Entertainment

ดีเจสองสัญชาติ ที่ศิลปินทุกคนอยากร่วมงานมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค กับพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทาน Zedd

By: Thada December 23, 2016

หากพูดชื่อ Anton Zaslavski หลายคนอาจจะ งง ว่านี่มันชื่อใครกันทำไมไม่คุ้นเลย แต่ถ้าเกิดเราพูดว่า Zedd ทุกคนจะต้องร้องอ้อ แล้วรู้ทันทีว่าเขาคือดีเจหนุ่มอายุน้อยที่ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์เพลงฝีไม้ลายมือโดดเด่นเกินอายุ พร้อมกวาดรางวัลความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี หรือรู้เรื่องราวของวงการ EDM มากนัก อาจจะคิดว่าเขาก็เป็นดีเจธรรมดาคนหนึ่ง และยิ่งพอไปดูใน ranking จัดอันดับดีเจ หรือดีเจที่มีรายได้มากที่สุด เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของทั้งสองเรื่องนี้ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมเราถึงได้หยิบยกเรื่องของ Zedd ขึ้นมาเพื่อพูดในวันนี้

เพราะเมื่อทีมงานได้ไปศึกษาเรื่องราวประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ถือว่าน่าสนใจ เขาไม่ใช่ดีเจธรรมดาที่เปิดแผ่นอยู่ตามไนท์คลับ แล้วเกิดฟลุ๊คดัง แต่เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมาย ก่อนจะมามีอัลบั้มของตัวเอง ดังนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากนำเรื่องของ Zedd มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน

161223-zedd-1

ก่อนอื่นเเลยจากประวัติตามที่เขาได้ระบุไว้คือ Zedd มีชื่อจริงๆ ว่า Anton Zaslavski มีคุณพ่อ และคุณแม่เป็นชาวรัสเซียแท้ๆ แต่ได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศเยอรมัน เมือง ไกเซอร์สเลาเทิร์น ตั้งแต่เขายังเล็ก ทำให้ Anton ( Zedd ) ได้รับสิทธิ์ใช้สองสัญชาตินั่นคือ รัสเซีย-เยอรมัน หากใครที่ยังไม่รู้อีกคือ Anton ( Zedd ) มีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีแทบทุกชนิดแบบแตกฉาน จะบอกว่าเขาเป็น Perfect Musician เลยก็ว่าได้ ซึ่งพรสวรรค์ทางด้านดนตรีของเขาต้องยกเครดิตให้พ่อ แม่ของ Anton ( Zedd ) ที่เป็นนักดนตรี และครูสอนดนตรี ที่สอนให้ Anton ( Zedd ) เริ่มเล่นเครื่องดนตรีชิ้นแรกคือเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ

161223-zedd-6

เนื่องจากเกิดในครอบครัวนักดนตรี และตัวของ Anton ( Zedd ) มีความสนิมสนมกับพี่ชายอย่างมาก กิจกรรมหลักภายในบ้านนี้ก็จะเป็นการเล่นดนตรีร่วมกันตลอดเวลา ซึ่งในระหว่างที่เป็นวัยรุ่นอายุได้ 12 ปี พี่ชายของเขาคือ Arkadi Zaslavski ได้มาชวนให้ Anton ( Zedd ) ตั้งวงดนตรีโดยให้เขารับหน้าที่เป็นมือกลองของวง และใช้ชื่อแบนด์ว่า Dioramic ที่จะเล่นเพลงในแนว deathcore พวกเขาเดินทางเล่นดนตรี metal ไปทั่วเมือง ไกเซอร์สเลาเทิร์น รวมถึงได้ขึ้นไปเล่นวงหลักในงาน Munich Heavy Metal Festival ซึ่งภายหลังต่อมาวง Dioramic ก็ได้รับการเซ็นสัญญาจากค่าย Lifeforce Records

161223-zedd-5

แต่ในระหว่างที่วง Dioramic อยู่ระหว่างการทำเพลง ตัวของ Anton ( Zedd ) ที่ขณะนั้นอายุได้ราวๆ 18 ปี เริ่มหันมาสนใจแนวเพลง electronic อย่างจริงจัง เพราะได้ไปฟังเพลงของ Justice ซึ่งต้องถือว่าผลงานชุดนี้มีอิทธิพล และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ Anton ( Zedd ) หันเห เปลี่ยนทิศทางเลือกพักงานจากวง Dioramic เพื่อมาเดินหน้าทำเพลง electronic ของตัวเอง

161223-zedd-9

Justice

หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเส้นทาง electronic music เขาได้เลือกที่จะใช้ชื่อ Zedd ซึ่งมาจากการออกเสียงพยัญชนะตัวแรกของนามสกุลเขาตามภาษาท้องถิ่น มาใช้เป็นชื่อในวงการเพื่อง่ายต่อการจดจำมากกว่าเรียก Anton Zaslavski เต็มๆ เขาก็ได้เริ่ม remix เพลงเอง รวมถึงลงแข่งขันราย การ Beatport remix contents ในปี 2010 ซึ่งเขาก็เป็นผู้ชนะด้วยเพลงแต่งเองที่ชื่อว่า The Anthem 

ในระหว่างนั้นเขาก็ remix เพลงอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นของ Justin Bieber , The Black Eyed Peas รวมถึง Lady Gaga โดยเฉพาะรายหลังถึงขนาด Lady Gaga นำเวอร์ชั่น remix ของ Anton ( Zedd ) ไปไว้เป็นโบนัส แทร็กในอัลบั้ม Born This Way ของตัวเอง ทำให้ Anton ( Zedd ) มองเห็นว่าเขาจะหยุดไว้เพียงเท่านี้ไม่ได้ ต้องยกระดับตัวเองขึ้นไปให้ได้ไกลกว่านี้ด้วยการทำเพลงของตัวเอง

161223-zedd-4

ขณะเดียวกัน Skrillex ดีเจที่มีพื้นเพ แบล็คกราวน์ คล้ายๆ กับ Anton ( Zedd ) คือมาจากนักดนตรีแนว metal มาก่อน กำลังจะเปิดค่ายเพลงที่มีชื่อว่า OWSLA records ตัว Anton ( Zedd ) เลยได้ทำการส่งข้อความไปหา Skrillex โดยตรงผ่าน MySpace ว่า ” เฮ้ยคุณรู้ไหมว่ากว่า 99.9% ในวงการเพลง EDM มันห่วยแตก แต่คุณเป็น 1 ในส่วนเล็กที่ไม่ใช่ คุณแม่งโคตรเจ๋ง และคุณจะชอบเพลงของผมเช่นกัน ”

161223-zedd-10

ทำให้ Skrillex รีบเปิดเพลงของ Anton ( Zedd ) ฟังทันที พอเขาได้ฟังจนจบ Skrillex ได้รีบติดต่อทุกคนที่มีอำนาจเพื่อจะดึงตัวเจ้าเด็กหนุ่มจากเยอรมันคนนี้มาร่วมทัวร์กับเขาให้จงได้ และก็เป็นตามความประสงค์เพราะตลอดการทัวร์ในปี 2011 ของ Skrillex จะมีดีเจหนุ่มที่ชื่อ Zedd พ่วงติดไปด้วยตลอด ก่อนที่ตัวของ Anton ( Zedd ) จะได้ออกซิงเกิ้ลแรกที่ ชื่อว่า Shave It Up กับค่ายเพลง OWSLA records

ในปี 2012 Zedd  ได้เซ็นสัญญากับ Interscope Records เพื่อทำหน้าที่โปรดิวเซอร์และผลิตเพลงอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้เริ่มทำเพลงกับศิลปินระดับโลก เริ่มจากเพลง Spectrum ที่ได้ Matthew Koma มาบันทึกเสียงให้ หรือจะเป็นเพลง I Don’t Like You ที่ร่วมงานกับ Eva Simons ถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้คนเริ่มรู้จักในตัวของศิลปินดีเจหน้าใหม่เชื้อสาย รัสเซีย- เยอรมัน คนนี้อย่างเต็มตัว

และอีกผลงานที่สำคัญคือการที่เขาเป็นคนเขียนเพลง พร้อมโปรดิวส์เพลง Beauty and the beat ของ Justin Bieber ที่ฮิตและโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากนั้นใน Zedd ได้ประกาศว่าเขาจะทำเดบิ้ว อัลบั้มของตัวเองภายในปี 2013 พร้อมปล่อยซิงเกิ้ลแรกที่เปรียบดังขีปนาวุธจากรัสเซียที่ส่งไปถล่มทั่วโลกจากผลงานเพลง Clarity ที่ได้นักร้อง/นักแต่งเพลงสาวมากความสามารถจากอังกฤษอย่าง Foxes มาร่วมขับร้อง ซึ่งความสำเร็จไม่ใช่เพียงการไต่อันดับ 1 ของทุกชาร์ตเพลง แต่ยังรวมไปถึงยอดขายถล่มทลายระดับแพลตทินั่มกว่า 2 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก

หลังจากปล่อยให้เพลง Clarity ค่อยๆ โกยความสำเร็จจนถึงจุดซาลง เขาก็ปล่อยซิงเกิ้ลที่สองชื่อว่า Stay The Night ออกมาทันที ที่คราวนี้ได้สาวแกร่งไอดอลตัวจี้ดอย่าง Hayley Williams นักร้องนำวง Paramore ซึ่งความสำเร็จของเพลงนี้ก็ดำเนินรอยตามเพลง Clarity ไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ Progessive หนักๆ สไตล์ Zedd บวกกับเสียงร้องผู้หญิงทรงพลังทำให้ชื่อของ Zedd เป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับนักร้องศิลปินป๊อปที่อยากจะร่วมงานกับเขา

และก็เป็น Lady Gaga ที่โชคดีได้ Zedd เลือกไปทำงานโปรดิวส์เพลงให้ในอัลบั้ม Artpop ก่อนเขาที่จะรับหน้าที่ทำเพลง original soundtrack ประกอบหนังเรื่อง Divergent กับอีกหนึ่งงานโปรดิวส์เพลง Break Free ให้ Arina Grande ที่ทะยานขึ้นอันดับ 1 Billboard Hot 100 และในปีนั้นเองที่ Zedd ได้รับรางวัล Grammy Awards สาขา Best Dance Recording จากเพลง Clarity

161223-zedd-3

Zedd ยังคงทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง แต่ชื่อเสียงของเขาไม่ได้รับการขนานนามมากหนักในฐานะดีเจมือวางอันดับ เพราะงานหลักๆ ของเขาจะเน้นเป็นการโปรดิวส์เพลงเสียมากกว่าการแสดงสด เพราะเขาได้บอกกับทุกคนว่าเขาเป็นเพียงนักดนตรีธรรมดาคนหนึ่ง แม้ว่าทุกคนจะมองว่าเขาเป็น ดีเจ หรือโปรดิวเซอร์เพลง EDM แต่ตัวตนของเขาคือ ความรักและหลงใหลในดนตรี ไม่มีใครรู้หรอกว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เขาอาจจะกลับไปทำวงดนตรี metal อีกครั้งก็เป็นได้ เพราะเขาไม่ได้เล่นดนตรีเพื่อหาเงิน เขาเล่นดนตรีเพราะเขารักมัน

161223-zedd-2

ทั้งนี้ทั้งนั้น Zedd ก็ยังมีโชว์ต่อปีอยู่ราวๆ 150 โชว์ต่อปีที่ทำเงินให้เขาราวๆ $ 20,000 เหรียญต่อครั้ง ทำให้เขามีเงินต่อปีมากถึง $ 3.5 ล้านเหรียญ แต่เชื่อหรือไหมว่าบ่อยๆ ครั้ง Zedd ก็ยังคงทำตัวเรียบง่ายกลับไปนอนยังบ้านพ่อแม่ของเขาหลังเดิมที่เยอรมัน แม้ว่าเขาจะซื้ออพาร์ทเมนต์หลังใหม่อยู่แล้วก็ตาม เพราะเขาบอกว่าตัวเองรู้สึกทำงานได้ไหลลื่นเมื่ออยู่ สภาพแวดล้อมห้องนอนเล็กๆ ห้องเดิมของเขา

161223-zedd-7

หลังจากทำงานมาอย่างหนัก Zedd ได้หยุดพักงานเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนจะประกาศทำอัลบั้มที่มีชื่อว่า True Color ซึ่งอัลบั้มนี้เอง Zedd ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อคนฟังจะสามารถรับรู้สัมผัสถึงสีสันบรรยากาศอารมณ์ที่เข้าสอดแทรกในเพลง อัลบั้ม True Color เปิดตัวด้วยเพลง I want you to know ที่ได้ Selena Gomez มาร่วมร้องก่อนทั้งคู่จะตกลงเดทกัน และต่อด้วยเพลง Beautiful now เพลงที่ทำให้อัลบั้ม True Color ของเขาขึ้นไปรั้งอันดับ 1 อัลบั้มขายดีจากทั่วโลก จากความฮิตในครั้งนี้ถ้ากลับกัน เป็นดีเจคนอื่นๆ อาจจะเลือกรับงานอีเว้นท์เยอะๆ เพื่อที่จะได้ทำจำนวนรอบการแสดง เพื่อได้เงิน

แต่ Zedd เลือกที่จะทัวร์ด้วยตัวเอง โดยใช้ชื่อทัวร์เดียวกันกับอัลบั้มนั่นคือ True Color Tour ที่เดินทางไปเล่นทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น เอเชีย อเมริกา ยุโรป รวมถึงประเทศไทย ( ก่อนจะมีเลื่อนคอนเสิร์ตจากผู้จัด ทำให้ Zedd พลาดมาไทยในครั้งแรก ) แถมยังได้ขึ้นเป็น head line up ในงานดนตรี coachella

161223-zedd-8

สิ่งที่ทำให้ Zedd มีความแตกต่างจากดีเจคนอื่นๆ คือความสามารถในการทำเพลงได้ด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่เขียนเพลง เล่นเอง อัดเอง รวมถึงมิกซ์เพลงด้วยตัวเอง ว่ากันว่าเขามีพรสววรค์ และความเข้าใจทางด้านดนตรีที่เปี่ยมล้นมากกว่าดีเจในท้องตลาดทั่วไป ซึ่งสิ่งนี้หละที่ทำให้ Zedd แตกต่างจากดีเจปกติทั่วไป ( จากปากของ Ryan Tedder นักร้องนำวง One Republic ) อีกทั้ง Zedd มีสไตล์การ remix ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง เขาสามารถเปลี่ยนเพลงจากศิลปินต้นฉบับให้ดูเหมือนราวกับเป็นงานของเขาเองได้ แบบไม่มีที่ติด และเขายังเป็นคนคลุมโทน art direction ของอัลบั้ม รวมถึงการแสดงโชว์ด้วยตัวเอง เพื่อให้เพลงกับ แสงสี ล้อไปในทางเดียวกันทั้งหมด

นอกจากความสามารถที่ยอดเยี่ยม จิตใจโอบอ้อมอารีย์ก็เป็นอื่นหนึ่งสิ่งที่เราอยากให้ชาว UNLOCKMEN เรียนรู้จาก Zedd เป็นแบบอย่าง เหตุการณ์ในครั้งหนึ่งที่ Kesha นักร้องสาวชาวอเมริกันถูกโปรดิวเซอร์เพลงของเธอข่มขืนตั้งแต่อายุ 18 พร้อมบังคับกดขี่ แต่สุดท้ายเธอเป็นฝ่ายแพ้คดี จนเธอเครียดคิดที่อยากจะลาออกจากวงการเพลง รวมถึงฆ่าตัวตาย แต่เป็น Zedd ที่ประกาศออกมาว่าพร้อมทำงานให้กับ Kesha แบบฟรีเพื่อช่วยเหลือให้เธอก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้ ทั้งที่สองคนนี้ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน จนเกิดเป็นเพลง True color 

และนี่ก็เป็นเรื่องราวของ Zedd ที่เรานำมาฝากกัน หากจะบอกว่าเขาเกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันเหลือล้นก็ไม่ผิด แต่สุดท้ายแล้วหากพรสวรรค์ที่ขาดซึ่งพรแสวงก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ เขาเลือกที่ก้าวออกจากกรอบเดิมๆ เพื่อไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าจนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ที่คนต้องการตัวมากที่สุดในยุคดนตรีสมัยใหม่ สำหรับใครที่อยากจะติดตามเรื่องราวของ Zedd ก็มี Documentary ส่วนตัวที่น่าสนใจสองตัวให้ไปติดตามคือ Clarity และ True Color ตามลิ้งด้านล่างนี้ แล้วคุณจะหลงรักชายหนุ่มคนนี้แบบไม่รู้ตัว

https://www.youtube.com/watch?v=lxzRXAcnhQI

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line