เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารถยนต์คลาสสิคสามารถสร้างมูลค่าขายต่อได้อย่างมหาศาล ด้วยจำนวนที่มีเหลือน้อยในโลกใบนี้ ทำให้ผู้ที่สนใจต้องกัดฟันสู้ราคา เพราะของหายากแบบนี้ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อหาได้ ต้องขอบคุณสำหรับเวลา 51 ปีในคอลเลกชันสะสมส่วนตัว ที่ทำให้ BMW 1600 GT Convertible คันเดียวในโลกคันนี้ กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนจะถูกทางผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรียเรียกกลับมาทำการฟื้นฟู (Restoration) ให้ตัวรถที่มีอายุกว่าครึ่งศตวรรษกลับมาอยู่ในสภาพเหมือนพึ่งออกจากโรงงานอีกครั้ง BMW 1600 GT หรืออีกชื่อ Glas GT ซึ่งพวกเราคงจะรู้จักกันในฐานะรถยนต์ Coupe แบบ 4 ที่นั่ง ได้รับความนิยมจากคอรถคลาสสิกไปทั่วโลก ความสำเร็จดังกล่าวทำให้ทาง BMW ต้องการพัฒนาโมเดลของตัวรถให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อตีตลาดลูกค้าในสหรัฐอเมริกาด้วยรูปแบบ Convertible โดยรถต้นแบบถูกผลิตออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1967 กับฝีมือการออกแบบของดีไซน์เนอร์ชาวอิตาเลียน Pietor Frua เป็นโมเดลที่ BMW หมายมั่นปั้นมือว่าจะส่งให้มันกลาย Roadster ที่ได้รับความนิยมที่สุดในยุคนั้น แต่ทว่าเรื่องราวต่อจากนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ระหว่างการพัฒนา รวมไปถึงอุบัติเหตุระหว่างการทดลองขับที่ทำให้ Prototype No.1 ได้รับความเสียหายจนเป้าหมายต้องถูกหยุดเอาไว้ก่อน แต่ก่อนโครงการจะถูกพับเก็บ รถต้นแบบสภาพสมบูรณ์คันสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกประมูลไปเป็นของ Herbert Quandt ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ
การสะสมกับผู้ชายก็เป็นเหมือนของคู่กัน เราทุกคนต่างเคยมีช่วงเวลาแห่งความหลงใหลในเรื่องราวหรือสิ่งของบางอย่างและเมื่อเวลาผ่านไปความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ก็กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากครอบครอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ใครหลายคนสะสมสิ่งของต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความชอบของตัวเองเอาไว้มากมาย เช่นเดียวกันกับคุณเพชรจ้า-วิเชียร กุศลมโนมัย ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนรู้จักเขาดีในฐานะดีเจและพิธีกรมากฝีมือ แต่ขณะเดียวกันหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ผู้ชายคนนี้ยังมีชีวิตในอีกมุมที่ตัวเขาให้ความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการสะสมสิ่งของต่าง ๆ ตั้งแต่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนถึงชิ้นใหญ่จนต้องสร้างที่เก็บสำหรับของสะสมแต่ละไอเทมโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นคอลเล็กเตอร์แถวหน้าตัวจริงอีกคนในประเทศไทยก็ว่าได้ ด้วยไลฟ์สไตล์ในฝันกับการถูกห้อมล้อมด้วยเสื้อผ้า, รองเท้าและซุปเปอร์คาร์คันงาม แต่จะมีสักกี่คนเข้าใจถึงเหตุผลที่ชายคนนี้เลือกสะสมของต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในคอลเลกชัน ซึ่งวันนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ตัวเขาให้เกียรติเปิดบ้านหลังใหม่ เพื่อเล่าถึงจุดเริ่มต้นการสะสมของทั้งหมด ให้เราได้รู้ ได้เห็นเกี่ยวกับแรร์ไอเทมทุกชิ้นที่เก็บซ่อนเอาไว้ จุดเริ่มต้นการสะสม หลังออกมาต้อนรับอย่างอารมณ์ดีพร้อมถ้วยกาแฟในมือ ก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนชุดให้พร้อมต่อการพูดคุย ทำให้เรามีเวลาได้สำรวจส่วนต่าง ๆ ภายในบ้าน ซึ่งมักจะมีมุมหรือห้องพิเศษไว้สำหรับของสะสมต่าง ๆ ซึ่งบอกได้เลยว่าเยอะโคตร ไล่มาตั้งแต่ทางเข้ากับคอลเลกชันรถคันพิเศษในการาจสุดเอ็กซ์คลูซีพ หรือโซนตู้เก็บรองเท้าซึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยคู่และเมื่อทุกอย่างพร้อม การเปิดกรุของสะสมของเขาก็เริ่มขึ้น คุณเพชรจ้าเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นการสะสมของชิ้นแรกในชีวิตซึ่งฟังดูไม่น่าเชื่อ เพราะมันคือสมุดสะสมแสตมป์เล่มหนา 4 เล่มที่ตัวเขาหยิบมาให้ดู พร้อมกับโน้ตที่มีลายมือของเด็กเขียนกำกับเวลาเริ่มสะสมเอาไว้เป็นวันที่ 4 เมษายน ปี 2534 หรือ 27 ปีที่แล้ว โดยเด็กชายเพชรจ้าเริ่มสะสมแสตมป์ครั้งแรกเพราะได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อของเพื่อนที่มีความรู้เกี่ยวกับการสะสมแสตมป์ บวกกับความที่ยังเด็กเมื่อได้รู้ว่าการสะสมทำให้ของที่เคยซื้อมาในราคา 1 บาท ต่อมาอาจขายได้ในราคา 20
ถ้าพูดถึง BMW 3-Series E36 เชื่อว่าผู้ชายหลายคนโดยเฉพาะรุ่นใหญ่วัยสามสิบบวกคงจะคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปตอนสมัยหนุ่ม ๆ รถยนต์ในซีรีส์ดังกล่าวเป็นเหมือนกับพาหนะในฝันที่หากใครได้มาครอบครอง ก็จะกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนไปโดยปริยาย เรียกว่าเป็นรถที่ทำให้หลายคนเริ่มเก็บเงินกันอย่างจริงจังเพื่อจะได้ครอบครองเจ้านกแก้วคันนี้ ไม่ต้องแปลกใจหากจะเห็นรถ 3-Series ในรหัสเครื่อง E36 โลดแล่นอยู่บนท้องถนนของบ้านเราจนชินตา รวมถึงบางรุ่นที่ยิ่งกาลเวลาผ่านไป ยิ่งกลายเป็น Collectible Cars เป็นของสะสมที่มีคุณค่าทั้งทางจิตใจและมูลค่าราคาที่แข็งขึ้น ๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ในสายการผลิตดังกล่าวของ BMW ได้รับความนิยมจากหนุ่ม ๆ ทั่วโลก วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ BMW 3 Series E36 สุดเก๋าคันนี้ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม THE BEGINNING OF 3 BMW 3-Series E36 คือรถยนต์นั่งประเภท Compact Executive Car ที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นเจเนอเรชันที่ 3 ของค่าย BMW คือระหว่างช่วงปี 1991-1999 เปิดตัวครั้งแรกในยุโรปช่วงปี 1990 และต่อด้วยในสหรัฐอเมริกาในปีถัดมา โดยรถรุ่นแรกของสายการผลิตคือรถสไตล์ Saloon 4 ประตู ก่อนจะต่อยอดและขยายโมเดลอื่นตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
ถ้าพูดถึงมิวสิควิดีโอเพลงของเพลง Hip-Hop หนุ่ม ๆ หลายคนอาจคุ้นชินกับภาพของการอวดรวยแบบ New School ซึ่งกำลังได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่รายล้อมด้วยสาว ๆ รถหรูที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้สัมผัส รวมไปถึงธนบัตรกองโตที่ถูกโยนไปมาราวกับเป็นของหาง่าย ซึ่งคงไม่ได้อะไรนอกจากความเพลิดเพลิน แต่ขณะเดียวกันกลับมี MV เจ๋ง ๆ ของแร็ปเปอร์ชาวอังกฤษที่ช่วยให้หนึ่งครอบครัว สามารถกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาได้ด้วยเช่นกัน มิวสิกวีดีโอเพลง Run ของศิลปิน Bugzy Malone กลายมาเป็นความภาคภูมิในของแร็ปเปอร์หนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว หลังจากเพลงของเขาถูกอัปโหลดขึ้น Youtube ในวันที่ 6 สิงหาคม 2018 ในตอนนั้นแร็ปเปอร์วัย 27 ปี หวังแค่ว่าบทเพลงของเขาซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการเติบโตอันยากลำบากของเด็กหนุ่ม จะสามารถเป็นพลังให้กับคนฟังได้ไม่มากก็น้อย แต่ผลของมันกลับเป็นได้มากกว่าที่คาดหวังเอาไว้ เพราะในเวลาต่อมาค่ายเพลงได้รับการติดต่อจากผู้หญิงคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ของชายไร้บ้านที่อยู่ในมิวสิกวิดีโอดังกล่าว สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ MV ของ Bugzy Malone ถูกถ่ายทำขึ้นจริงโดยอาศัยการเก็บฟุตเทจรอบเมืองแมนเชสเตอร์ในประเทศอังกฤษ ส่วนตัวนักแสดงก็ไม่ใช่ใครนอกจากเด็กและคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ซึ่งพวกเขาว่าจ้างให้บุคคลเหล่านี้มาเข้ากล้องแทนนักแสดง ก่อนจะมอบสิ่งของหรือเงินเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบแทน นอกจากนี้พวกเขายังมีโอกาสได้พูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตอันยากลำบากจากคนเหล่านั้นอีกด้วย โดย Bugzy Malone บอกว่าจะใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงในอนาคตของตัวเขาเองด้วย View this post on Instagram Today
หนุ่ม ๆ ทุกคนต่างมีรถในฝันของตัวเองและแต่ละคนล้วนมีรูปแบบหรือสไตล์แตกต่างกันออกไป บางคนหลงใหลความดุดันของ American Muscle Car หรือบางท่านก็ชอบรูปแบบความเร็วร่วมสมัยอย่าง Supercar แต่จะเจ๋งแค่ไหนถ้าทั้งสองสิ่งถูกนำมาผสมอยู่ในรถคันเดียวเหมือนใน TRACTORRI Project Car สุดแปลกแต่ต้นทุนสูงจนเราต้องหยิบแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักคันนี้ การรวมร่างกันของม้าป่าสัญชาติอเมริกันเข้ากับกระทิงเปลี่ยวจากแดนมักกะโรนีคันนี้ ถือกำเนิดขึ้นโดยชายที่ชื่อว่า John Haugh ผู้มีความคิดว่าอยากจะรวม Iconic Car แห่งยุคสมัยทั้งสองเข้าด้วยกัน คันแรกคือ Ford Mustang ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายถึงสรรพคุณความเป็น Iconic ฝั่งอเมริกันให้มากความ เพราะมันยังคงเป็นรถในฝันของใครหลายคนในทุกยุคสมัย อีกคันเป็นซุปเปอร์คาร์สายพันธุ์โหดที่มียอดขายมากกว่า 14,000 คันทั่วโลกกับ Lamborghini Gallardo ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Huracan ในเวลาต่อมา TRACTORRI ชื่อที่ถูกใช้เรียกรถ Tractor ของ Lamborghini ในอดีต เปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกในงาน SEMA 2009 พร้อมความภูมิใจจากการผสมผสานอันลงตัว ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างใส่ใจรายละเอียดตลอดทั้งคัน เริ่มจากดีไซน์ภายนอกที่มากับรูปลักษณ์อันปราดเปรียวของ Ford Mustang 2007 พร้อมชุดไฟหน้าเดิมและไฟเลี้ยวหยิบยืมของ Porche 911 Turbo มาใช้งาน
แม้เราจะรัก Adam Levine มากแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีศิลปินอยากมาแจมกับวงดนตรีชื่อดังจากอย่าง Maroon 5 ที่มีคิวขึ้นแสดงสดในช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ครั้งที่ 53 ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีหน้า แต่ต้นเหตุไม่ได้มาจากเหตุผลว่าศิลปินทั้งหลายไม่ชอบพวกเขา แต่เป็นเพราะความตึงเครียดในสถานการณ์ของ NFL กรณีของ Colin Kapernick ต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้น ดูเหมือนงานถ่ายทอดสดซึ่งมีผู้ชมมากที่สุดในโลกจะไม่ได้เป็นที่ต้องการของเหล่านักร้องดังทั้งหลายในเมืองลุงแซมเสียแล้ว หลังจาก US Weekly ได้เปิดเผยว่าวงดนตรีซึ่งเป็น Line-Up หลักของงานอย่าง Maroon 5 กำลังประสบปัญหาในการหานักร้องมาร่วมแสดงในช่วงพักครึ่งของการแข่งขันชิงถ้วย Vince Lombardi หรือที่รู้จักกันในชื่อ Super Bowl โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของปีหน้าซึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ว่ากันว่าเหตุผลที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะ “ไม่มีใครอยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับ NFL” เพราะจุดยืนทางการเมืองของพวกเขาในกรณีผู้เล่นของทีม San Francisco 49ers ที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ Colin Karpernick ที่เลือกจะคุกเข่าในการเคารพเพลงชาติสหรัฐอเมริกาเพื่อประท้วงการใช้ความรุนแรงต่อคนผิวสี โดยเขาแสดงเหตุผลของตัวเองว่า “ผมจะไม่ยืนขึ้นเพื่อแสดงความภูมิใจต่อธงชาติและเพลงชาติของประเทศที่กดขี่คนผิวดำหรือเชื้อชาติอื่น ๆ” ซึ่งภายหลังก็มีกระแสทั้งด้านลบและด้านบวก รวมไปถึงการเข้ามาเกี่ยวข้องของประธานาธิบดี Trump ก็มีส่วนทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้น จนสุดท้ายเขาก็ถูกเลิกจ้างจากทีมและสปอนเซอร์ต่าง ๆ เหลือเพียงแค่ Nike
หลังจากเริ่มธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาเป็นของตัวเองมาได้สักระยะ ดูเหมือนว่าอดีตแชมป์โลกในรุ่น Heavyweight อย่าง Mike Tyson จะโฆษณาธุรกิจเก่งขึ้นเป็นกอง หลังจากเขาออกมายอมรับว่าเคยสูบกัญชาก่อนขึ้นฟาดกับคู่ต่อสู้ แถมผลการแข่งขันในแมทช์ดังกล่าวก็เป็นเหมือนการเชือดหมูสำหรับเขาอีกด้วย นักชกเจ้าของฉายา “มฤตยูดำ” ถูกรู้จักดีในฐานะหนึ่งในนักมวยที่ดีและโหดที่สุดของรุ่น Heavyweight วงการมวยโลก โดยเขาเป็นที่รู้จักครั้งแรกหลังเอาชนะ Trevor Berbick แบบ TKO ในยกที่สองของการแข่งขัน ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขากลายเป็นชายอายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์โลกของ World Boxing Council (WBC) ด้วยวัยเพียง 20 ปีกับอีก 4 เดือน โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่เขาโลดแล่นอยู่บนสังเวียนก็มีครบทุกรสชาติทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดของชีวิต แม้จะเคยกัดหูคู่ต่อสู้ขาดเหมือนหมาบ้า แต่ผู้คนยังคงจดจำภาพความเป็นสุดยอดนักชกผู้รีไทร์ไปพร้อมสถิติการชก 58 ครั้ง ชนะ 50 โดยเป็นการชนะน็อกถึง 44 ครั้ง แพ้ 6 และ No Contest 2 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสบการณ์การชกแบบ Get High นั่นเอง ไมค์เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวผ่านการสัมภาษณ์ของรายการ The Dan Patrick
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับกัญชามาตลอดปีที่ผ่านมา คงจะสังเกตเห็นว่าหลายประเทศทั่วโลกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองและแนวคิดต่อกัญชาในทางบวกมากขึ้น ทั้งในด้านการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการใช้เพื่อสันทนาการ ทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กัญชากลายเป็นพืชที่มีอิทธิพลในตัวเองทั้งด้านประโยชน์ทางการแพทย์รวมถึงเม็ดเงินมหาศาล ซึ่งแรงสั่นสะเทือนในครั้งนี้ก็ส่งผลกระทบมาถึงในบ้านเราด้วยเช่นกัน ปลุกกระแสเสรี มีข้อมูลโดย dr. John Collins จาก London Scholl of Economics พูดถึงภาพการเปลี่ยนแปลงโดยรวมต่อกัญชาทั่วโลกผ่าน BBC อย่างน่าสนใจว่า จุดเริ่มต้นของทัศนคติที่ดีขึ้นต่อสมุนไพรชนิดนี้ มีจุดเริ่มจากช่วงปี 2012 หลังจากอุรุกวัยกลายเป็นประเทศแรกในโลก ที่ออกมาจัดการให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในการใช้งานทุกรูปแบบ โดยเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการกวาดล้างและแทนที่ผู้ค้ากัญชาผิดกฎหมาย เพื่อถ่ายโอนเม็ดเงินทั้งหมดให้รัฐและเอกชนบางส่วนดูแลแทน เพราะไหน ๆ คนก็เสพกันอยู่แล้ว สู้เอาขึ้นมาบนดินให้รายได้เข้ารัฐน่าจะดีกว่า ต่อมาในปีเดียวกันรัฐวอชิงตัน ดีซี และโคโลราโดก็มีมติโหวตผ่านให้สามารถใช้กัญชาในทางสันทนาการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยการกระทำในครั้งนั้นสามารถก็สร้างความหวังให้กับหนุ่ม ๆ สายเขียวทั่วโลกที่หลงใหลอาการ High ให้มีความหวังว่าสักวันหนึ่งประเทศของพวกเขาจะเปิดเสรีกัญชาเหมือนที่รัฐทั้งสองทำได้ ซึ่งแน่นอนว่าในทางปฏิบัติต้องใช้เวลารวมถึงผ่านการวิจัยรวบรวมข้อมูล และออกแบบขั้นตอนทางกฎหมายต่าง ๆ เพราะมันยังคงเป็นเรื่องเปราะบางในหลายประเทศ แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อว่าเสรีสุด ๆ แต่รัฐบาลของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็ยังถูกวิจารณ์ว่ายอมอ่อนข้อให้กับสงครามยาเสพติดที่ทำต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี แม้แต่ในสมัยของประธานาธิบดี Donald Trump ประชาชนในรัฐอย่าง แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนา,
เรียกว่าเป็นช่วงเทศกาลแห่งการเปิดตัวรถยนต์แนว Roadster ของค่ายรถต่าง ๆ ก็ว่าได้สำหรับช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งล่าสุดสำหรับ McLaren Automotive ก็ได้เปิดตัวเจ้าแห่งความเร็วคันใหม่ของ Super Series ออกมาแบบเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หัวจรดท้ายอย่าง All-New 720S Spider เรียกว่าได้รับการพัฒนาข้ามขั้นจากรถต้นแบบคันแรกของ Super Series อย่าง McLaren 650S มาไกลทีเดียวสำหรับโมเดลใหม่ของ 720S Spider มาพร้อมจุดเด่นตามสไตล์ Roadster ด้วยหลังคาเปิดประทุนแบบ Hard Top ซึ่งถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ โดยจะพับเก็บลงไปในแผงคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเดียวด้านหลังตัวรถ ซึ่งเป็นระบบหลังคาที่ทาง McLaren เคลมว่ามันคือ “ระบบเปิดประทุนซึ่งทำงานได้เร็วที่สุดในโลกของซุปเปอร์คาร์” โดยใช้เวลาในการเปิด-ปิดเพียง 11วินาทีในความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสำหรับหนุ่มที่ต้องการเพิ่มประสบการณ์พิเศษ ก็สามารถสั่งติดกระจกแบบ ElectroChromic แทนที่หลังคาแบบทึบได้อีกด้วย แต่นอกจากหลังคาสุดไฮเทคแล้ว 720s Spider ยังมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่โคตรดุดัน เริ่มจากชุดไฟหน้าใหม่และส่วน A-pillar ที่ปรับเปลี่ยนให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมโครงสร้างผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งเบาและแข็งแรงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์บางชิ้นจากรุ่น 650S Spider เป็นวัสดุที่น้ำหนักเบามากขึ้นทำให้รถเบากว่ารุ่นก่อนได้ถึง 6.8
ผู้ชายอย่างเราคงไม่มีใครไม่รู้จักรองเท้าโมเดลในตำนานอย่าง Stan Smith เพราะตลอดเวลากว่า 5 ทศวรรษที่ผ่านมา มันคือหนึ่งในรองเท้าที่มียอดขายดีที่สุดของค่ายสามขีด ทั้งยังคงความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน ที่แม้ตลาดรองเท้าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยล้าสมัยในสายตาของเหล่า Sneakerhead เลย ความสำเร็จทั้งหมดทำให้ Adidas ตัดสินใจตอบแทนชายผู้เป็นแรงบันดาลใจให้รองเท้าคู่นี้ นั่นคือ Stanley Roger Smith เจ้าของใบหน้าบนลิ้นรองเท้าที่คุ้นเคยกันดี ด้วยสัญญาตลอดชีวิตที่เป็นเหมือนการการันตีว่าเราจะได้เห็นรองเท้าคู่นี้ต่อไปอีกนานอย่างแน่นอน ถ้าถามถึงจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ Adidas และ Stan Smith คงต้องย้อนกลับไปในปี 1965 เมื่อ Adidas ตัดสินใจเปิดตลาดรองเท้าเทนนิสขึ้นมา โดยรองเท้าคู่แรกได้ใช้ Robert Haillet มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ก่อนเขาจะประกาศวางมือไป ช่องว่างตรงนั้นเองทำให้พวกเขามองหาตัวตายตัวแทนนักเทนนิสชื่อดัง ซึ่งหวยก็มาตกที่ Mr. Stan Smith ซึ่งกำลังอยู่ในยุครุ่งเรืองของอาชีพ ณ ขณะนั้น โดยเจ้าของแชมป์ Grand Slam 2 สมัยคงยังไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังจะกลายมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของรองเท้าระดับ Iconic ซึ่งต่อมามีอิทธิพลต่อทั้งวงการแฟชั่นรวมถึงกลายเป็น Pop-Culture ทั่วโลกในเวลาต่อมา ด้วยดีไซน์การออกแบบของ Classic Stan Smith อันเรียบง่ายแต่มีจุดเด่นที่ส่วน