คนที่เกิดในช่วงปี ’90s เหมือนผม และตอนเด็ก ๆ ที่บ้านไม่ได้มีฐานะดีจนสามารถซื้อรถเท่ ๆ ในยุคนั้นไหว น่าจะรู้สึกเสียดายโอกาสเพราะหลังพยายามทำงานเก็บเงินจนพอจะกลับไปไล่เก็บความฝันวัยเยาว์ได้ รถเจ๋ง ๆ เหล่านั้นกลับราคาขึ้นหนีไปไกลจนเกินเอื้อมอีกครั้ง ต่อให้รัก R34 แค่ไหน เจอราคาสิบล้านแบบปัจจุบันคงทำได้แต่มอง หรือจะไปเล่นรถรุ่นใหม่ที่ต่อยอดจากตำนานบทเก่าอย่าง NSX หรือ Supra ก็กลับรู้สึกว่าชอบตัวเก่ามากกว่า แต่ก็ยังพอมีความหวังจากลิสต์ Sports car เลือด JDM ที่ได้รับความนิยมมากในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่รอเท่าไหร่ก็ไร้วี่แววจะเปิดตัว generation ใหม่ออกมา ไปดูกันว่ามีรุ่นอะไรตรงใจให้พวกเราได้เฝ้ารอไปพร้อมกันบ้าง บอกเลยว่าแต่ละรุ่นที่คัดมา ถ้าเปิดตัวใหม่เมื่อไหร่ รับรองว่าเรียกเสียงฮือฮาและเสียงกดเงินจองกันได้กระหึ่มแน่นอน เหลือเพียงจตุรเทพจากยุค ’90s เพียงหนึ่งเดียวคันนี้เท่านั้นที่ยังไม่มีรุ่นใหม่ออกไปปะทะกับ NSX, GT-R, SUPRA ซึ่งอาจจะถือเป็นโชคดีก็ได้ เพราะอีก 3 รุ่นที่ว่าเปิดตัวใหม่มาขัดใจแฟน ๆ ทั่วโลก จนราคารุ่นเก่าพุ่งพรวดกันยกแผง ซึ่งใครจะบอกว่าก็เคยมี RX-8 ที่ออกมาแล้วไง แต่จริง ๆ เรามองว่ามันไม่ใช่สายเลือดที่สืบทอดกันได้โดยตรง นับตั้งแต่ ‘FB’
เกม เป็นอีกสื่อสะท้อนความคิดและวัฒนธรรมของผู้คนในยุคนั้น ๆ ได้ดี ตัวละครนึงที่เป็นจุดเปลี่ยนและกระบอกเสียงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้หญิงในยุค 90’s ที่อิทธิพลเพศชายถือไพ่เหนือกว่าก็คือ “Chun Li” นักสู้สาวสุดสวยจาก Street Fighter II: The World Warrior Chun Li ถือกำเนิดขึ้นในปี 1991 เป็น Playable Female Fighter ตัวละครหญิงตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นในยุคนี้ นักสู้สาวผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ของจีน และยังเป็นตำรวจสากลนอกเครื่องแบบ บนเวทีการต่อสู้แบบ 1-on-1 ที่มีแต่นักสู้ชายสุดแกร่ง นักมวยปล้ำร่างยักษ์ หรือแม้แต่นักโยคะพ่นไฟได้ ความนิยมของ Chun Li นั้นอยู่ในกลุ่มหัวแถวเท่ากับพระเอกอย่าง Ryu หรือ Ken ทำให้บทบาทของเธอได้ถูกส่งต่อไปยังภาพยนตร์ live-action เช่น Street Fighter: The Legend of Chun-Li (2009), Animation หรือแม้แต่ในเพลง Hip Hop
ย้อนไปในปี 1997 เมื่อ Mercedes-Benz ต้องการกลับมาสร้างชื่อเสียงในฐานะเจ้าแห่ง Motorsport หลังปรึกษากับ AMG ทั้งคู่ก็ตกลงที่จะร่วมกันพัฒนา Mercedes-Benz CLK GTR สุดยอดเครื่องจักรที่จะลงไล่ล่าแชมป์ในรายการ FIA GT Championship โดยมีคู่แข่งสุดโหดมากมายไม่ว่าจะเป็น Ferrari, Porsche หรือ McLaren แต่ก่อนจะส่งรถคันใหม่ลงแข่งในรายการ GT1 ได้ มีข้อบังคับข้อนึงระบุว่าจะเป็นต้องสร้าง CLK GTR Strassenversion (Road-legal version) ให้ครบ 25 คันก่อน และด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการสร้างชื่อมากกว่ายอดขาย Mercedes-Benz จึงเลือกเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเข้าไปอีกเล็กน้อยให้พอจดทะเบียนได้ เรียกว่าแทบจะไม่มี Road car รุ่นไหนที่ดิบห่ามแบบ Race car จากสนามแข่งได้เท่า CLK GTR ในยุคนั้น AMG ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบและพัฒนา Mercedes-Benz CLK GTR ใช้เวลานับตั้งแต่สเก็ตช์ภาพจนได้ออกมาเป็นรถแข่งทั้งคันเพียงแค่ 128 วันเท่านั้น ก่อนจะเปิดตัวรถแข่ง
การปลุกตำนานรถสปอร์ตระดับไอคอน 1959 Ferrari 250GT SWB ครั้งล่าสุด นี่คือ “RML Short Wheelbase” ผลงาน Restomod จากสำนัก Motorsport มากประสบการณ์ RML (Ray Mallock Limited) Group บนพื้นฐาน chassis ของ Ferrari 550 Maranello ที่ผ่านขั้นตอนการดัดแปลงตัดต่อตัวถังใหม่ คงไว้ซึ่งเครื่องยนต์ 5.5-liter V12 สุดสะเด่าเร้าใจให้กำลังถึง 478 แรงม้า ชื่อ RML Group อาจจะไม่ค่อยเป็นที่ผ่านหูกันมากนัก แต่นี่คือบริษัทสัญชาติอังกฤษที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีด้าน Motorsport และ Car Engineering ปกติมักจะอยู่เบื้องหลังผลงานดัดแปลงแต่งรถโหด ๆ อย่าง Nissan GT-R-powered Juke-R รวมถึงการสร้าง Aston Martin Vulcan เปลี่ยนจาก Track-only Supercar
Audi เปิดตัวน้องเล็กรหัสแรง RS3 ใหม่พร้อมกันทั้งตัวถัง Sedan และ Sportback ด้วยสมรรถนะสุดแจ่ม 400 horsepower แรงบิด 500 Nm of torque จากเครื่องยนต์ 2.5-liter 5-cylinder turbocharged ทำเวลา 0-100 km/h ใน 3.8 วินาที นับเป็นอีกหนึ่งรถไซส์กะทัดรัดที่ขับสนุกเร้าใจไม่แพ้ค่ายไหนแน่นอน ทุกรายละเอียดของ RS3 รุ่นล่าสุดนี้ได้อัพเกรดโดยเน้นความดุดันขับมันส์เป็นหัวใจหลัก เกียร์ 7-speed dual-clutch สับไวกว่าเก่าด้วยอัตราทดใหม่ที่สั้นให้อารมณ์สปอร์ตกว่าเดิม ช่วยให้ออกตัวจากจุดหยุดนิ่งได้อย่างรวดเร็ว เมื่อบวกกับระบบ Quattro ขับเคลื่อน 4 ล้อเข้าไป ยิ่งได้เปรียบกว่าใครเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว และพิเศษสุดด้วย “Drift Mode” ระบบช่วยควบคุม clutch และเพลาหลังเพื่อการกระจายแรงบิดไปที่ล้อหลังได้ตามต้องการ ช่วยให้การควบคุมที่ดีขึ้นแถมยังสั่งท้ายปัดได้ง่ายขึ้นกว่าขับ 4 ตลอดเวลาแบบปกติด้วย ช่วงล่างอัพเกรดเป็น RS Sport Suspension Plus ที่มี
ถูกยกให้เป็นหนึ่งใน Scooter ที่ดีไซน์โดนใจนักบิดมากที่สุดในโลก BMW Motorrad CE 04 Electric Scooter ออกแบบภายนอกด้วยคอนเซปต์แนวคิด futuristic styling พร้อมเทคโนโลยีขุมพลัง EV เป็น electric scooter ที่สร้างมาตอบโจทย์การใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ ลายละเอียดภายนอกที่ออกแบบลายเส้นให้บึกบึน แฝงไว้ด้วยรายละเอียดจากอนาคต ขุมพลัง EV จากมอเตอร์ไฟฟ้าสร้างกำลังได้ 42 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่ความจุ 8.9kWh ช่วยให้ขี่ได้ระยะทางมากถึง 128 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ความเจ๋งเทคโนโลยี EV นี้คือการคิดค้นและพัฒนาขึ้นเองโดย BMW Motorrad ที่ได้แชร์ know-how มาจาก BMW iX SUV ที่ล้ำหน้า จึงสามารถนำมาปรับใช้ใน Scooter คันนี้ได้อย่างรวดเร็วกว่าคู่แข่งในตลาด ใช้เวลาในการชาร์จไฟที่สั้นกว่า มีเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่มากมาย เช่น Automatic Stability Contorl ช่วยควบคุมการทรงตัว
“เท่สุด ๆ ไปเลย” คำอุทานจากทุกคนที่ได้เห็นหน้าตาและความสามารถของรถตู้เอนกประสงค์ไซส์มินิ แต่อัดแน่นด้วยฟังก์ชันรองรับทุกกิจกรรมลุย และเทคโนโลยีพร้อมพลังงานไฟฟ้าคันนี้ ชื่อของมันคือ XBUS รถตู้พลังไฟฟ้าสัญชาติ German เป็นรถที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้มากมาย แหล่งพลังงานแบตเตอรี่ 10kWh 75 แรงม้า แม้จะไม่มาก แต่ตัวเลขแรงบิดกลับเคลมไว้มากถึง 737lb-ft ซึ่งค่อนข้างแปลก แต่ถ้าจริงก็นับว่าแรงบิดระดับน้อง ๆ supercar เลยทีเดียว ส่วนตัวคิดว่าน่าจะหมายถึงแรงบิดตีต้นที่ราว 0-100 km/h ด้วยรูปทรงของรถที่ไม่น่าจะมี Top speed สูงมากนัก ตัวรถดีไซน์พื้นที่ด้านหลังแบบ Modular 3 ตอน ช่วยให้สามารถแบ่งส่วนพื้นที่และปรับแต่งการใช้งานได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่เปิดโล่งเป็น flat-bed pick-up สำหรับบรรทุกของ บรรทุก surfboard ไปทะเล จะปรับเป็นพื้นที่สำหรับโดยสารสไตล์ boxy vans ก็ยังได้ หรือจะปรับเป็นพื้นที่บรรทุกสัมภาระแบบรถ mini truck ก็ได้เช่นกัน ซึ่งสำหรับสายลุยป่าตั้งแคมป์ ก็ยังมีชุด off-road option
ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว สำหรับ Tokyo 2020 Olympics มหกรรมการแข่งขันกีฬาที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีปัญหาจากโควิด-19 คอยรบกวนการจัดงานอยู่บ้าง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนั้นไป ก็ยังมีความน่าสนใจเกี่ยวกับ Olympics ครั้งนี้อีกหลายอย่างที่ญี่ปุ่นทำได้ดี หนึ่งในนั้นก็คือโพเดียมรับเหรียญ ที่ผลิตแบบ 3D Prints จากขยะขวดพลาสติกจากบ้านเรือน 100% จุดประสงค์ของทีมผู้จัดงานของญี่ปุ่นคือต้องการให้ประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เราได้เห็นการผลิตเหรียญรางวัลจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่บริจาคโดยประชาชนมาแล้ว เช่นเดียวกับโพเดียมรับเหรียญรางวัลในโทนสีฟ้าเข้มนี้ ที่สร้างขึ้นจากขยะขวดพลาสติกจำนวน 400,000 ขวด ที่ชาวญี่ปุ่นนำไปทิ้งในกล่องสะสมขยะพลาสติก 2,000 จุดตามห้างสรรพสินค้าและโรงเรียนในระยะเวลา 9 เดือน “เราต้องการแสดงให้โลกได้เห็นถึงความ sustainability ในสังคมญี่ปุ่น และต้องการให้ชาวญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมกับ Olympics ที่ทุกคนเป็นเจ้าภาพด้วยกัน” ลวดลายบนโพเดียมได้แรงบันดาลใจมาจากโลโก้ Olympics เกิดจากลูกบาศก์สี่เหลี่ยมหลาย ๆ ชิ้นประกอบเข้าด้วยกันโดยเทคโนโลยี 3D Prints จนเป็นแท่นยืนขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าโพเดียมปกติเนื่องจากสถานการณ์สังคมปัจจุบันที่ต้อง Social Distance และยังสามารถปรับระดับให้ลาดลงสำหรับนักกีฬา Paralympics หลัง Olympics จบลงได้อีกด้วย การปรับโลโก้ 2D ให้กลายเป็น 3D ทำให้โพเดียมมีมิติและมีระดับสีฟ้าเข้มที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแสงที่แตกต่างกัน
Sportster® S เป็นรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อมอบประสบการณ์แห่งการขับขี่อันดุดัน ก้าวแรกของยุคใหม่แห่งรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลสปอร์ตสเตอร์ ด้วยเครื่องยนต์ V-Twin สองลูกสูบ Revolution® Max 1250T พร้อมกำลัง 121 แรงม้า เพื่อตอบโจทย์ให้ผู้ขับขี่สามารถเดินทางสู่อิสรภาพได้อย่างเต็มกำลัง รถมอเตอร์ไซค์รุ่น Sportster® S มีสไตล์ที่ดุดันและทรงพลัง ถังน้ำมันและส่วนท้ายรถถูกประกบเข้ากับเครื่องยนต์ เพื่อให้แก่นกลางของตัวรถมีความน่าดึงดูด ยางหน้าขนาดใหญ่แบบไร้บังโคลนให้ความรู้สึกเหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์สไตล์บ็อบเบอร์สุดคลาสสิก ในขณะเดียวกัน ณ ส่วนท้ายของรถ ท่อไอเสียที่มีการยกสูงและที่นั่งเดี่ยวแบบบาง ได้แรงบันดาลใจมาจากรถมอเตอร์ไซค์แข่งรุ่น XR750 ของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ตะเกียบหน้าแบบหัวกลับและยางขนาดใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่านี่คือรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตสมรรถนะสูง ระบบส่งกำลังที่โดดเด่นด้วยพื้นผิวแบบ Chocolate Satin บนฝาครอบเครื่องยนต์แมกนีเซียมน้ำหนักเบา ซึ่งทั้ง สี สัมผัส พื้นผิว และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีเพื่อทำให้รถมอเตอร์ไซค์รุ่น Sportster® S มีลักษณะของรถดัดแปลงที่สามารถอวดโฉมได้แม้จะจอดไว้เฉย ๆ ในโรงจอดรถ เครื่องยนต์ Revolution Max 1250T ขนาด 1,250 ซีซี คือหัวใจของรถรุ่น
Lamborghini Miura supercar แม่พิมพ์ที่สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ รวมถึงจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์กระทิงดุ เป็นรถหายากที่ควรค่าแก่การสะสมอย่างไม่ต้องสงสัย ในตระกูล Miura เองก็มีหลายรุ่นที่พิเศษแยกย่อยออกไป ซึ่งเราเคยนำเสนอไว้แล้วในบทความนี้ “LAMBORGHINI MIURA กระทิงนักสู้ตัวสำคัญที่ยังรันวงการ SUPERCAR” แต่รุ่นที่หายากที่สุดของ Miura ทั้ง 700 คันที่ถูกผลิตออกมา พึ่งจะถูกนำออกมาเปิดประมูลให้นักสะสมขนหัวลุกกัน นั่นคือ Lamborghini Miura SVJ “The Corsican” supercar edition พิเศษที่มีเพียง 3 คันในโลก Miura SVJ ถือกำเนิดขึ้นในปี 1970 เมื่อ Bob Wallace หัวหน้าฝ่ายทดสอบรถของ Lamborghini รู้สึกว่า Miura เวอร์ชั่นปกติยังมีศักยภาพอีกหลายจุดที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้หากต้องการเป็นผู้ชนะในสนามแข่ง จึงลงมืออัพเกรด Miura ลดน้ำหนักตัวลงด้วยบอดี้ผลิตจาก aluminum-alloy อัพเกรดช่วงล่างสำหรับสนามแข่งและพัฒนา aerodynamic ด้วย aero kit ที่มีช่องดักลมแตกต่างจากรุ่นปกติ ปิดท้ายด้วยการจูนเครื่องยนต์ V12