คลุ้ง

By: Synthkid January 25, 2020

จะเดินจะเหินไปที่ใดก็ไม่ได้หายใจเต็มปอด เพราะตอนนี้ฝุ่น PM 2.5 ได้กลับมายึดครองบ้านเมืองเราอีกครั้ง หลาย ๆ คนที่ยังไม่ได้ซื้อเครื่องกรองอากาศก็อยากให้พิจารณากันอีกครั้ง ถึงราคาจะสูงหน่อย แต่เพื่อสุขภาพที่ดีมีติดบ้านไว้สักเครื่องก็เพื่อตัวคุณเองนะครับ

แต่หากกล่าวถึงคำว่า ‘ฝุ่น’ ในโลกดนตรี เราค้นพบว่ามีศิลปินหลายคนทีเดียวที่นำคำ ๆ นี้มาเขียนในเพลง เนื่องด้วยมันเป็นสิ่งใกล้ตัวไม่ต่างกับสายลมแสงแดด แถมยังเป็นตัวร้ายของมวลมนุษยชาติมาอย่างยาวนาน ฝุ่นจึงถูกนำมาตีความแตกต่างกันไป อย่างไทยเราก็มีทั้งเพลง ฝุ่น ของ Big Ass หรือ ทางของฝุ่น ของอะตอม ชนกันต์ WEEKLY PLAYLIST สัปดาห์นี้ เราจึงรวบรวมเพลงสากลเกี่ยวกับฝุ่นที่น่าสนใจมาให้คุณได้ลองฟังกันบ้าง

Cities in Dust – Siouxsie And The Banshee

Siouxsie And The Banshees เจ้าแม่ Goth-Rock ยุค 70-80 ก็มีเพลงที่ชื่อว่า Cities Of Dust แปลเป็นไทยก็คือ ‘นครแห่งฝุ่น’ (กรุงเทพฯ ยุคปัจจุบันหรือเปล่าเนี่ย) อันที่จริงเพลงนี้เกี่ยวกับเมืองปอมเปอี ดินแดนที่สาบสูญ ซึ่งเธอก็ได้เปรียบเทียบว่า “โอ้ สหาย บ้านเมืองของเธอราบลงเป็นฝุ่นผง’ แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าเธอแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงรำลึกประวัติศาสตร์ที่ดีเพลงหนึ่งเลยทีเดียว

Dust in the Wind – Kansas

Dust in the wind เพลงช้า ๆ ฟังสบายจาก Kansas หัวใจหลักของเพลงนี้คือแนวคิดที่ว่า ความตายคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาจึงเปรียบเปรยว่า เมื่อเวลามาถึง พวกเราทุกคนจะกลายเป็นเพียงฝุ่นลอยละล่องให้สายลมพัดพาผ่านไป ความตลกร้ายคือจริง ๆ Kansas เขาเป็นวงแนว Hard Rock เข้ม ๆ แต่เพลงที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขากลับเป็นเพลงนี้ซะงั้น แม้กระทั่งในปัจจุบันเพลงนี้ก็ยังมียอดสตรีมมิงสูงสุดในบรรดาทุกเพลงของเขาบน Spotify

Turn to Dust – Wolf Alice

คำว่า Turn To Dust ส่วนมากจะถูกนำไปอ้างอิงถึงความตาย แต่ Wolf Alice อัลเทอร์เนทีฟร็อกจากอังกฤษวงนี้ ได้นำวลี ‘แหลกสลายเป็นฝุ่นผง’ มาเล่าในมุมที่ต่างออกไป

ต้องเท้าความก่อนว่า Ellie Rowsell ฟรอนต์วูแมนตอนทำอัลบั้มนี้ เธอเผชิญทั้งโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล Keep your beady eyes on me To make sure I don’t turn to dust (โปรดจับตาดูฉันไว้ให้ดี ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าฉันจะไม่กลายเป็นเพียงฝุ่นละออง) คำว่า Beady Eyes อันที่จริงหมายถึงดวงตาที่กระตือรือร้น การขอให้คนรักจ้องมองด้วย ‘Beady Eyes’ จึงเหมือนการขอให้เขาจับตาดูเราไว้ให้ดี อย่าให้คลาดสายตา

ฉะนั้น Turn To Dust ในที่นี้จึงเปรียบเสมือนการจางหายไปจากใจคนรัก ซึ่งการขอให้คนรักจ้องมอง อาจจะตีความได้ว่าเธอกำลังร้องขอความรัก ความสนใจ หรือขอให้ดูแลเราในวันที่อ่อนแอก็เป็นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สุดแล้วแต่ผู้ฟังจะตีความครับ

Dust – The Neighbourhood

อันที่จริงเพลงนี้เหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองเราในตอนนี้ที่สุดแล้วครับ เพราะ Dust ที่ The Neighbourhood สื่อคือการเล่าเรื่องวันสิ้นโลกในแบบฉบับของพวกเขา อีกทั้งวงยังต้องการจะสื่อถึงความไม่แน่นอนในอาชีพศิลปินที่มีขึ้นก็ต้องมีลง

“Thrashing in platinum dust Damage that can’t be undone” (ฟาดกระทบลงบนกองฝุ่นทองคำขาว ความเสียหายที่ไม่อาจย้อนคืน) ในเว็บไซต์ Genius มีคนตีความท่อนนี้แยกออกเป็นฝั่ง ฝั่งแรกบอกว่า พวกเขาจะสื่อถึงการที่สมาชิกในวงเอาแต่หาความสุข พอเว้นช่วงทำเพลงไปนานจึงเสื่อมความนิยม ส่วนอีกฝั่งก็บอกว่า ‘ไอ้ฝุ่นทองคำขาว’ อาจจะหมายถึงอาวุธในโลกอนาคต และน่าจะสื่อถึงความเศร้าสลดของสงครามมากกว่า เพื่อน ๆ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไรก็ลองตีความกันดูนะครับ

Dust – Haelos

Haeloes วงอิเล็กทรอนิกส์แนว Trip Hop จากลอนดอน อัลบั้มที่ 2 Any Random Kindness (2019) ของพวกเขาได้รับคะแนนวิจารณ์เชิงบวกจากสื่อต่าง ๆ อย่างท่วมท้น แต่เพลง Dust ที่เราพูดถึงกันนี้ เป็นซิงเกิลแรกของวงที่ออกมาตั้งแต่ปี 2015

เพลงฝุ่นในแบบฉบับของพวกเขา คือการสื่อถึงความรักที่แหลกสลายอย่างชัดเจน “What happened to us? Torn from the moment Of weeping in dust” (เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา? มนตราระหว่างเราได้เสื่อมคลาย มลายกลายเป็นฝุ่น) ซึ่งคำว่า Weeping สามารถแปลความหมายได้ทั้ง ‘ถูกกวาดทิ้ง’ และ ‘ร้องไห้’ จัดว่าเป็นการเขียนเพลงที่ชาญฉลาดมากครับ

Another One Bites The Dust – Queen

Another One Bites The Dust ไม่ได้แปลว่าจะกินฝุ่น แต่เป็นสำนวนหมายถึง ‘การถูกทำลาย’ หรือความตายก็ได้ครับ ที่มาที่ไปของมันคือเวลาทหารถูกยิง พวกเขาจะล้มลงหน้าคะมำคลุกฝุ่นนั่นเอง

เพลงนี้ถูกแต่งโดย John Deacon มือเบสของวง ที่เปรียบเปรยถึงชายหนุ่มนามสตีฟผู้ถูกคนรักปฏิบัติตัวเลวร้ายใส่ เมื่อสตีฟทนไม่ไหว เขาจึงคว้าปืนกลออกไปไล่ล่าเธอคนนั้นเพื่อคิดบัญชี แถมยังจะยิงทุกคนที่ขวางหน้าให้พ้นทาง ดนตรีฟังสนุก แต่เนื้อเพลงโหดร้ายใช่ย่อย และเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง เรามายิงหูตัวเองกันด้วยเสียงหวีดเจ๋ง ๆ จาก Freddie Mercury แทน รับรองว่าดีกว่ากันเยอะ

Dust on Trial – Shame

Shame คือวงโพสต์พังก์หน้าใหม่จากลอนดอนที่ทำเพลงได้ดาร์กและเดือดเป็นเอกลักษณ์ Dust On Trial หากแปลทื่อ ๆ ตรงตัวอาจจะแปลแบบงง ๆ ได้ว่า “ฝุ่นบนการทดลอง” แต่ที่มาที่ไปของเพลงนี้มาจาก Dust On Trial นั้้นเกิดขึ้นเป็นเพลงสุดท้ายหลังจากเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มเขียนเสร็จหมดแล้ว แรงบันดาลใจของการเขียนเพลงจึงเกิดจากการโยนไอเดียและทดลองของสมาชิกแต่ละคนทดลองแชร์กัน กระทั่งรวมร่างแล้วกลายเป็นเพลงที่เสร็จสมบูรณ์

คำว่า Dust On Trial มันเลยเปรียบเสมือน การเริ่มต้นจากศูนย์ (เหมือนเป็นแค่ฝุ่น) สู่การลองผิดลองถูกจนเห็นผลลัพธ์ เพราะวงเองก็ไม่คิดว่าท้ายที่สุดเพลงจะออกมาเป็นแบบนี้ ตอนแรกพวกเขาไม่ได้คิดอะไรเลย นั่นแหละครับที่ทำให้มันเจ๋ง!

Dust and Dirt – The Black Seeds

เอาใจคนอยากชิลกันบ้าง Dust and Dirt เพลงชวนโยกจาก The Black Seeds วงดนตรีจากนิวซีแลนด์ อันที่จริงเราก็ไม่แน่ใจว่าเนื้อเพลงเขาตั้งใจจะสื่ออะไร แต่ท่อนฮุค “Dust and dirt, and rain above begins A river blood, and pain, no trust, no end” (ฝุ่น ดิน และฝนที่ตั้งเค้ากลายเป็นสายน้ำโลหิต ความเจ็บปวด ไม่น่าไว้ใจ ไร้ที่สิ้นสุด) มันช่างคล้องจองติดหู จนเวลาฟังต้องโยกหัวโยกไหล่ตาม แต่ถ้าให้เดาวิถีชาวเร็กเก้แบบนี้ เพลงลักษณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องธรรมชาติและความเป็นไปของชีวิตครับ ใครชอบดนตรีไหล ๆ ฟังเพลิน น่าจะถูกใจ

Dust On The Ground – Bombay Bicycle Club

Dust On The Ground (ฝุ่นบนพื้นดิน) ของ Bombay Bicycle Club เป็นเพลงเกี่ยวกับการที่คนรักของเราหมดรักในตัวเราแล้ว แต่เขาอ้อมแอ้มจะให้เราเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนนั่นเอง “I am inches above The dust on the ground” คือการเปรียบเทียบคุณค่าของตัวเราว่าเป็นเพียงแค่ฝุ่นผงที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ไร้ค่าไร้ความหมาย มาด่ากันว่าเป็นฝุ่นก็แย่มากแล้ว ถ้าถูกด่าเป็น PM 2.5 อีก ผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

Dust Clear – Clean Bandit

Dust Clears เพลงอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปเท่ ๆ อีกงานคุณภาพจากวง Clean Bandit คำว่า Dust Clear ในที่นี้หากแปลตรงตัวจะมีความหมายว่า ‘ฝุ่นจาง’ ความฉลาดของเพลงนี้คือการทำให้เนื้อเพลงกลายเป็นบทสนทนาตอบโต้ระหว่างคนสองคน โดยฝั่งผู้ชายจะเป็นตัวแทนของความสงสัยและสับสน “As the dust clears and it all starts to disappear” (เมื่อฝุ่นละอองจางลง ทุกสรรพสิ่งเลือนหาย) “It may get harder ’cause you just restarted” (มันอาจจะยากสักนิด เพราะคุณเองก็เพิ่งเริ่มต้นใหม่)

ส่วนฝ่ายหญิงคือฝั่งตรงข้ามที่พยายามจะดึงผู้ชายให้กลับสู่โลกแห่งความจริง “You better get real, real, real and Realise that the situation’s going nowhere” (คุณควรจะกลับสู่ความเป็นจริง และตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์นี้มันไปไหนก็ไม่รอด) เมื่อมาวิเคราะห์โดยรวมแล้ว บางท่อนอาจสื่อไปถึงความสัมพันธ์ของคนสองคน และสามารถสื่อความได้หลากหลายทั้งในแง่ของมิตรภาพ ชีวิต ธรรมชาติ และความเป็นไป สุดแล้วแต่การรับรู้ของผู้ฟังครับ

ถึง 10 เพลงเกี่ยวกับฝุ่นนี้ จะไม่ต้องสวมหน้ากากก็สามารถเปิดฟังได้ แต่ช่วงนี้ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะครับ ออกจากบ้านอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โรคภัยไข้เจ็บจะได้ไม่ถามหา เก็บเรี่ยวแรงมาฟังเพลงดีกว่าต้องนอนป่วยครับ

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line