เชื่อว่าหนุ่ม ๆ ชาวกรุงจำนวนไม่น้อย อาจกำลังสับสนกับชีวิตที่ดูเหมือนจะสะดวกสบาย มีอิสระกับไลฟ์สไตล์กลางเมืองใหญ่ มีหน้าที่การงานดี รายได้น่าพอใจ แต่จริง ๆ แล้วอีกด้านของชีวิตนั้นกำลังถูกล้อมกรอบด้วยความเร่งรีบ มลภาวะจากสิ่งแวดล้อม ความวุ่นวายในการเดินทาง แม้กระทั่งความเครียดจากการทำงานที่ยังไม่รู้ว่าจะหาจุด Balance ได้จากตรงไหน คงจะดีไม่น้อยถ้ากรอบข้อจำกัดของการใช้ชีวิตนั้นถูกทลายลงไป ให้เราได้เติมเต็มความสุขในรูปแบบชีวิตที่สามารถเลือกได้ แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังดูเพ้อฝัน เพราะหลายคนคงสงสัยว่าใครกันที่จะมีวิถีชีวิตที่เลือกได้ดั่งใจขนาดนั้น แต่ถ้ามองลงไปให้ลึกภายใต้ภาวะบีบคั้นของสังคมเมือง เรายังสามารถสร้างรูปแบบชีวิตที่เลือกได้ เริ่มต้นจากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างที่อยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างลงตัว และในวันนี้ UNLOCKMEN ขออาสาพาไปรู้จักกับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ PITI SUKHUMVIT 101 อีกหนึ่งโครงการที่อยู่อาศัย ที่เรามั่นใจว่ามาพร้อมคุณสมบัติตอบโจทย์ Urban Men อย่างเรา ๆ ให้มีความสุขกับวิถีคนเมืองได้มากกว่าที่เคย กับจุดแข็งด้านต่าง ๆ ที่ช่วยอัพเกรดให้ชีวิตในข้อจำกัดเดิม ๆ กลายเป็นชีวิตที่เลือกได้ด้วยความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร การเดินทางที่เลือกได้ สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ในการจะหาคอนโดสักห้อง แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องราวของทำเล ซึ่ง PITI SUKHUMVIT 101 นั้นมีทำเลที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร สามารถเลือกการเดินทางได้หลากรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละวัน ในวันว่างอยากนัดเพื่อนไปทานข้าว ดูหนัง ช็อปปิ้ง
ทำร้าย, วันเกิด, คืนนี้ขอหอม, ยิ้ม, อีกแล้ว, คำตอบ, สารภาพ, โปรดเถอะ, คำที่เป็นสุข, คนที่เดินผ่าน ฯลฯ แม้ไม่ต้องบอก แต่แทบทุกคนคงรู้ดีว่าเพลงที่คุ้นเคยเหล่านี้ คือผลงานของ ‘โป้ ปิยะ ศาสตรวาหา’ หรือ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ ศิลปินที่บทเพลงซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านปลายปากกา ท่วงทำนอง เสียงร้อง และลีลาของเขาหลายต่อหลายเพลงได้กลายมาเป็นซาวด์แทร็กประกอบช่วงชีวิตของผู้คนมากมาย ที่เติบโตมาขึ้นมาในช่วงเวลาที่ผู้ชายคนนี้มุ่งบำเพ็ญเพียรสร้างสรรค์ผลงานดนตรีตลอด 24 ปี วันนี้คอลัมน์ ZERO TO HERO จะพาชาว UNLOCKMEN ย้อนอดีตสู่เรื่องราวนับตั้งแต่ปี 2539 ปีแห่งการเริ่มต้นในฐานะศิลปินหน้าใหม่ ที่ซ่า บ้า กล้า แหวกแนวทางดนตรีเมนสตรีมในยุคนั้น จนมาถึงวันที่ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์นั้นมีการยอมรับในวงกว้างยืนยันได้จากเพลงฮิตมากมายของเขาที่ยังคงถูกนำมาเล่นซ้ำอยู่เสมอ ต่อเนื่องไปถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตบางอย่าง ก่อนที่จะก้าวผ่านมาถึงขวบปีที่ 24 แห่งเส้นทางดนตรี ซึ่งถือเป็นปีที่ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ กำลังจะรีบอร์นอีกครั้ง มือใหม่ไร้ชื่อกับเวทีใหญ่ครั้งแรก “ขอย้อนไปอีกนิดนึงช่วงก่อนจะได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในนามโยคีเพลย์บอย คุณโต้งมือกีต้าร์ของคุณอรอรีย์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันนี่แหละ อยู่ ๆ โต้งก็โทรมาชวนให้ไปเป็นนักดนตรีสมทบช่วยเล่นเบสให้หน่อย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“อดีตอันหอมหวาน คือภาพจำที่ทำให้เราต่างถวิลหาอยู่เสมอ” ประโยคนี้ถูกยืนยันความจริงแท้ในตัวของมันเองได้จากกระแสย้อนยุคที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปแล้วเทรนด์การโหยหาอดีตนั้นแทบจะไม่ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์แต่อย่างใด จะต่างไปก็เพียงแค่ยุคสมัยที่ถูกยกตำแหน่งให้เป็น ‘ยุคที่คิดถึง’ สำหรับคนในเจเนอเรชันนั้น ๆ อย่างในปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าคนในเจเนอเรชันเรากำลังยกให้ยุค 80 – 90 เป็นยุคที่เราต่างก็คิดถึง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ วิถีชีวิต แฟชั่น ดนตรี อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้จากยุคนั้น ๆ ล้วนถูกนำมาฉายซ้ำในรูปแบบของสินค้า กิจกรรม รวมถึงซับ-คัลเจอร์บางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าเราพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งแทนอดีตเหล่านั้นเข้ามาด้วยความเต็มใจ และสำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ สองล้อคันเก๋าระดับตำนาน คือหนึ่งในไอเทมตัวแทนอดีตที่ยากจะหมางเมิน แค่ได้เห็นยังใจเต้น ยิ่งถ้าได้ครอบครองเป็นเจ้าของเอาไว้ขับเล่นมันยิ่งเป็นอะไรที่เติมเต็มความฝันได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงตำนานมอเตอร์ไซค์จากยุคนั้น เชื่อได้เลยว่าชื่อของ Honda Monkey จะต้องปรากฎชัดเจนขึ้นมาจากกล่องความทรงจำของใครอีกหลายต่อหลายคนอย่างแน่นอน The First Monkey หากสืบไปถึงต้นตระกูลของเจ้าลิงน้อย Monkey คงต้องนับย้อนไปถึงปี 1961 กับจุดเริ่มต้นจากความซนของวิศวกร Honda ที่นึกสนุกเอาเครื่องยนต์ 100cc มาติดตั้งบนโครงรถขนาดจิ๋ว หวังใจให้เป็นมินิไบค์ขับเล่นสนุก ๆ ในโรงงาน และเนื่องจากหน้าตาท่าขับขี่ที่มีเอกลักษณ์เหมือนลิงขี่มอเตอร์ไซค์ ทำให้มันถูกขนานนามเล่น ๆ ว่า Monkey
หากจะให้นึกถึงเรือนเวลาคุณภาพสูงจากทางฟากฝั่งเอเชียที่มีศักยภาพพอที่จะต่อกรกับเรือนเวลา Swiss Made ได้ เชื่อว่าผู้หลงใหลในเสน่ห์แห่งเวลาชาวไทย น่าจะมีชื่อของแบรนด์ Seiko (ไซโก) โผล่ขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ในใจ ด้วยประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 130 ปี นับตั้งแต่ Seiko ได้ถูกก่อตั้งขึ้น โดย Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) ในปี ค.ศ. 1881 ด้วยการนำเอาความรักและความหลงใหลในเครื่องบอกเวลามาใช้เป็นแรงผลักดันในการผลิตนาฬิกาคุณภาพสูงออกสู่ตลาดทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วทุกมุมโลก พาชื่อ Seiko ทะยานขึ้นสู่ความเป็นแบรนด์นาฬิกาอันดับต้น ๆ ในเอเชีย การันตีด้วยคุณภาพสินค้า ขั้นตอนการออกแบบการผลิตที่ประณีต ผนวกนวัตกรรมระดับสูงในแบบฉบับ Made in Japan ที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้ความไว้วางใจ รวมถึงในประเทศไทยแบรนด์ Seiko ซึ่งปัจจุบันดำเนินการโดยบริษัท ไซโก (ประเทศไทย) ได้เดินหน้าทำการตลาด และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างฐานลูกค้า, กลุ่มแฟนตัวจริงของนาฬิกา Seiko ที่มี Comunity และ Brand Royalty แข็งแกร่ง ตอกย้ำให้ประเทศไทยกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในภูมิภาคอาเซียนที่มีความพร้อมในการเปิด Seiko
“โลกอนาคตแม่งอยู่ใกล้เราแค่ปลายจมูก” มั่นใจว่าจากสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันทำให้หลายคนกำลังคิดแบบนี้อยู่เป็นแน่แท้ แต่สิ่งที่ตอกย้ำว่าเรื่องราวในโลกอนาคตนั้นกำลังดำเนินอยู่จริงในช่วงชีวิตของพวกเรา ไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์ล้ำสมัยไฮเทค, ระบบ AI อัจฉริยะ หรืออะไรต่อมิอะไรที่เคยเห็นในการ์ตูนโดเรมอน รวมถึงหนังไซ-ไฟ เมื่อวัยเด็ก แต่ ณ ตอนนี้ ภาพที่เห็นชินตาจากหนังที่ว่าด้วยโลกอนาคต ภาพของมนุษย์ที่พยามดิ้นรนไขว่คว้าหาอากาศบริสุทธิ์ เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติฝุ่นพิษ และการแพร่กระจายของเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่าง ๆ นา ๆ ด้วยอุปกรณ์กรองอากาศ ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ทั้งที่ติดตั้งประจำบ้าน หรือสวมใส่ติดตัวตลอดเวลาแบบไปไหนไปกัน ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน นี่แหละคือสิ่งที่หากย้อนเวลาไปแค่สัก 5 ปี – 10 ปี หากมีใครเดินมาบอกว่าในอนาคตอันใกล้ ‘อากาศดี ๆ จะไม่ใช่ของฟรีอีกต่อไป’ ร้อยทั้งร้อยเราคงคิดว่าไอ้นี่มันท่าจะบ้า ย้อนกลับมา ณ ปี 2020 จากแนวคิดที่เคยมองว่าเพ้อเจ้อ แต่สุดท้ายเราทุกคนล้วนกำลังอยู่ท่ามกลางปรากฎการณ์หน้ากากกันฝุ่นขาดตลาด, เครื่องตรวจสภาพอากาศกลายมาเป็นแกดเจ็ตพกติดตัว, งานเปิดตัวสินค้าเทคโนโลยียิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง CES มีการเผยโฉม Atmos Faceware หน้ากากฟอกอากาศแบบสวมใส่ เอาไว้สร้างอากาศบริสุทธิ์ได้แบบส่วนตัวด้วยสนนราคา $350 และในเมื่อการที่มนุษย์สวมใส่หน้ากากฟอกอากาศกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานการใช้ชีวิตในช่วงเวลาต่อจากนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ Demand เกิด
หลายคนน่าจะทราบกันดี ถึงสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในศึกชิงแชมป์คนชนคนอย่าง Super Bowl นอกเหนือจากผลการแข่งขัน และ Half-Time Show นั่นก็คือ TVC หลากหลายประเภทสินค้า จนถือป็นอีกหนึ่งเวทีขายของประลองไอเดียโฆษณาจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ รวมถึงเป็นพื้นที่โชว์ตัวอย่างหนังตลอดจนซีรีส์ใหม่ ๆ อีกหลายต่อหลายเรื่อง โดยแบรนด์ใหญ่แต่ละแบรนด์ ค่ายหนังแต่ละค่าย ต่างคนต่างพร้อมใจกันควักกระเป๋าจ่ายเงินมหาศาล เพื่อแลกกับการที่ Ads หรือ Teaser หนังของตัวเองได้เผยแพร่สู่สายตามากกว่าร้อยล้านคู่จากผู้ชมทั่วโลก อย่างในปีล่าสุด FOX Sports เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ได้ออกมาเปิดเผยว่าแมทช์หยุดโลกระหว่างทีม Kansas City Chiefs และ San Francisco 49ers นั้นมีอัตราค่าโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 173 ล้านบาท ต่อ 30 วินาที แถมยังขายดิบขายดีจนสล็อตโฆษณาขายหมดล่วงหน้าไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ที่ผ่านมา และค่ายรถพันธุ์แกร่งสัญชาติอเมริกันอย่าง Jeep ก็เป็นอีกหนึ่งเจ้าที่ทุ่มเม็ดเงินซื้อเวลาเผยแพร่ TVC ใน Quarter
ถ้าจะให้หยิบยกเอาเรื่องราวของสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาพูดถึงสักหนึ่งเรื่อง บอกเลยว่าแค่เรื่องใกล้ตัวอย่างร่างกายของมนุษย์เรานั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมายให้พูดถึงกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของสมอง หรือหัวใจ รวมไปถึงกลไกอวัยวะ กระดูก กล้ามเนื้อ ผิวหนังทั่วร่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าน่าทึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ในร่างกายมนุษย์ นั่นก็คือระบบประสาทรับกลิ่น หลายคนคงจะเคยชินกับการรับรู้กลิ่นในทุก ๆ วัน แต่อาจไม่เคยรู้ว่าความสามารถธรรมดา ๆ สิ่งนี้ มันเกิดจากการทำงานสอดประสานกันของเซลล์รับกลิ่นจำนวนมหาศาลที่ช่วยให้เราจำแนกกลิ่นที่แตกต่างได้มากถึง 1 ล้านล้านกลิ่น (APPENDIX – http://bit.ly/35UJGXx) แถมการรับกลิ่นยังถือเป็นประสาทสัมผัสที่แข็งเกร่งที่สุดในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ หากลองสังเกตดี ๆ ในหลายเหตุการณ์เรามักจะรับรู้ถึงกลิ่น ก่อนที่จะมองเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือลิ้มรสเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้การรับกลิ่นของคนเรา ยังมีความเกี่ยวพันกับอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อประสาทรับกลิ่นของเราทำงาน กลิ่นที่ได้รับนั้นจะมุ่งหน้าไปทำปฏิกิริยากับสมองส่วน Amygdala และ Hippocampus ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ และ ความทรงจำโดยตรง (APPENDIX – http://bit.ly/35RohyK) จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลิ่นบางกลิ่นจะสามารถทำให้เรารู้สึกดี หรือบางกลิ่นจะช่วยกระตุ้นให้นึกถึงความหลัง และแน่นอนว่ากลิ่นยังทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงไปถึงสถานที่ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกบันทึกผ่านประสบการณ์ชีิวิต และความทรงจำของเราได้อย่างน่ามหัศจรรย์ อ่านเรื่องราวของ
สำหรับบทความนี้หนุ่มเซอร์เครางามอาจต้องข้ามไปก่อน เพราะเรากำลังจะพูดถึงเรื่องราวจำเป็นของหนุ่ม ๆ ที่นิยมความเกลี้ยงเกลาบนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้กับกิจกรรมการโกนหนวด ที่มันช่างงอกเร็ว งอกไว เผลอแป๊บเดียวหนวดก็โผล่มาให้โกนกันได้ไม่เว้นแต่ละวัน และปัญหาที่ผู้ชายหลายคนมองข้าม มันก็เริ่มมาจากความถี่ของการโกนหนวดที่บ่อยจนเป็นกิจวัตร ทำซ้ำกันอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่สมัยแตกเนื้อหนุ่ม ยันเป็นหนุ่มเนื้อแตก ผิวหน้าเกิดรอยแดง มีอาการระคายเคือง แสบ คัน ขนคุดอักเสบที่ล้วนแล้วแต่เกิดจากพฤติกรรมการโกนหนวดแบบขอให้จบ ๆ ไปที โดยที่ไม่ใส่ใจว่าผิวหน้าคนเรานั้นสุดแสนจะบอบบางแพ้ง่ายกว่าผิวหนังส่วนอื่น ยิ่งในขั้นตอนการโกนหนวดที่ผิวหน้าถูกรบกวนโดยตรง ยิ่งเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาผิวหน้ากวนใจอย่างที่เราเกริ่นไว้ข้างต้น เพื่อให้การโกนหนวดครั้งต่อไปบรรลุวัตถุประสงค์ของการเป็นหนุ่มหน้าเกลี้ยงอย่างจริงแท้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งสารบำรุงจากสกินแคร์เพียงอย่างเดียว เราขอบอกเลยว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายควรบอกลาการลงมีดลากปาดให้ทั่วไรหนวดแล้วแยกย้าย แล้วหันมาใส่ใจสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอย่างวิธีการโกนหนวดสุดพิถีพิถัน ตามขั้นตอนที่เราแนะนำ รับรองว่าจะช่วยให้ปัญหาของหนุ่ม ๆ ผิวบอบบางแพ้ง่าย ที่ต้องเจอกับอาการระคายเคือง รอยแดง คัน ขนคุดอักเสบ หลังโกนหนวดอยู่บ่อย ๆ นั้นลดลงได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะไปเจอกับวิธีการโกนหนวดที่ถูกต้อง ขอบอกว่าการขั้นตอนการเลือกมีดโกนหนวดก็สำคัญไม่ใช่เล่น เพราะอย่างที่รู้กันว่าขณะโกนมีดโกนหนวดคืออุปกรณ์ที่มีโอกาสสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้าได้มากที่สุด ดังนั้นถ้าอยากลดปัญหาผิวหน้าระคายเคืองหลังโกนหนวด มีดโกนที่อ่อนโยนต่อผิวคือสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้โดยเด็ดขาด อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกคนคงมีคำถามในใจว่า “แล้วต้องเลือกมีดโกนหนวดแบบไหนถึงจะเหมาะ?” จากคำถามนี้เราจึงขอแนะนำไอเทมเด็ดที่ช่วยให้ขั้นตอนการ Shave หรือขั้นตอนการโกนหนวดซึ่งเป็นช่วงที่ผิวหน้าถูกรบกวนมากที่สุดนั้นผ่านพ้นไปได้แบบสบาย ๆ ไม่ระคายผิวด้วยมีดโกนหนวด Gillette Skinguard ที่ออกแบบมาเพื่อผิวบอบบางโดยเฉพาะ
เชื่อเหลือเกินว่ามีผูัใช้งานสมาร์ตทีวีจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจถอยทีวีสุดสมาร์ตเครื่องใหม่ ด้วยความหวังที่จะใช้เปิดช่องโปรดจาก YouTube เอาไว้นอนดูชิลล์ ๆ แบบเต็มตาบนจอใหญ่ แต่สุดท้ายกลับมาพบความจริงที่ว่าแอปฯ YouTube บนทีวีดันไม่สามารถเสิร์ชด้วยการพิมพ์ Keyword ภาษาไทยซะอย่างนั้น เจอแบบนี้เข้าไปแม้ภาษาอังกฤษจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเรา แต่ในเมื่อคลิปรายการที่อยากดูมันใช้ชื่อไทย ยังไงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องค้นคลิปโดยใช้ภาษาแม่ จนสุดท้ายต้องแก้ปัญหาด้วยการยิงแอปฯ YouTube จากมือถือขึ้นหน้าจอทีวี เพียงเพื่อจะได้ใช้ภาษาไทยในการเสิร์ช ซึ่งเป็นอะไรที่ดูวุ่นวายหลายขั้นตอน หลุดคอนเซ็ปต์การใช้งานสมาร์ตทีวี ที่ควรจะสมาร์ต สะดวก ง่ายดาย ไปไกลโข งานนี้ใครที่เพิ่งถอยสมาร์ตทีวีมาสด ๆ ร้อน ๆ คงต้องทำใจใช้วิธีการเสิร์ชคลิปบนมือถือให้เรียบร้อย แล้วยิง YouTube ขึ้นไปเล่นบนจอทีวีแก้ขัดไปก่อน ส่วนใครที่กำลังมองหาสมาร์ตทีวีครื่องใหม่ บอกเลยว่าคุณคือผู้โชคดีที่มาถูกที่ถูกเวลา เพราะคอลัมน์ Toys for Boys ในวันนี้ เราจะมาแนะนำ SAMSUNG UHD TV RU7200 สมาร์ตทีวีรุ่นใหม่ ที่เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มเด็ดเพื่อหนุ่มไทยสายบันเทิง พร้อมจบทุกปัญหาวุ่นวาย ทลายกำแพงด้านภาษากับความสามารถในการเสิร์ชคลิป YouTube ด้วยภาษาไทยง่าย ๆ จบได้ในตัวแบบไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริม แค่เปิดแอปฯ YouTube
หากจะให้พูดถึงความน่าหลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งเรือนเวลา ประเด็นหลัก ๆ ที่บรรดาเซียนนาฬิกาทั้งหลายไม่พลาดที่จะกล่าวถึงคงหนีไม่พ้นชื่อชั้นประวัติศาสตร์แบรนด์ ตลอดจนเรื่องราวของวัสดุชั้นยอด งานดีไซน์ที่งดงาม และแน่นอนว่าจะขาดไปไม่ได้กับสิ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของนาฬิกา นั่นก็คือกลไกเครื่องบอกเวลาสุดซับซ้อน อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่คิดค้นสร้างสรรค์จากฝีมือมนุษย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งการบอกเวลาที่แม่นยำในระดับเสี้ยววินาที ซึ่งชื่อของแบรนด์นาฬิกาหรูระดับโลกสัญชาติสวิสอย่าง OMEGA ถือเป็นอีกสัญลักษณ์ของการบอกเวลาอันเที่ยงตรงแม่นยำ ที่เหล่านักสะสมนาฬิกาต่างรู้จักกันดี กับเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ที่สามารถการันตีถึงความใส่ใจในความแม่นยำของกลไกบอกเวลาแบบสุดขั้ว นับย้อนไปในปี ค.ศ.1848 ที่บุรุษนามว่า Louis Brandt (หลุยส์ บลาดต์) ริเริ่มก่อตั้งบริษัทนาฬิกา ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะประดิษฐ์กลไกบอกเวลาความแม่นยำสูงสุดเท่าที่เคยมีมา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1894 แม้ Louis Brandt จะจากโลกนี้ไป แต่ความอุตสาหะของเขาได้ผลิดอกออกผลในรุ่นลูก ที่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนากลไกบอกเวลา จนเกิดเป็นผลงานชิ้นสำคัญ นั่นคือกลไก 19-ligne ‘OMEGA’ calibre (19-ลิญจน์ ‘โอเมก้า’ คาลิเบอร์) ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ถูกยกให้เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมนาฬิกาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ และชื่อ ‘OMEGA’ ของกลไกบอกเวลารุ่นตำนานในครั้งนั้น ได้กลายมาเป็นชื่อแบรนด์ที่รู้จักกันไปทั่วโลกจวบจนถึงปัจจุบัน และต้องบอกว่า OMEGA คือผู้ผลิตนาฬิการายเดียวของโลกที่ตั้งชื่อแบรนด์ตามชื่อกลไกบอกเวลาประสิทธิภาพสูงที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ เพื่อให้ชื่อนี้เป็นตัวแทนเรื่องราวของเรือนเวลาที่ใส่ใจในกลไกที่เที่ยงตรงแม่นยำจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งตลอดเส้นทางที่ผ่านมา OMEGA ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการคว้ารางวัลจากการทดสอบความแม่นยำมาแล้วนับไม่ถ้วน และหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ การได้รับความไว้วางใจในฐานะผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกตั้งแต่ปีค.ศ. 1932 จนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าสถิติของนักกีฬาที่ดีที่สุดในโลก ล้วนมาจากการบันทึกเวลาที่แม่นยำและเชื่อถือได้ของ