Life

‘LOVELORN เจ็บเพราะรักแต่ยังไม่ตาย’ คำแสนสั้นซึ่งนิยามถึงความเศร้าระทมจากรักที่ไม่สมหวัง

By: TOIISAN February 19, 2020

“ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต่างต้องเคยรู้สึกหวิวในใจเวลาได้ยินคำลาจากคนรัก”

ว่ากันว่ามีใครสักคนเคยกล่าวประโยคชวนเลี่ยนนี้ ประโยคที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราต่างเกิดมาเพื่อตกหลุมรัก เสพสมความสุข และพบเจอกับความเจ็บปวด มันอาจจะจริงอย่างที่เขาเอ่ยว่าชีวิตของคนเราก็ต้องเคยตกหลุมรักหรือชอบใครสนคนด้วยกันทั้งนั้น อาจเป็นรักในวัยเรียน ความรู้สึกประทับใจกับใครสักคนตั้งแต่แรกเจอ หรือการเผลอใจรักคนใกล้ตัวที่เขามองว่าเราคือเพื่อนหรือพี่น้อง

เพราะความรู้สึกรักเป็นสิ่งที่หลาย ๆ ครั้งมนุษย์ผู้เก่งกาจก็ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้เกิดคำคำหนึ่งที่จะนิยามถึงความเศร้าและเจ็บปวดเมื่อใครสักคนผิดหวังกับความรักอย่างคำว่า Lovelorn 

 

“LOVELORN” ภาษาวรรณกรรมที่นิยามถึง “การพลาดรัก”

เมื่อเราตกหลุมรักจนลุกไม่ขึ้นเพราะถูกปฏิเสธ พอนำเรื่องเศร้านี้ไปคุยกับเพื่อนก็มักเรียกความรู้สึกนี้ง่าย ๆ ว่า “กูอกหักว่ะ” ส่วนภาษาอังกฤษจะพูดกันว่า “broken-hearted” หรือ “heartbroken” ซึ่งเป็นภาษาทั่วไปที่พอพูดใคร ๆ ก็เข้าใจตรงกันว่าเราผิดหวังจากความรัก แต่แท้จริงนิยามของคำว่าอกหักมันมีคำที่ลึกซึ้งมากกว่าการพูดว่าหัวใจเราแตกสลาย 

“lovelorn” มีความหมายไม่แตกต่างจาก “heartbroken” เท่าไรนัก แต่เมื่อ UNLOCKMEN ได้ลองเปิดพจนานุกรมเพื่อหาความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ก็ได้พบว่า lovelorn นั้นลึกซึ้งกว่าเพราะมันคือคำที่นิยามถึง การพลาดรัก การถูกคนรักทอดทิ้ง รู้สึกหน่วง ๆ กลางใจจนพาลให้เกิดอาการซึมเศร้าจากรักที่ไม่สมหวัง

รักไม่สมหวังยังสามารถขยายความได้อีกว่า พลาดรักจากการที่เราไปรักคนที่เป็นไปไม่ได้ พลาดรักจากการสูญเสียคนรัก แต่ถ้าเป็น heartbroken ก็จะบอกแค่ว่าเราช้ำใจ ผิดหวัง และเสียใจมาก อาจใช้บรรยายความเจ็บช้ำที่เจอมาได้ไม่มากเท่ากับคำว่า lovelorn

lovelorn เป็นคำเก่าแก่ที่ถูกใช้มานานมากแล้วบนโลกใบนี้ เนื่องจากเหล่าสุภาพบุรุษสมัยก่อนราวปี 1600 ก็ต้องเคยอกหักพลาดรักไม่ต่างจากเรา มีชายคนหนึ่งชื่อว่า John Milton (จอห์น มิลตัน) เติบโตมาตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษชั้นสูง มีโอกาสเรียนหนังสือและศึกษารากฐานของภาษาเพื่อเติบโตไปเป็นปัญญาชน และการร่ำเรียนกับประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวเริ่มสัมฤทธิ์ผล

เมื่อเขามองความหมายที่ลึกซึ้งของคำว่า love (รัก) กับคำว่า lorn (การถูกทอดทิ้งจนระทมทุกข์) ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าคำว่า lovelorn เกิดขึ้นตอนไหน แต่รู้ตัวอีกที lovelorn ก็ปรากฏตัวครั้งแรกบนงานเขียนของ John Milton เสียแล้ว

มิลตันผู้จมอยู่กับภาษาและการเขียนได้สร้างคำศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 17 เช่นการนำภาษาละตินมาเพิ่ม un- ไว้ข้างหน้าคำภาษาอังกฤษ คำว่า terrific (ยอดเยี่ยมมาก, น่าสยองขวัญอย่างมาก) คำว่า Space (อวกาศ) ที่ผู้คนก็ยังคงใช้ต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน รวมถึงคำว่า lovelorn ที่ใช้พรรณถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอยู่บ่อยครั้งในผลงานเรื่อง Comus ที่ประพันธ์ไว้เมื่อปี 1633 

พอมีคำที่รวมทั้งความรักและการถูกทอดทิ้งไว้ในคำเดียว ผู้คนสมัยนั้นที่ได้อ่านงานเขียนของ John milton ต่างประทับใจกับคำนี้จนเกิดการนำไปใช้แบบปากต่อปาก จนผู้คนที่ไม่สามารถเข้าถึงหนังสือก็ยังรับรู้ได้ถึงความหมายแสนเจ็บปวดของ lovelone

แม้ความหมายของคำว่า lovelorn จะหมายถึงความเศร้าหนักจากรักที่ไม่สมหวังซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง จนสามารถก่อให้เราเกิดสภาวะซึมเศร้าจากความรัก พาลให้ขุ่นมัวหงุดหงิดตลอดเวลา บางครั้งก็เจ็บจี๊ด ๆ หรือรู้สึกโหวงในใจจนหมดอารมณ์จะทำอะไร มีเพียงอยากเดียวที่อยากทำคือนอนจมอยู่บนเตียงพร้อมกับลิสต์เพลงเศร้าตอกย้ำความเจ็บ นอนคิดถึงเขาหรือเธอทั้งวันทั้งคืน แต่นิยามคือ lovelorn แม้จะเจ็บหนักแค่ไหนก็ยังไม่ถึงขั้นเจ็บจนตาย

ไม่ว่าเหตุผลที่เราอกหักจนได้แผลจากความรักที่ผิดพลาด การสูญเสียคนรัก หรือชีวิตคู่ที่ไปกันไม่รอด ทั้งหมดทำเราเศร้าจนซึม เราสามารถเอาคำว่า lovelorn ไปตั้งเป็นสเตตัสเฟซบุ๊กหรือแคปชันรูปในอินสตราแกรมได้ เพื่อบอกให้เหล่าเพื่อนพ้องที่ห่วงใยรู้ว่าเรากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความเศร้า และเราก็คิดว่ามันคูลกว่า heartbroken เพราะนี่คือภาษาวรรณกรรมที่แสดงความเจ็บปวดจากความรักได้ครบถ้วนที่สุด 

ท้ายที่สุดแม้เราจะเจ็บหนักแต่เวลาและสิ่งรอบตัวจะค่อย ๆ เยียวยาให้เราฟื้นคืนเป็นคนเดิมที่แข็งแกร่งขึ้น ความเจ็บปวดจากความรักที่เรียกว่า lovelorn ก็กลายเป็นสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในเสี้ยวความทรงจำที่บางครั้งเราอาจหวนนึกถึงมันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าตอนแรกเมื่อครั้งแผลรักยังสดอยู่อีกต่อไป

หากใครรู้สึกเจ็บหนักจนคล้ายว่าจะตาย เราคงต้องเปลี่ยนจาก lovelorn เป็น Broken heart syndrome แทน เพราะมันคือชื่อของโรคหัวใจที่เกิดจากความเครียดฉับพลันหรือเกิดอารมณ์สะเทือนใจที่รุนแรงจนสามารถทำเราตายได้จริง ๆ ซึ่ง UNLOCKMEN ก็ขอภาวนาให้ผู้อ่านทุกอ่านไม่ต้องเจอกับประสบการณ์รักพังๆ ที่ทำเราตายนะครับ 

 

ลองมาแชร์ประสบการณ์กันได้นะครับว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคย ‘lovelorn’ กันบ้างหรือไม่ ?

 

 

SOURCE: 1 / 2 / 3

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line