เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เดอะคิทเช่นเทเบิ้ล (The Kitchen Table) ที่โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพ (W Bangkok) ยังคงเดินหน้าจัดบรั้นช์วันเสาร์สุดฮิต ‘ดับเบิ้ลยู ดาส บรั้นช์ (W Does Brunch)’ และที่พิเศษกว่านั้นในปีนี้จะจัดถึง 2 ครั้งต่อเดือน ในทุกวันเสาร์แรกและวันเสาร์ที่สามของเดือน ยังคงจัดเต็มไปด้วยเมนูอาหารชั้นเลิศและเครื่องดื่มนานาชนิดจากมิกส์โซโลจิสต์ พร้อมดนตรีบีทส์มันส์ๆจากดีเจ และผสมผสานแฟชั่นเข้ากับอาหารด้วยการนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบที่ไม่มีใครเหมือน จากการร่วมมือกับดีไซเนอร์มากฝีมือ พร้อมสนุกสนานไปกับเวิร์คช็อป และการตกแต่งที่ซ่อนลูกเล่นจากดีไซเนอร์ที่ผลัดเปลี่ยนกันไปทุกๆสามเดือน นอกจากนั้นดีไซเนอร์และเชฟของเราได้ออกแบบเมนูพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจากคอลเล็คชั่นของดีไซเนอร์นั้นๆ ‘W Does Brunch’ สำหรับเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน เตรียมพบกับ ‘Julie Baker & Summer (จูลี่ เบเคอร์ แอนด์ ซัมเมอร์)’ แบรนด์ที่นำเสนองานศิลปะเต็มไปด้วยสีสัน และความสนุกสนาน โดยคุณป่าน – ชนารดี ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวาดภาพประกอบมากฝีมือ ที่โดดเด่นด้วยภาพวาดจากลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ และสีสันสดใส ในสไตล์งานศิลปะแบบไร้เดียงสา หรือ นาอีฟอาร์ท
PHRAYA (พระยา) Gold Rum (โกลด์ รัม) ซุปเปอร์พรีเมี่ยมรัมของไทยซึ่งมีความเชื่อเรื่องความพิถีพิถันในการนำเสนอประสบการณ์อันทรงคุณค่า โดยมีแรงบันดาลใจจากความอุดมสมบูรณ์ของธาตุทั้งสี่บนผืนแผ่นดินไทย ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม จัดงานเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อเปิดตัว PHRAYA อย่างเป็นทางการ โดยตั้งใจสื่อสารถึงจุดยืนของ PHRAYA ในเรื่องของความพิถีพิถันในการมอบประสบการณ์อันทรงคุณค่า หรือ Craft of Refinement ในงานเปิดตัว Gold Rum สุดพิเศษครั้งนี้ ได้ทำการจับมือกับ “Mixologist” ชื่อดังของไทย และบาร์วัฒนธรรมไทยชั้นนำ นำเสนอเครื่องดื่ม 4 สูตรพิเศษที่ใช้ PHRAYA เป็นส่วนผสมหลัก ภายใต้ธีม “สี่พระยา” ซึ่งเป็นที่มาของเมนูเครื่องดื่มซุปเปอร์พรีเมี่ยมของไทย ได้แก่ พระยาบรรพต (ดิน), เจ้าพระยา (น้ำ), พระยาอัคคี (ไฟ) และ พระยาวายุ (ลม) ซึ่งได้รับเกียรติจากบุคคลชั้นนำที่มีไลฟ์สไตล์สะท้อนความเป็นไทย อาทิ คุณน้อย วงพรู –
การหาข้อมูลใหม่ ๆ หาสิ่งสำคัญยิ่งใหญ่ที่เรายังไม่เคยรู้จัก ไม่มีช่องทางไหนจะดีไปกว่าการสื่อสารแชร์ไอเดียกันผ่านกลุ่มคนที่มีรสนิยมและความชอบคล้ายกัน แต่ถึงความชอบจะแตกต่างกัน มันก็ยังเป็นการแชร์ข้อมูลที่ดีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของเพลง ในโลกนี้มีจำนวนเพลงดี ๆ อยู่มากมายเป็นล้าน ๆ เพลง เพลงที่เรารู้จัก อาจจะเป็นเพียงส่วนน้อยของที่คนอื่นรู้จักก็ได้ น่าเสียดายที่แต่ละคนอาจจะเข้าไม่ถึงเพลงดี ๆ อาจจะด้วยไม่รู้จักชื่อศิลปิน ไม่รู้จักชื่อเพลง หรือเหตุผลอะไรก็ตาม เพื่อทำลายข้อจำกัดนั้น เราจึงเกิดไอเดียว่า อยากให้ชาว UNLOCKMEN ช่วยกันแชร์เพลงที่แต่ละคนชอบฟัง คนละเพลงสองเพลง จากจำนวนเกิน 500,000 Followers ในสังคมแห่งนี้ เราก็จะมีเพลงดี ๆ ไว้ฟังกันเพื่อร่วมหนึ่งล้านเพลง และเพื่อเป็นการนำร่อง เราจึงได้รวมเอาเพลงที่ชาว UNLOCKMEN เพิ่งจะแชร์กันเมื่อคืนมารวมไว้ใน content นี้เป็นน้ำจิ้ม จะเรียกว่าเป็น Volume 1 ก็ไม่ผิด ใครที่เห็นว่า เฮ้ย ไอเดียนี้ดีว่ะ ถือว่า Win-Win ก็ช่วยกันแชร์มาได้เรื่อย ๆ ไม่ต้องเกรงใจ ลองคิดว่าเรามีเพลงดี ๆ ใหม่ ๆ ให้ฟังกันเป็นล้านเพลง
ไม่ว่า Porsche จะมีรุ่นยิบย่อยออกมามากมาย จนหลายคนแยกความแตกต่างไม่ออก ถึงขั้นที่เราต้องทำ article สรุปความแตกต่างของ Porsche 911 มาแล้ว แต่ทุกรุ่นที่ Porsche ทำออกมาล้วนมีจุดเด่นที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป แม้ปัจจุบันวงการรถยนต์สมรรถนะสูงจะแข่งกันพัฒนา เพิ่มความแรง ลดน้ำหนัก เพื่อให้ได้ตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่เหนือกว่ากันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งดูเหมือนสักวันการพัฒนาอาจจะถึงทางตันของมัน แต่อย่างน้อยวันนี้ Porsche ก็ได้ส่งผลงานระดับ Masterpiece ออกมาให้แฟน ๆ ได้น้ำตาไหลกัน นั่นคือ 2018 Porsche 911 GT2 RS กับหน้าตาสุดอลังการ และพละกำลังสุดประทับใจ 2018 Porsche 911 (991) GT2 RS คันนี้นับว่าเป็น the most powerful street-legal Porsche 911 ด้วยตัวเลขระดับ 700 แรงม้า และแรงบิด 553 lb-ft ฝีมือการเรียกพลังจากเครื่องยนต์ 3.8-liter 6 สูบเรียง
กลับมาอีกครั้งกับโกลบอลแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ โมเอ็ท ปาร์ตี้ เดย์ 2017 (MOËT PARTY DAY 2017) จัดโดย โมเอ็ท แอนด์ ชองดอง (MOËT & CHANDON) แชมเปญสุดหรูจากประเทศฝรั่งเศส นับเป็นปีที่สองของโลก และเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นำโดย คุณชยานนท์ จุลดุสิตพรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โมเอ็ท แอนด์ ชองดอง และ คุณธชิวา ทิพย์มโนวร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ โมเอ็ท ชองดอง บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโมเอ็ทโมเมนต์พร้อมกันกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ในวันที่ 17 มิถุนายน ตั้งแต่เที่ยงวันที่ประเทศนิวซีแลนด์เรื่อยไปจนถึงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ประเทศเม็กซิโก ในงานนี้มีเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทยเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง อาทิ ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล, กรณ์ ณรงค์เดช, ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก, กุญช์ณิชา
ถ้าพูดถึงหนึ่งในมอเตอร์ไซค์รุ่นที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดตลอดกาล หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ Honda Super Cub ติดโผอยู่แน่นอน ด้วยอายุที่เก่าแก่เกิดมาตั้งแต่ปี 1958 เก๋ามาถึงทุกวันนี้ก็ร่วมปีที่ 60 เข้าไปแล้ว โดยมีตัวเลขการผลิตสะสมถึงปี 2014 เป็นจำนวนมากถึง 87 ล้านคัน มากกว่าจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศซะอีก จุดเด่นของ Honda Cub ทุก generation นั้นขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบ ที่เก็บรายละเอียด จุดเด่นของ Cub ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น icon of 20th century เคียงข้าง VW Beetle หรือ Ford Model T ส่งต่อกันมาได้อย่างมีสไตล์ เรียกว่าทุกวันนี้ก็ยังดู Vintage ไม่เคยล้าสมัย และไม่เคยลดความน่าสนใจลงไปเลย จนกระทั่งในปี 2009 เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็น Honda EV Scooter แบบ Cenceptual Version แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเปิดเผยออกมามากมายนัก ปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงปี 2015
เรื่องของดีไซน์และแฟชั่น ไม่เคยมีคำว่าล้าสมัย และไม่มียุคสมัยไหนจะมีความหลากหลายของงานดีไซน์และแฟชั่นกว้างขวางเท่าในยุคปัจจุบันแน่นอน ต้องยอมรับว่าความรวดเร็วของเทรนด์แฟชั่นที่ Speed Up ระดับชั่วข้ามคืนในหมู่คน Millennial เป็นผลลัพธ์ที่แปรผันโดยตรงกับความรวดเร็วของโลกออนไลน์ ยิ่งผู้คนเข้าถึง Internet ได้มากเท่าไหร่ กำแพงเทรนด์แฟชั่นก็น้อยลงมากเท่านั้น แต่ลำพังเพียงข้อมูลอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่การสรุปที่ถูกต้องนัก สิ่งที่น่าสนใจคือการจับคู่ที่เข้ากันของเทคโนโลยีที่ช่วยให้เข้าถึงเทรนด์แฟชั่น กับอุปนิสัยของกลุ่มคน “Millennial” ที่ประกอบไปด้วยคน Gen Y จากยุค 1980 – 1998 และคน Gen Z จากยุคหลัง 1998 เป็นต้นไป ด้วยความกล้าคิด กล้าทำ กล้าลอง กล้าตัดสินใจ ซึ่งดูจะเป็นคุณสมบัติพิเศษของคนกลุ่มนี้ที่ทำให้มีไฟในการไล่ตามเป้าหมายของตัวเองสูงกว่ากลุ่ม Baby Boomers รุ่นพ่อแม่ ปัจจุบันคน Millennial จึงมีบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจมาก เมื่อบวกกับการเข้าถึงแฟชั่นที่หลากหลายในปัจจุบัน จึงมีการเลือกตอบรับและนำไปปรับแต่ง ผสมผสานกันตามสไตล์ความชอบส่วนบุคคล คล้ายกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเป็น Rebellion ด้านแฟชั่นในยุค Mid-Century ช่วง 1950 เป็นต้นไปไม่มีผิด และหนึ่งในความนิยมกระแสหลักที่ผู้ชายเกือบทั้งหมดให้การยอมรับ เป็นสไตล์ที่ UNLOCKMEN ชื่นชอบอยู่เสมอ
ผมคิดว่าทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้คงต้องรู้จักนาฬิกาแบรน์ดังอย่าง ROLEX อยู่แล้วแต่ความพิเศษของ ROLEX กับการสร้างประวัติศาสตร์ที่ ROLEX สรรสร้างขึ้นมากับนาฬิกาในแต่ละรุ่นนั้น ผมรู้สึกถึงความมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก มันดึงดูดให้ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาหลงไหลในความพิเศษของแบรน์นี้ได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งตัวผมเอง ครั้งนี้ผมจึงอยากหยิบความพิเศษของ ROLEX ที่สร้าง “การกันนํ้า” ที่เรียกได้ว่าเป็นที่ขึ้นชื่อลือชามาแนะนำให้รับรู้กันครับ ในปีค.ศ. 1926 ROLEX ได้คิดค้น Oyster Case ซึ่งเป็นกรอบนาฬิกาแรกของโลกที่สามารถกันนํ้าได้เนื่องจากฝาหลังและเม็ดมะยมที่มีลักษณะเป็นเกลียว ซึ่งเราจะสังเกตุเห็นจะมีคำว่า Oyster ข้างหน้า Perpetual ปรากฏอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาของทาง ROLEX โดย ROLEX ได้จดสิทธิบัตรระบบขันสกรูยึดขอบด้านหลังของตัวเรือนและเม็ดมะยมเข้ากับตัวเรือนตรงกลาง แต่ความสุดยอดของการกันนํ้าของ ROLEX ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ในปี 1960, วันที่ 23 มกราคม ยานสำรวจนํ้าลึก TRIESTE ที่ร้อยโท Don Walsh ผู้ขับเรือและ Jacques Piccard ผู้ร่วมเดินทาง ได้ทดสอบการดำดิ่งลงไปที่ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาซึ่งเป็นบริเวณการยุบตัวลงไปลึกที่สุดบนผิวโลกและประสบความสำเร็จในการเดินทางสุดเหลือเชื่อจากความลึก 10,916 เมตร (35,814 ฟุต) ยานสำรวจนํ้าลึกทำงานได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าท่ามกลางกระแสว่าเศรษฐกิจไม่ดี เรากลับพบว่ารอบตัวเต็มไปด้วยธุรกิจใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผลจากรอยต่อของ Generation X ปลาย ๆและ Y ต้น ๆ กลุ่มคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าลองผิดลองถูก และสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางต่าง ๆ มาทำเป็นธุรกิจได้อย่างสวยงาม นับตั้งแต่วงการ StartUp เริ่มบูมขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ก็ไม่รอช้าที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ และเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน จนเกิดเป็น Unicorn StartUp ก็หลายราย ในทางการตลาดเราเรียกคนกลุ่มนี้รวมกันว่า “Mass Affluent” กลุ่ม Mass Affluent ที่เข้าใจง่าย ก็คือบรรดาผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ซึ่งไม่ใช่คนกลุ่มน้อยอย่างที่คิด ใน ภาพใหญ่ระดับเอเชีย คนกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020คนกลุ่มนี้จะมีทรัพย์สินรวมกันสูงถึง 43.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยเองก็มี Mass Affluent อยู่ไม่น้อย โดยตัวเลขปัจจุบันระบุว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 500,000 ราย ที่อัตราเติบโตประมาณ
“กิ่งไม้หนึ่งกิ่งหักง่าย แต่ถ้านำกิ่งไม้หลายกิ่งมารวมกันเป็นมัดใหญ่ กลายเป็นยากที่จะหัก” ถ้าจะให้อธิบายข้อดีของความสามัคคี ประโยคที่ถูกใช้สอนกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้น่าจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด แน่นอน! พวกเรารู้ประโยชน์ของความสามัคคีเป็นอย่างดี เรารู้ว่าถ้าผู้คนในสังคมช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันทำสิ่งต่าง ๆ ความสำเร็จ ความสุขในทุกระดับ ความเจริญก้าวหน้าของชาติจะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าแปลกใจ ที่เมื่อเราโตขึ้นมา กลับพบว่าสังคมสามัคคีในอุดมคตินั้น เป็นจริงได้ยากเหลือเกิน กระทั่งเราได้เจอกับ copy ที่โดนใจจากแคมเปญ #WECULTURE ของ Ananda Development ทำให้ฉุกคิดได้ว่า จุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนไปสู่สังคมอุดมคตินั้น ง่ายกว่าที่คิด เริ่มจากเปลี่ยนคำว่า “ME” เป็น “WE” “ยาก” แต่ไม่ได้แปลว่า “เป็นไปไม่ได้” เราได้เห็นพลังของการช่วยเหลือกันในสังคมเมื่อถึงคราวจำเป็น เช่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ปัญหาที่ดูใหญ่โตระดับที่คนไทยไม่เคยพบเจอมาก่อน กลับถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็วจากการช่วยเหลือกันของคนทั้งประเทศ ต่างคนต่างงัดความสามารถออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ หรือการร่วมมือกันในเลเวลเล็กลงมา อย่างการหลบรถพยาบาลฉุกเฉินบนท้องถนน ก็เป็นพฤติกรรมที่คนในสังคมทำตามกันโดยไม่ต้องรณรงค์มากมายอะไร เราจึงมีความเชื่ออยู่เสมอว่า ขอแค่มีผู้นำที่มีความพร้อม เป็นตัวตั้งตัวตี ก็น่าจะสามารถชักชวนคนในสังคมให้เกิดความสามัคคีร่วมมือกันได้ ทั้งหมดคือเหตุผลที่เรารู้สึกว่า #WECULTURE campaign ของ ANANDA DEVELOPMENT ทำออกมาได้ตรงใจคนไทยหลายคนแน่นอน #WECULTURE แคมเปญชื่อตรงตัวแบบไม่ต้องตีความหมายให้ยากเย็น