Life

ZERO TO HERO: ‘JDED FEDFE’ จาก YOUTUBER ยุคบุกเบิกชื่อดัง สู่การเริ่มใหม่อีกครั้งในฐานะช่างตัดผม

By: NTman June 11, 2020

หากเอ่ยถึงชื่อ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ หลายคนอาจจะงง ๆ ว่าเรากำลังพูดถึงใคร เพราะเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้จักผู้ชายคนนี้ในนาม ‘เจเด็ด FEDFE’ หนึ่งในชาวแก๊ง YouTuber ยุคบุกเบิก ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ Content ห่าม กล้า บ้าดีเดือด จนสามารถแหวกทางให้พวกเขายืนหนึ่งเป็น YouTuber ยุคบุกเบิก ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาส และรายได้มากมาย

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งหลังจากปีนสู่ยอดเขาแห่งการทำ Online Content สำเร็จ ในวันที่ทุกอย่างอิ่มตัว เพื่อนฝูงต่างแยกย้ายไปทำตามฝันของแต่ละคน ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกทางเดินเส้นใหม่ เลือกเริ่มต้นใหม่ด้วยการไต่ยอดเขาอีกลูกบนสายอาชีพช่างตัดผม? แน่นอนว่าคำถามนี้คงไม่มีใครให้ความกระจ่างได้ดีกว่าเจ้าตัว และ เขาก็พร้อมแล้วที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟังย้อนไปตั้งแต่สมัยวัยเด็กกันเลยทีเดียว

จากเด็กเรียบร้อยระดับหัวหน้าชั้น สู่ตัวกลั่นแห่งแก๊ง FEDFE

“สมัยเด็กผมเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ประถมเลย เป็นเด็กเรียบร้อย ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้ จะมีรอยสักเยอะแยะแบบไม่เคยคิดมาก่อน แต่ด้วยความที่แบบว่า ชอบมานานเรารู้สึกว่าเราเสพแฟชั่น เสพสื่อแล้วเรารู้สึกชอบรอยสักจนที่สุดแล้วก็เป็นตัวตนเราที่ทุกคนรู้จักในตอนนี้” เจเด็ดเริ่มต้นบทสนทนา ด้วยคำตอบสุดเซอร์ไพรส์ กับคำถามจากความสงสัยเรื่องรอยสักเต็มตัวดูดุดัน และความห่าม บ้า ซ่า ที่เคยได้เห็นจาก YouTube จนทำให้อยากรู้ว่าวัยเด็กของเขานั้นจะแสบขนาดไหน ก่อนที่จะเข้าประเด็นหลักที่เราอยากรู้ที่มาที่ไปของการเริ่มทำ Fedfe จนโด่งดัง

“จุดเริ่มต้นเริ่มทำ Fedfe มันมีอยู่ช่วงนึงช่วงน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 54 ตัวผมเนี่ยตอนนั้นยังเรียนไม่จบ ไปเริ่มเรียนปริญญาตรีใหม่ ส่วนเพื่อน ๆ พวก ต้า ยัด และคนอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนกันสมัยเรียนรามทุกคนเรียนจบหมดแล้ว ก็แยกย้ายไปทำงานในสายอาชีพที่ตัวเองอยากทำ ส่วนใหญ่พวกผมจะทำงานสายโปรดักส์ชัน แต่คือปีนั้นนี่น้ำท่วมหนักเลย ช่วงนั้นทุกคนก็ตกงานกัน ผมก็ว่าง ๆ อยู่

ทีนี้เราก็รวมตัวกันเพราะจะไปช่วยขนข้าวของหนีน้ำท่วมที่บ้านเจมส์ แต่ประเด็นเราไม่ได้จะไปแค่ขนข้าวของอย่างเดียว เราจะทำคลิปด้วย เป็นคลิปที่กลุ่มเพื่อนทำกันเอง ทำคอนเทนท์ที่แบบว่าแปลกๆ แรงบันดาลใจของเราคือ JackAss  ซึ่งต้าร์เป็นคนชวนทุกคนเลย อันนี้คือชวนเพื่อนทุกคนไปขนของบ้านเจมส์ แล้วทำคอนเทนท์ คือทุกคนว่างหมด เหมือนกับว่าเรามาทำไรที่เป็นของเราเองดีกว่า

ซึ่งอาจจะดูเหมือนลองทำเล่น ๆ สนุก ๆ นะ แต่ต้องบอกเลยว่าสิ่งที่พวกผมทำงานกันในคลิปแรก ๆ จนถึงสุดท้ายของคลิปที่ทำ Fedfe นะ จริงจังกับงานทุกครั้ง ต้าร์เป็นคนคิดแล้วว่าวันนึงจะทำให้ทุกคนจากที่ไม่มีต้นทุนชีวิต กลายเป็นประสบความสำเร็จในสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่ เริ่มต้นจากนี้ไปพวกมึงเตรียมตัวให้ดีเลยว่า พวกมึงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่เราจะทำ ต้าร์เป็นคนพูดคำนี้กับผม ผมก็แบบเฮ้ย มันจะจริงหรอวะ  แต่แล้ววันนึงเนี่ยเราก็ได้มายืนอยู่จุดที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่ที่ทำเป็น YouTuber ในยุคนั้น อันนี้ต้องให้เครดิตต้าร์หัวเรือใหญ่ของ Fedfe เลย”

 

ความสำเร็จคือรางวัลและบทเรียนครั้งใหญ่

ด้วยคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นและแตกต่างของสมาชิก Fedfe แต่ละคน รวมถึงเนื้อหา วิธีการนำเสนอที่ถือว่ายังใหม่สำหรับวงการ YouTuber เมืองไทย ณ ตอนนั้น ไม่แปลกที่สิ่งที่พวกเขาทำ จะนำพาให้ทุกคนไปสู่ความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้จริง ๆ แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้มีแค่รางวัลที่หอมหวาน เพราะเจเด็ดได้เล่าให้เราฟังว่าในวันที่ชื่อเสียง ความสำเร็จ รายได้ถาโถมเข้ามา มันกลับมีบทเรียนครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาและเพื่อน ๆ ปวดใจไม่ใช่น้อย

“ช่วงพีคสุดตอนนั้น ในแง่มุมดี ๆ คือพวกเราจับหรือทำไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด เงินเข้ามาในยุคแรกๆต้องบอกก่อนว่าตอนผมทำคนที่ทำ YouTube ทำน้อยมาก แล้วทุกคนมุ่งความสนใจมาที่พวกผมคือ กลุ่มคนที่แปลก เกรียน ห่าม กล้าเล่นหมดเลยเนี่ยแหละ มันเลยได้งานประจำช่วงนั้น ได้งานเข้ามาตลอดเวลาเป็นโมเมนต์ที่ดีของชีวิตเลยครับ ได้อยุ่ในจุดที่ดีของเด็กผู้ชายคนนึงที่ไม่เคยอยู่มาก่อน ไปค้นใน Google ก็เจอว่าคือใคร มันเป็นจุดที่แบบมีแต่สิ่งดีดีเข้ามาในชีวิต รู้สึกประทับใจมากครับตอนนั้น แล้วผลตอบแทนในชีวิตการใช้จ่ายก็คล่องกว่าเดิมเรามีเงินเก็บมีอะไรตอบโจทย์กับสิ่งที่เราจับจ่ายซื้ออะไรพวกนี้ได้หมดเลย

ส่วนเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตจะมีเรื่องเดียวใน Fedfe พวกผมเจอกันมาคือผลประโยชน์ที่มีการทุตจริตกันในองค์กรที่ผมทำ เป็นจุดที่บั่นทอนพวกผม ต้องเข้าใจก่อนว่าพวกผมไม่มีต้นทุนชีวิตที่ดีมาก่อน ทุกคนคือติดลบ แต่ละคนเรียบจบมาได้คือฝ่าฟันชีวิต บางคนคือหาเงินเลี้ยงตัวเอง เช่าห้องอยู่เลย ใช้ชีวิตสมถะแบบเจียดเงินไปซื้อข้าวได้คือดีแล้ว ถึงขั้นนั้นเลยนะ

พอมีเงินรายได้เข้ามาเต็มที่ กลับมีการทุจริตกันในองค์กรเฟ็ดเฟ่เลยทำให้มันเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้กับคนที่เป็นเพื่อนกันมานาน แล้วมาเจอแบบนี้แต่ไม่เป็นไร มันก็คือบทเรียนนึงที่ทำให้เราได้รู้ว่าเรามีข้อผิดพลาดตรงไหนเราจะต้องแก้ไขไปอุดไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอีก 

ช่วงนั้นผมจดทะเบียนกันในนามบริษัทแล้วแต่พวกผมทำไรกันไม่เป็นเลยยังไม่มี แผนกบัญชีอะไร ใช้ความเชื่อใจกันมากกว่า เพราะเพื่อนคนนั้นที่ก่อเรื่องเขาก็มีต้นทุนที่ดีกว่าพวกผมทุกคน จบที่สูงกว่าด้วย ก็เลยแบบว่าเออไม่เป็นไร  เอาข้อที่มันผิดพลาดไปแล้วมาเริ่มต้นใหม่แก้ไขกัน ลุยต่อ ให้มันผ่านไป 

ก็มีกรณีแบบว่าขึ้นโรงขึ้นศาล เกิดเรื่องตอนนี้ก็คดีจบแล้วไม่มีไรกันแล้ว วันหนึ่งอาจจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม ด้วยระยะเวลาเราก็เป็นเพื่อนกันมานาน จริง ๆ เราสนิทกันมากเลยนะ ส่วนตัวผมเองคิดว่านึงอาจจะกลับมาคุยปรับความเข้าใจกันใหม่ ผมว่าคนเราเปลี่ยนกันได้มันอาจจะเป็นแค่ช่วงอารมณ์ของคน ๆ นึง ประมานนี้”

 

งานเลี้ยงที่รู้ล่วงหน้าว่าต้องมีวันเลิกรา

แม้จะมีปัญหาที่สร้างแผลในใจให้กับพวกเขา แต่ชาว Fedfe ที่เหลือก็ยังเหนียวแน่น เดินหน้าสร้างผลงานกันต่อเนื่องยาวนาน แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเจเด็ดได้บอกกับเราว่าเรื่องการปิดตำนาน Fedfe เขาเองก็เตรียมใจ เตรียมแผนสำรองสำหรับชีวิตของตัวเองเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว

“เฟ็ดเฟ่ทำมาเกือบ 9 ปี พวกเราทำกันมานาน คนทำ YouTube ก็เยอะขึ้น เลยคิดว่าถึงเวลาแล้ว แต่ละคนก็มีความฝันที่อยากจะไปทำอะไรของตัวเองด้วย ทุกคนมีเวย์ของตัวเองทุกคน อย่างผมคิดแล้วมีการวางแผนของตัวเองว่าถ้าวันนึง Fedfe ถึงจุดที่พีคสุดแล้ววันนึงก็ต้องมีตกลงมาแล้วเราจะทำอะไรตัวเราเองก็เลยถึงเวลาที่เราต้องไปหาสิ่งที่ชอบนั่นคือการตัดผม แล้วเราก็ไปศึกษามันเตรียมเอาไว้แล้ว”

 

อาชีพตัดผมทางเดินใหม่ที่โคตรแตกต่าง

“สิ่งที่ผมฝันหรืออยากจะทำคือชอบในเรื่องตัดผมมานานละครับ อย่างที่บอกผมชอบเรื่องแฟชั่น การแต่งตัว รอยสัก รวมถึงการตัดผมด้วย คือพ่อผมก็เป็นช่างตัดผมมาก่อน ทั้งชีวิตเลย คือเติบโตเห็นคุณพ่อทำบาร์เบอร์ใส่สูทตัดผมที่สุขุมวิท พ่อไปรับที่โรงเรียนมารอที่ร้านตัดผมต่อ แล้วเราเห็นพ่อทำงาน เราก็ได้ซึมซับว่าถ้าเกิดเราไม่ได้ทำ YouTube ไม่ได้ทำงานแสดงแล้วเราจะทำอะไร ผมก็เลยเห็นช่องทางนี้เราก็ชอบอยู่แล้วด้วยเลยได้ศึกษาลงคอร์สเรียน เริ่มไปเรียนมา 3 – 4 ปีก่อนที่จะ Fedfe จะแยกทาง ระหว่างนั้นเราทำ YouTube ไปด้วย แล้วก็แบ่งเวลาว่างไปเรียน”

เจเด็ดเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่เขาเลือกให้อาชีพช่างตัดผม การเปิดร้านตัดผมคือเส้นทางใหม่ที่เขาเลือกเดิน ก่อนที่จะเล่าถึงการตัดสินใจที่บ้าระห่ำไม่แพ้สิ่งที่เขาเคยทำใน YouTube ที่ผ่านมา กับการเลือกเปิดร้านตัดผมด้วยฝีมือการตัดผมระดับเบสิก และประสบการณ์บริหารร้านที่เท่ากับศูนย์

“แรก ๆ เริ่มจากศูนย์เลย เพราะเปลี่ยนสายอาชีพมา ก็ไม่รู้เปิดร้านที่ดีเป็นยังไง เพราะผมก็ไม่เคยไปเป็นลูกมือที่ร้านด้วย เริ่มจากไม่มีประสบการณ์ เริ่มจากไม่มีอะไร ก่อนเปิดก็คุยกับแฟนว่าเราจะไปเป็นลูกจ้างร้านอื่นเก็บประสบการณ์การทำร้านก่อนดีไหม

แฟนบอกว่ารอจนเก่งแล้วยังไงก็ต้องออกมาเปิดเองอยู่ดี ทำไมไม่สู้ออกมาเปิดเองเลยแล้วเรียนรู้ความผิดพลาดด้วยตัวเองจากสิ่งที่เกิดขึ้น ทำเองเลย สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซนมา เผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง ลุยเองเลยดีกว่า ก็เลยเกิดเป็นร้านตัดผม JD HairDesign เริ่มต้นที่นี่เลย เปิดมาประมานปีกว่าสองเดือน”

 

ถนนเส้นนี้ไม่มีทางลัด

หลายคนอาจจะคิดว่า ด้วยชื่อเสียงของ ‘เจเด็ด Fedfe’ ที่มี คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ที่จะดึงให้แฟน ๆ ตามมาเป็นลูกค้าร้านตัดผมของเขา แต่สิ่งที่เขาบอกกับเรา มันคือคำตอบที่ทำให้เราเห็นถึงความจริงจังกับเส้นทางอาชีพช่างตัดผมของเขามากขึ้น

“เปิดร้านมา 3 เดือนแรก เรียกได้ว่านั่งตบยุง เพราะเปิดแบบไม่ได้โปรโมตอะไรมากมายขนาดนั้น โอเคผมมีคนตามเยอะ เรามีช่องทางโปรโมทของตัวเอง ก็คิดว่าจะพยายามไม่ใช้มัน เพราะมันเป็นเหมือนดาบสองคมถ้าเราโปรโมตมากเกินไป ในขณะที่เรายังไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้น

ต้องบอกว่าช่วงแรกที่เปิดร้านผมแค่ตัดผมได้ มีความรู้ขั้นเบสิก ยังไม่ใช่ช่างตัดผมที่ดี ช่างตัดผมที่เก่ง ถ้าอัดโปรโมทเยอะ ๆ ลูกค้าเข้ามาเจองานเราไม่ดี  เค้าตัดแค่รอบเดียว รอบสองไม่กลับมาแน่นอน การใช้ชื่อเสียงที่พอจะมีอยู่เพื่อโปรโมตร้าน มันอาจจะเป็นกระแสจริง แต่ถ้าเราไม่มีฝีมือมันก็ได้แค่แป๊บเดียว แล้วมันก็หายไปเลย มันฉาบฉวยไม่ยั่งยืน

ผมเลยอยากจะฝึกตัดเก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ก่อน  ในวันที่เราเก่งแล้ว เราตัดได้ดี เราทำสุดฝีมือทำให้ลูกค้าประทับใจที่สุดก่อนออกจากร้าน แล้วไปบอกต่อ ผมชอบแบบนั้นมากกว่า”

และในเมื่อผู้ชายคนนี้ไม่เลือกที่ใช้ทางลัด แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามากัดกร่อนบั่นทอนจิตใจ จนเขาบอกกับเราว่ามันหนักหนาจนถึงขั้นคิดจะเลิกทำร้านตัดผมแล้วด้วยซ้ำ

“ล้มลุกคลุกคลานกับการตัดผม กับการเปิดร้าน ถือเป็นอะไรที่สาหัสจริง ๆ เราแทบจะเริ่มใหม่จากศูนย์มันเป็นอะไรที่ฝ่าฟันมากช่วงนั้น ท้อแล้วท้ออีก คิดย้อนไปสมัยที่ทำ Fedfe แล้วใจหาย คิดถึงสมัยก่อนที่ออกไปทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินมาแล้ว 

คิดถึงกระทั่งว่าจะเลิกตัดผม ไปทำอย่างอื่นมั้ย เปิดร้านอาหารดีมั้ย จะขายข้าวมันไก่ดีมั้ย เพราะว่าแม่ผมขายข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ก็คิดจะเอาของแม่มาขยายสาขาดีมั้ย ทำร้านใหม่ติดห้องแอร์นั่งสบาย ๆ ดีกว่ามั้ย 

แต่สุดท้ายก็กลับมาคิดว่า ในเมื่อเราอยากทำตรงนี้ เรารักการตัดผม อยากเปิดร้านตัดผม ก็อยากไปให้มันถึงที่สุดแล้วก็ประสบความสำเร็จ ก็เลยต้องกัดฟันสู้กับมัน เลยเลือกที่จะไปต่อ จนผมได้มีโอกาสฝึกฝนเพิ่มเติมกับน้องคนนึง เค้าชื่อ ‘แบงค์ – อภิสิทธิ์ เชาวฉัตร’ เป็นช่างตัดผมอยู่ที่ Hive Salon ซึ่งผมติดตามงานเค้าอยู่ เป็นคนเก่งมาก อายุประมาณ 25 – 26 แต่มีประสบการณ์ตัดผมมาแล้วเป็น 10 ปี แล้วผมชอบที่เค้าเป็นคนหนุ่มมีฝีมือแต่ไม่ได้โอ้อวด และค่อนข้างเก็บตัวด้วยซ้ำ 

พอมีโอกาสได้เจอในงานเกี่ยวกับบาร์เบอร์ตัดผมชาย ก็เลยเข้าไปทำความรู้จักพูดคุยกันและสุดท้ายก็ได้แบงค์ที่มาสอนเทคนิคเพิ่มเติมให้ ทำให้การตัดผมของผมต่างไปจากเดิมมาก และมีลูกค้าประจำเพราะน้องคนนี้เลยต้องขอบคุณจริง ๆ”

 

เป้าหมายต่อไป

หลังจากกัดฟันสู้ อดทน เรียนรู้ ฝึกฝน จนเริ่มมีลูกค้าประจำ แต่ ‘เจเด็ด Fedfe’ บอกกับเราด้วยแววตามุ่งมั่น ว่านี่ยังไม่ใช่เป้าหมายปลายทางของอาชีพช่างตัดผมที่เขาตั้งเป้าเอาไว้ เพราะฝันของเขามันเพิ่งจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเดินทางเท่านั้น

“สำหรับผมตอนนี้มันแค่เป็นจุดที่เราผ่านวิกฤตในช่วงที่ไม่มีลูกค้า ช่วงที่เริ่มเรียนรู้ฝึกฝนฝ่าฟันความท้ออะไรต่าง ๆ มา แต่ร้านมันยังไม่ได้ประสบความสำเร็จ หรืออยู่ในจุดที่อยู่ตัวแล้วอะไรขนาดนั้น ทุกวันนี้ก็ยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาไปอีก ก็ดูในเรื่องของทำเลใหม่

ที่ตรงนี้อาจไม่ใช่ที่สุดท้ายของผม อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์การทำร้าน ฝึกฝนการตัดผม  ซึ่งผมอาจจะต้องหาทำเลใหม่ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่จะมาตัดกับเรา และที่สำคัญคือต้องมีที่จอดรถ หาที่จอดรถไม่ลำบาก เพราะต้องยอมรับว่าการไม่มีที่จอดรถมันทำให้เราเสียโอกาส เสียลูกค้าไปไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

และที่คิดไว้อีกอย่างคือไม่ได้จะเปิดร้านตัดผมอย่างเดียว แต่อยากจะมีเปิดคอร์สสอน และอยากจะเพิ่มบริการจากบาร์เบอร์ตัดผมชายอย่างเดียว เป็นซาลอนสำหรับผู้หญิงด้วย และที่ตั้งใจไว้คืออยากจะขยายสาขาหาทีมงาน ส่วนผมกับแฟนก็ทำหน้าที่บริหารจัดการกันไป

อาจจะมีทำโปรดักส์ของตัวเองขายด้วยเกี่ยวกับผมนี่แหละครับพวกแชมพูอะไรอย่างนี้ แล้วก็อยากทำ YouTube Channel ของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการตัดผมนี่แหละครับ ไหน ๆ เราก็เคยมีประสบการณ์ทำคอนเทนท์ อยู่แล้วก็ไม่อยากจะทิ้งมันไป นี่แหละครับที่ตั้งใจไว้เป็นปลายทางของชีวิต และคงอยู่กับการตัดผมไปตลอด”

 

ความสุข ณ ปัจจุบัน

แม้จะอยู่ระหว่างการเดินทางไปสู่จุดหมายใหม่ แต่ด้วยเป้าหมายอันชัดเจนซึ่งเกิดจากความรักความหลงใหลในสิ่งที่ทำ ส่งผลให้ทุกวันนี้ของ ‘เจเด็ด Fedfe’ คือความสุขที่แตกต่างจากสมัยเป็น YouTuber มากมายนัก ยืนยันได้จากสิ่งที่เขากำลังบอกให้เราฟังว่า

“ทุกวันนี้ผมมีความสุขมากนะ ตื่นเช้ามาอยากมาจับผมลูกค้าตัดผมลูกค้าทุกวัน ทุกวันนี้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ คือแต่ก่อนผมไม่ชอบเลยนะ เป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ การต้องตื่นมาเปิดร้านอยู่กับที่วนลูปแบบนี้ทุกวัน ผมไม่ใช่คนแบบนั้นเลยนะแต่ก่อน แต่อาจเป็นเพราะช่วงวัย ด้วยอายุ ด้วยภาระหน้าที่ กลายเป็นว่าทุกวันนี้ผมแฮปปี้กับการตื่นเช้า เดินทางมาที่ร้าน แล้วก็ตัดผมในทุก ๆ วัน มีความสุขกับตรงนี้มาก ๆ 

แม้จะบอกได้เลยว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่มีทางที่จะมีรายได้มากกว่าตอนทำ Fedfe  แน่นอน แต่เราอยู่ตรงนี้เราก็รู้จักเก็บหอมรอมริบ ใช้สอยอย่างประหยัด อะไรเซฟได้ก็เซฟ ผมทำบัญชีรายรับรายจ่ายด้วยนะ 

ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคย แต่ก่อนนี่คือฟุ่มเฟือยมาก เงินหมดไปกับของที่ไร้ประโยชน์เยอะมาก แต่ทุกวันนี้เรามีบทเรียนจากตรงนั้น กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตมาแล้ว ว่าหาได้เยอะแค่ไหนถ้าไม่รู้จักเก็บมันหมดแน่นอน แต่ปัจจุบันนี้แม้เรามีรายได้ไม่เยอะมากเท่าไหร่แต่เราก็ยังอยู่ได้มีความสุขดี ผมว่ามันขึ้นอยู่กับทัศนคติมากกว่าจะพาตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหน จะสุขกับอะไร”

และนี่คือเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของผู้ชายที่ชัดเจนในสิ่งที่หลงใหล และกล้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับสิ่งที่ทำ ซึ่งชื่อ ‘เจเด็ด Fedfe’ นั้นอาจเป็นบางมุมของตัวตนที่เราเคยรู้จัก แต่จากการที่ได้พูดคุยกันบอกเลยว่า ณ ตอนนี้ เขาคือ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ แห่งร้านตัดผม JD HairDesign แบบเต็มตัวเต็มจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

ผมเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะประสบความสำเร็จถ้าคุณพร้อมจะเจออุปสรรค

…ก่อนจาก เขายังได้ฝากไปถึงใครที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะออกวิ่งตามความฝัน ไขว่คว้าความสำเร็จจากสิ่งที่ตัวเองหลงใหล ด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ว่า “คงบอกได้แค่ว่าอย่ากลัวที่จะออกจาก Comfort Zone ครับ ถ้าชอบแล้วคิดอยากจะทำแล้วคุณอย่าไปกลัว ลองออกมาเจอกับปัญหา เริ่มต้นลงมือทำ เผชิญหน้ากับมัน หาวิธีแก้ไขกันไป สุดท้ายเมื่อผ่านมาได้พอมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าอุปสรรคปัญหาที่เคยกลัว แม่งคือเรื่องนิดเดียว ดังนั้นการเริ่มต้นสำคัญครับ แล้วก็อย่ากลัว ผมเชื่อว่าวันนึงมันจะประสบความสำเร็จถ้าคุณพร้อมจะเจออุปสรรค”

 

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line