Life

ZERO TO HERO: ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ 24 ปีแห่งการบำเพ็ญเพียรทางดนตรี จนถึงวันที่โยคีเตรียมรีบอร์น

By: NTman March 4, 2020

ทำร้าย, วันเกิด, คืนนี้ขอหอม, ยิ้ม, อีกแล้ว, คำตอบ, สารภาพ, โปรดเถอะ, คำที่เป็นสุข, คนที่เดินผ่าน ฯลฯ แม้ไม่ต้องบอก แต่แทบทุกคนคงรู้ดีว่าเพลงที่คุ้นเคยเหล่านี้ คือผลงานของ ‘โป้ ปิยะ ศาสตรวาหา’ หรือ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ ศิลปินที่บทเพลงซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านปลายปากกา ท่วงทำนอง เสียงร้อง และลีลาของเขาหลายต่อหลายเพลงได้กลายมาเป็นซาวด์แทร็กประกอบช่วงชีวิตของผู้คนมากมาย ที่เติบโตมาขึ้นมาในช่วงเวลาที่ผู้ชายคนนี้มุ่งบำเพ็ญเพียรสร้างสรรค์ผลงานดนตรีตลอด 24 ปี

วันนี้คอลัมน์ ZERO TO HERO จะพาชาว UNLOCKMEN ย้อนอดีตสู่เรื่องราวนับตั้งแต่ปี 2539 ปีแห่งการเริ่มต้นในฐานะศิลปินหน้าใหม่ ที่ซ่า บ้า กล้า แหวกแนวทางดนตรีเมนสตรีมในยุคนั้น จนมาถึงวันที่ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์นั้นมีการยอมรับในวงกว้างยืนยันได้จากเพลงฮิตมากมายของเขาที่ยังคงถูกนำมาเล่นซ้ำอยู่เสมอ ต่อเนื่องไปถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตบางอย่าง ก่อนที่จะก้าวผ่านมาถึงขวบปีที่ 24 แห่งเส้นทางดนตรี ซึ่งถือเป็นปีที่ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ กำลังจะรีบอร์นอีกครั้ง

 

มือใหม่ไร้ชื่อกับเวทีใหญ่ครั้งแรก

“ขอย้อนไปอีกนิดนึงช่วงก่อนจะได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในนามโยคีเพลย์บอย คุณโต้งมือกีต้าร์ของคุณอรอรีย์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันนี่แหละ อยู่ ๆ โต้งก็โทรมาชวนให้ไปเป็นนักดนตรีสมทบช่วยเล่นเบสให้หน่อย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ลองก็ลอง แค่ถามโต้งไปอย่างเดียวว่า เฮ้ย เราเล่นเบสไม่เป็นนะ โต้งก็บอกไม่เป็นไร มันเป็นอะคูสติกให้มาลอง ๆ ดูก่อน

จับพลัดจับผลูยังไงไม่รู้ ทั้งที่พี่ไม่ได้เป็นมือเบสมืออาชีพ แต่คุณอรอรีย์เค้าชอบ คือพี่อาจจะไปแอคท่าโดนใจเค้าอะไรอย่างนี้ก็ได้ เค้าก็เลยชวนให้เล่นต่อ แต่ถ้าถามถึงฝีมือวิธีการเล่นเบสของพี่แล้วบอกได้เลยว่าแย่ เละเทะไปหมดเลยครับ แค่ท่าได้อย่างเดียวเลย

แล้วงานแรก ๆ คือทางคุณอรอรีย์ได้เป็นเล่นเป็นวงเปิดให้กับคอนเสิร์ตของ Moderndog ที่สนามทบ. ซึ่งจุได้ 5,000 คน ตอนนั้นพี่ก็ตื่นเต้นนะ แต่ก็อาศัยว่าหลับตาเล่นไปเลยครับ คือไม่คิดจริง ๆ ว่าที่เค้าชวนมันจะใหญ่ขนาดนี้ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ เน้นหลับตากับแอคท่าอย่างเดียว

 

จุดเริ่มต้น

หลังจากได้คลุกคลีอยู่กับวงการเพลงมาสักพัก จนได้โอกาสในการออกเทป หากพี่พานั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปได้ ทุกคนจะเห็นภาพว่าจุดเริ่มต้นตอนนั้น ก็จะเป็นวงที่เกิดจากเด็กมหาวิทยาลัยคนนึง เป็นเด็กสถาปัตย์ที่มีความชอบในดนตรี แล้วก็ได้รับโอกาสให้ได้ทำงานของตัวเอง เลยเริ่มพยายามจะฟอร์มวง โดยไปชักชวนพรรคพวกเพื่อนที่รู้จัก รวมถึงคนที่เขาไม่รู้จักเลยด้วยรวมตัวกันมา และต้องการหาชื่อมาเรียกกลุ่มของตัวเอง เพราะแต่เดิมจะใช้ชื่อเล่นของตัวเองเป็นชื่อวง แต่เด็กคนนั้นมันไม่ชอบ

พอดีเค้าได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่จุฬาอยู่คนหนึ่งชื่อคุณ ‘ทอม-วรุฒม์ ปันยารชุน’ คนเดียวกับที่คิดชื่อให้วง Moderndog และศิลปินอื่น ๆ อีกหลายคนในเบเกอรี่ เลยไปคุยกับเค้าขอให้พี่เค้าช่วยคิดชื่อวงให้ ซึ่งพี่เค้าคิดเร็วมาก เค้ามองแว่บเดียว มองจากหน้าตาคนในวง แล้วบอกว่า เฮ้ย เอาเป็นชื่อนี้ดิ ‘โยคีเพลย์บอย’ พูดมาเลยคำแรก เราก็เลยอืม เอ๊ะ ประหลาดดี ชื่อวงยาวดี แล้วก็มันขัดแย้งกันดี

ขัดแย้งในที่นี้หมายถึง โยคีด้วย เพลย์บอยด้วย ซึ่งก็พยายามคิดชื่ออื่นกันแล้วนะ แต่ว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่ทำให้ยิ้มได้ หัวเราะได้ดังสุด ก็เลยเอาวะ เอาชื่อนี้แหละครับ ซึ่งจริง ๆ โยคีเพลย์บอยเริ่มต้นก็เซ็นสัญญาเป็นศิลปินเดี่ยวเลยนะครับ แต่ไอ้เจ้าเด็กมหาวิทยาลัยคนนั้นเนี่ย เค้าไม่ชอบออกเดี่ยว เค้าอยากมีพรรคพวกเค้าอยากมีเป็นวง ซึ่งเด็กคนนั้นก็กลายมาเป็นลุงในวันนี้อะครับ” (หัวเราะ)

 

อุปสรรคสำหรับน้องใหม่สุดแหวกในวงการดนตรี ณ ตอนนั้น

“ทุกอย่างครับ บอกได้เลยว่าเจออุปสรรคทุกอย่าง มากเท่าที่ศิลปิน หรือวงหนึ่งวงจะเจอได้ ทุกอย่างที่ไม่ชอบเจอ ไม่อยากเจอนี่เจอมาหมดเลย เคยมีคณะละครลิงคุณประกิตเล่นเป็นวงเปิดให้โยคีเพลย์บอยก็เจอมาแล้ว ซึ่งไม่ใช่ว่าละครลิงไม่ดีนะ ศิลปะมันไม่มีผิดมีถูก หรือว่าใครเหนือกว่าใคร แค่ทุกอย่างมันดูผิดที่ผิดทาง แนวทาง ฟีลมันไปด้วยกันไม่ได้ เรียกได้ว่า ณ ตอนนั้นเจอมาหลายคดีมาก ๆ

“เวลาที่เจอปัญหาอะไรพวกนี้ที่มันควบคุมไม่ได้ คุณก็แค่วางมันแค่นั้น
แล้วก็ผ่านมันไปให้ได้ ด้วยการทำมันออกมาให้เต็มที่ เล่นมันออกมาให้ดีที่สุดพอ”

แต่สิ่งที่ทำให้พี่ผ่านเรื่องราวปวดหัว เรื่องราวที่ไม่ชอบเหล่านี้มาได้ จริง ๆ มันมาจากพื้นฐานแค่เราชอบดนตรี เราชอบเล่นดนตรีนะ ส่วนอะไรที่บั่นทอนฟีลในการเล่น เวลาที่เจอปัญหาอะไรพวกนี้ที่มันควบคุมไม่ได้ คุณก็แค่วางมันแค่นั้น แล้วก็ผ่านมันไปให้ได้ ด้วยการทำมันออกมาให้เต็มที่ เล่นมันออกมาให้ดีที่สุดพอ”

หลังจากมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรพยายามทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่หลงใหลอย่างการเล่นดนตรีมาซ้ำ ๆ จนในที่สุดความกล้า บ้า ห่าม ความแปลก ณ แรกรู้จัก กลับกลายมาเป็นผลงานที่ต้องยอมรับว่าตลอด 24 ปีที่ผ่านมา เสียงเพลงของโยคีเพลย์บอยนั้นไม่เคยห่างหายไปจากสารบบของวงการเพลงไทย ยังคงถูกนำมาขับกล่อมให้ได้ยินอยู่เสมอ

แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้ทำให้พี่โป้ หยุดที่จะหาคำตอบบางอย่างให้กับชีวิต… เพราะเมื่อเราถามถึงมุมมองที่มีต่อความสำเร็จที่เกิดขึ้น เขากลับเล่าให้ฟังถึงสิ่งบางอย่างที่ความสำเร็จทั้งหลายที่ผ่านมาแม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ก็ยังไม่สามารถตอบความสงสัยบางอย่างที่ค้างคาใจของผู้ชายคนนี้ได้

 

ตั้งคำถามกับชีวิต

“พี่ขอเล่าอะไรให้ฟังนะ ในวันที่เพลงดัง เพลงได้การยอมรับ เราทำงาน ทำงาน ทำงานเยอะมาก วันนึงพี่กลับสงสัยกับตัวเองว่า เฮ้ย มนุษย์เราแม่ง จะชอบทำอยู่เรื่องเดียวแล้วมันจะรู้ได้ไงว่าเรื่องนั้นมันจะอยู่กับเราไปตลอดเรารักมันจริง ๆ เพราะว่าเราไม่เคยไปลองอย่างอื่นเลยในชีวิต

พี่เลยไปลองเริ่มทำอย่างอื่น น่าจะช่วงที่อายุเข้าเลขสามแล้วล่ะ อย่างน้อง ๆ อาจจะมีโอกาสลองมากกว่า ทำอย่างนี้แล้วไม่ชอบ ทำแบบนี้แล้วไม่ชอบก็ลองเปลี่ยน แต่พี่อยู่กับสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่สมัยเรียน ทำมันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่ามนุษย์เราทำอย่างเดียวหรอวะ แล้วเราจะทำมันต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิตได้เหรอ

ก็เลยลองไปทำอย่างอื่น ลองไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำงาน routine แบบน้อง ๆ นี่แหละครับ ไปเริ่มต้นใหม่เป็นสถาปนิกฝึกหัดในวัย 30 กว่า ๆ ก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มีอะไรให้เรียนรู้ มีรายได้ มีผลตอบแทนที่มั่นคงแน่นอนกว่าอาชีพศิลปิน ณ ช่วงเวลานั้น ชีวิตก็ดูชัวร์ดี ปลอดภัยอยู่ในเซฟโซนดี แต่ความสุขมันลดลงไปเรื่อย ๆ ความภูมิใจในตัวเองมันลดลงไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกที่เคยรู้สึกว่าตัวเองพิเศษมันลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งความรู้สึกข้างในมันเละ เริ่มมองหาแล้วว่าชีวิตมันคืออะไรวะ

“พี่ต้องการความภูมิใจนั้นกลับมา ก็เลยเอาล่ะ ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปทำดนตรีใหม่อีกที”

สุดท้ายเลยกลับมานั่งทบทวนว่ามันคงต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่ดี ๆ เด็กมหาวิทยาลัยอย่างพี่ เด็กที่กำลังจะเรียนจบมาเป็นสถาปนิก แล้วอยู่ดี ๆ ต้องไปทำงานด้านดนตรี ไปเป็นศิลปิน ไปเป็นพนักงานเขียนเพลง ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้รู้เหมือนกันว่ามีอาชีพนี้ด้วย แต่ก็ทำไป ซึ่งมันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ให้พี่ต้องไปทำอย่างนั้น แล้วการที่พี่พยายามฝืนธรรมชาติตัวเองด้วยการไปทำอย่างอื่นเนี่ย พี่พบว่ามันไม่ตอบโจทย์ตัวเอง ชีวิตมันไม่แมทช์กันสักเรื่องเลย มันทำให้ความภูมิใจในตัวเองลดลง พี่ต้องการความภูมิใจนั้นกลับมา ก็เลยเอาล่ะ ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปทำดนตรีใหม่อีกที

“การกลับมาคราวนี้มันมีความหมายกับชีวิตมากกว่าเมื่อก่อน

มันมาพร้อมความเต็มที่มากกว่าเดิม มากกว่าสมัยหนุ่ม ๆ อีก”

ซึ่งมันไม่ง่ายเลย บอกตรง ๆ เลยว่ายุคนี้มันเป็นยุคของน้อง ๆ หมดแล้ว แต่การกลับมาคราวนี้มันมีความหมายกับชีวิตพี่มากกว่าเมื่อก่อน เพราะพี่ตอบตัวเองได้แล้วว่าพี่ชอบอะไร มันแน่นอน มันมาพร้อมความเต็มที่มากกว่าเดิม มากกว่าสมัยหนุ่ม ๆ อีก เพราะเมื่อก่อนเราไม่รู้ เราก็แบบทำไป ได้โอกาสมาแล้วเราก็โอเคไปกับโอกาส โดยที่เราไม่รู้ว่าการที่โอกาสแบบที่พี่ได้ตอนนั้น มันจะมาสู่คนคนนึงมันไม่ง่าย

ก็เลยโอเคไปเรียนเพิ่มเติมด้านดนตรี ไปทำมันให้เต็มที่เลย แล้วระหว่างนั้นได้รับติดต่อมาให้ไปรายการรายการนึงชื่อรายการหน้ากากนักร้อง เราก็พยายามอยากทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ให้คนอื่นไม่รู้ว่านี่คือเรา ก็เอาเลย ผมร้องโอเปร่า ผมจะร้องโอเปร่า โดยที่ไม่รู้ว่ามันยากง่ายยังไง มีพิธีรีตรองยังไง แต่ก็ไปเรียน ไปฝึกเพื่อจะทำมันให้ได้

 

เริ่มต้นชีวิตครอบครัว เริ่มต้นการเรียนรู้ใหม่ ๆ

ในช่วงที่กำลังค้นหาตัวเอง พี่ได้พบอีกคำตอบนึงว่าตัวเองอยากมีครอบครัว ที่ไม่มีความสุขเนี่ย เพราะอยากมีครอบครัว อยากมีลูกสาว แต่ที่ผ่านมาเราไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ทำงาน 24 ชั่วโมง ไปเรื่อย ๆ จนเริ่มคิดได้แล้วว่า ถ้าเราอยู่คนเดียวไปจนถึงแก่ ๆ เนี่ย เละ เราไม่อยากเละแบบนั้น เราไม่เอา เราอยากมีครอบครัวเหมือนพ่อแม่เรา อะไรอย่างนี้อะครับ

พอเริ่มรู้ว่าอยากมีครอบครัว ก็ต้องเริ่มมองหาคู่ชีวิตแล้ว แต่ด้วยความเป็นพี่ ก็เลยทำอะไรดิบ ๆ เพี้ยน ๆ บ้า ๆ ไปตะโกนกลางคอนเสิร์ต ผมอยากได้ลูกสาวคร้าบบบ คนเค้าก็จะแบบ อะไร พี่เป็นอะไรของพี่วะ ผมก็บอกไป ผมอยากได้ลูกสาวจริง ๆ นะครับ บางทีก่อนโชว์ก็มองฟ้า ตะโกนขอกับฟ้า ผมอยากได้ลูกสาวววว (ลากเสียงยาว) อะไรอย่างนี้ จนสุดท้ายก็ได้สร้างครอบครัว ได้ลูกสาวมาจริง ๆ สมใจ

ซึ่งชีวิตครอบครัวมันเติมเต็มพี่ตรงที่ ปัญหามีเหมือนเดิมทุกอย่าง ปัญหาการเงินอะไรทุก ๆ อย่าง มีเหมือนเดิมเป๊ะ แต่การได้อยู่กับลูก อยู่กับครอบครัวมันทำให้ยังมีความสุขได้ทุกวันและมันก็ทำให้พี่ได้พาตัวเองไปสู่การเรียนรู้ใหม่ ๆ

เพราะหน้าที่ของพ่อคนนี้คือต้องพาลูกสาวไปเรียนเปียโนทุกวันอาทิตย์ ก็เข้าทางเลย เรามีโอกาสได้เข้าไปหาดนตรีแล้ว เนื่องจากว่าคอร์สเด็กเล็ก ๆ เค้าจะสอนแบบง่าย ๆ โน้ตน้อย ๆ ยิ่งเข้ากับพ่อเลยเพราะพ่อไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ก็เลยได้มีโอกาสเรียนทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน เรียนเปียโน เหมือนได้เริ่มวิเคราะห์ดนตรีที่เราทำอยู่ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่อที่จะเข้าใจมันมากขึ้น

“วิธีแบบพี่น่าจะเรียกว่าทักษะการทำซ้ำ มันคือการที่คุณชอบอะไรอย่างหนึ่งแล้วคุณทำซ้ำเรื่อย ๆ

คุณจะเริ่มทำมันได้โดยประสบการณ์”

จากที่เมื่อก่อนพี่จะชอบถ่ายทอดเพลง หรืองานของเรา ผ่านเครื่องดนตรีที่เราชอบ ที่เราชำนาญ ของพี่จะเป็นกีต้าร์ ก็เลยมักจะขึ้นโครง แต่งเพลงจากกีต้าร์ตัวเดียว ซึ่งวิธีแบบพี่น่าจะเรียกว่าทักษะการทำซ้ำ มันคือการที่คุณชอบอะไรอย่างหนึ่งแล้วคุณทำซ้ำเรื่อย ๆ คุณจะเริ่มทำมันได้โดยประสบการณ์ และคุณก็จะเรียนรู้ความผิดพลาดมันแล้วก็นำไปปรับใช้พัฒนางานต่อ ๆ ไป

แต่มันมีข้อเสียคือเราไม่สามารถจะอธิบายในทางทฤษฎีได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันคืออะไร หรือไม่สามารถสื่อสารคุยงานกับนักดนตรีในภาษาดนตรีแบบของเค้าได้เลย การไปเรียนรู้ทฤษฎีดนตรีอะไรพวกนี้ก็ช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น จนคุณครูที่สอนลูกแอบมาสะกิดว่าคุณพ่อตั้งใจเรียนมากกว่าคุณลูกอีก มา…เดี๋ยวครูสอนให้ (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นมาเพลงของโยคีเพลย์บอยเลยเริ่มถูกแต่งโดยเปียโน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็อยู่ในงานใหม่ ๆ ที่กำลังทยอยปล่อยให้ทุกคนได้ฟัง

 

ปรับตัวตั้งรับความเปลี่ยนแปลง

“ต้องบอกก่อนว่าช่วงที่เปลี่ยนไปลองทำงานประจำ ไม่ใช่เพราะอยากปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของวงการดนตรีนะ อันนั้นเกิดจากตัวเองล้วน ๆ เลย แต่ระหว่างนั้นก็รับรู้มองดูความเปลี่ยนแปลงอยู่ เห็นกับตาเลยว่ามันเร็วมาก แป๊บเดียวมันเปลี่ยนไปเกือบทุกอย่าง แต่พี่เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นทั้งหมด ก็ทำให้เราพอจะไหวตัวทัน หาวิธีตั้งรับมัน ดูว่าจะจัดการกับมันยังไง

ช่วงแรก ๆ ที่ปล่อยงานใหม่ออกไป มันหายไปเลย เป็นงานที่ดันไปชวนคนอื่นมาฟีเจอริ่งด้วยคือ คุณแจ๊บ ริชแมนทอย เราก็เริ่มลองผิดลองถูกว่ามันจะต้องโปรโมทแบบนี้แบบนั้น แต่พอออกไปปั๊บมันหายไปเลย แล้วเป็นช่วงที่เราไม่ได้สังกัดค่ายไหนด้วย เป็นช่วงที่ลองออกมาทำเอง ก็ค่อย ๆ เรียนรู้มัน แล้วก็เริ่มคิดเป็นทฤษฎีของตัวเอง ว่า ณ ปัจจุบันนี้ วิธีการเป็นยังไง ช่องทางการโปรโมทเป็นยังไงวิธีไหน การที่จะออกมาควรเป็นลักษณะยังไง

พี่ก็เลยเอางานใหม่พี่เป็นตัวทดลองเลย แล้วพี่ก็พบว่าอัลบั้มเต็มมันใช้เวลานานไป มันทำให้เราหายหน้าไปจากตรงนี้นานไป มันไม่ตอบโจทย์กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเพลงมันไม่ใช่ทุกอย่าง เพลงมันเป็นแค่หัวข้อเล็ก ๆ ของความสนใจทั้งหมดของผู้คน เพราะว่าตอนนี้ทุกคนสามารถสนใจหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว มันไม่มีตัวชี้วัดด้วยว่าความสำเร็จคุณอยู่ตรงไหน เมื่อก่อนง่ายนิดเดียว ความสำเร็จของคุณอยู่ที่คลื่นวิทยุบอกว่าเพลงของคุณติดอันดับเท่านี้ ๆ นะ อยู่มากี่อาทิตย์ก็ว่าไป

แต่ปัจจุบันนี้ความสนใจของคนมันกว้างมาก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิทยุแล้ว ตอนนี้มันเลยอาจจะอยู่ที่ยอดวิว อยู่ที่อะไรก็ว่าไปอะนะ แล้วสมัยนี้มันเร็วด้วย ขึ้นมาก็ยากแล้ว แถมยังไปก็เร็วอีก หลุดกระแสเร็วอีก เพราะฉะนั้นพี่มองว่าหายหน้าไปยาว ๆ ลุยทำอัลบั้มเต็ม 10 เพลงไม่ตอบโจทย์แล้ว ก็จับซอยเลย ออกเป็นสัก 3 หรือ 4 อีพี ก็ได้

แล้วคำถามต่อไปคือ ออกเป็นซิงเกิ้ลเดี่ยวดีมั้ย  จากที่ลองผิดลองถูกมาก็พบว่าไม่ดี ต่อให้เพลงนั้นมันสำเร็จไปแล้ว สุดท้ายมันก็หายไปจากพื้นที่สื่อเร็วอีกเหมือนกัน ก็เลยทำมาเป็นซีรีส์ ซีรีส์นึงสักประมาณ 3 เพลง เมื่อตัวนึงติด เวลาจะตกกระแสไปมันจะอีกเพลงมาเป็นช่วงต่อให้เรา คือยืดเวลาให้คนได้เห็นหน้าเราได้สักระยะหนึ่งก็ยังดีก่อนที่มันจะไป ก็เลยรู้สึกว่าหนึ่ง เอออันนี้มันตอบโจทย์ดี สองคือคนทำไม่เครียดด้วยนะครับ คนทำก็คือตั้งใจทำ 3 เพลงออกมาให้ดีที่สุด ไม่ต้องใช้เวลามาก ไม่ต้องใช้เงินทุนสูงมากเท่าปล่อยอัลบั้มเต็ม

ก็สรุปได้ว่าแนวทางนี้เวิร์กแฮะ ก็เลยทำเพลงออกมาซีรีส์ละ 3 เพลง ทยอยปล่อยอย่างต่อเนื่องมา 3 ซีรีส์ จนครบเป็นอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า ‘WE ARE NEW OLD’ เรายังเป็นเราในรูปแบบใหม่ ๆ ปรากฎว่ามันตอบโจทย์ และหลัง ๆ การยอมรับจากแฟน ๆ มันดีขึ้น คนเริ่มรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ยังมีพื้นที่ทำงานของโยคียู่ตรงนี้นะ แล้วก็เลยเปิดช่อง Official ใน YouTube ไว้ลงผลงาน เปิดเพจเอาไว้เป็นช่องทางสื่อสารพูดคุย ก็ถือว่ารับมือกับการเปลี่ยนแปลงของวงการได้ระดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเรียนรู้อยู่ด้วยตลอด

“คนที่ทำเพลงมันจะเหมือนได้รับพรเวลาที่ตัวเองทำงานออกมาได้เต็มที่ แล้วตัวเองชอบมัน”

และที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำเพลงอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่ายังมีคนที่ฟังเราอะครับ อันนั้นข้อนึง และอีกอย่างคือ เวลาที่พี่แต่งเพลงแล้วรู้สึกว่ามันเพราะมาก ชีวิตตัวเองนี่มีความสุขไปก่อนแล้ว เพลงยังทำไม่เสร็จ ยังไม่ได้ปล่อยออกมาให้ฟังกัน แต่พี่สุขไปแล้ว พี่ว่าคนที่ทำเพลงมันจะเหมือนได้รับพรเวลาที่ตัวเองทำงานออกมาได้เต็มที่ แล้วตัวเองชอบมัน แค่เรารู้สึกว่าเพลงนี้เพราะมันก็ปิ๊งแล้ว เหมือนคนกำลังตกหลุมรักอะไรบางอย่าง โห มันสวยงาม ซึ่งเพลงที่เพราะมากที่สุด พรล่าสุดที่พี่ได้รับ นี่ปล่อยมาแล้วนะครับ ใน ‘WE ARE NEW OLD’ นี่แหละ” (หัวเราะ)

หลังจากได้คำตอบให้กับชีวิตว่าดนตรีคือสิ่งที่เขารัก บทสรุปคือการตัดสินใจกลับมาเดินหน้า ฝ่าฟัน ลุยงานต่อ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจดนตรี ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เข้ามาให้เขาเรียนรู้ เพื่อปรับตัวและรับมือกับมัน จนกระทั่งการบำเพ็ญเพียรพยายามบนเส้นทางดนตรีที่ผ่านมา กำลังจะตกผลึกเป็นงานคอนเสิร์ตที่เจ้าตัวพูดได้เต็มปากว่าใหญ่ที่สุดในชีวิตศิลปิน และยังเล่าให้เราฟังถึงการเตรียมตัวสำหรับงานใหญ่ครั้งนี้ที่แม้จะต้องเหนื่อยแต่ก็ถือเป็นกำไรชีวิต

 

YOKEE PLAYBOY REBORN CONCERT

ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเป็นคอนเสิร์ตครั้งใหญ่สุดในชีวิตศิลปินของพี่เลย ชีวิตพี่มันเหมือนถูกวางอะไรไว้บางอย่าง คือช่วงที่ผ่านมารูปร่างพี่ไม่เหมือนเดิม ทั้งที่พี่คิดว่าพี่รูปร่างดีกว่าตอนสมัยวัยรุ่นด้วยซ้ำไป เพราะเป็นพ่อคนแล้วจะมาเก้งก้างเหมือนสมัยวัยรุ่นไม่ได้ คิดแบบนั้นก็กินใหญ่เลย แต่คนรอบข้างไม่มีใครเห็นด้วยเลยสักคน แล้วเขาก็จะห่วงเรื่องสุขภาพของพี่ ซึ่งพี่ก็พยายามสะกดจิตทั้งตัวเองและคนอื่น ๆ ว่าเราหุ่นดีนะ แต่มันก็ไม่เป็นผล

จนได้ลองพยายามออกกำลังกายอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เหมือนเราจะเข้าใจผิดอะไรไปบางอย่าง คิดว่าออกกำลังแล้ว หิว จะกินอะไรก็ได้สินะ ก็กินต่อ จนสุดท้ายที่ออกกำลังไปไม่ได้อะไร ได้มาแค่เพลง ‘เท่ากับที่เดิม'(หัวเราะ)

แต่หลังจากผ่านเวลาไปนานพอสมควร สุดท้ายมันก็พอเหมาะพอดี โชคดีที่มีสปอนเซอร์งานคอนเสิร์ตที่เค้าเป็นอาหารเสริมสุขภาพ ซึ่งไม่ใช่ยาลดความอ้วนนะ แค่เสริมด้านโภชนาการ เพราะในขณะเดียวกันนั้นการเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตนี้พี่ยังต้องออกกำลัง คุมอาหาร แบบโหดมาก ตอนนี้รู้แล้วว่าฟิตจริง ๆ เหนื่อยจริง ๆ มันเป็นยังไง บางวันถึงกับหลับน็อคไปเลย

แต่สุดท้ายก็เรียกได้ว่าทุกอย่างมันลงตัวพอดี ได้จัดงานคอนเสิร์ต สุขภาพดีขึ้น ปัญหาไขมันพอกตับ ไขมันในช่องท้อง ที่ทำให้ความฟิตเราหดหาย ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ มั่นใจมากว่ารันคอนเสิร์ตได้จนจบโชว์ ซึ่งมันเหมือนเป็นกำไรชีวิตไปเลย เพราะทุกอย่างมันตอบสนองความต้องการเราไปในทิศทางเดียวกันหมด ทั้งเรื่องสุขภาพ ทั้งเรื่องความอยากในการจัดคอนเสิร์ตใหญ่

 

ก้าวต่อไปของ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’

นอกจากการเตรียมตัวสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ พี่ชายคนนี้ยังเล่าให้เราฟังถึงทิศทางของผลงาน และ ตัวตนของ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ ภายหลังจากการรีบอร์นครั้งนี้ว่า

“ทิศทางต่อไปของโยคีเพลย์บอย คงเป็นเหมือนสิ่งที่สื่อออกมาในงาน ‘WE ARE NEW OLD’ คือวงที่ทำงานมานาน ศิลปินที่ทำงานมาระยะยาว มันจะมีความเป็นตัวของตัวเองอะไรบางอย่างอยู่ แต่ของเราจะเป็น NEW OLD คือเป็นคนที่โตตามวัย แต่ไม่จำเป็นจะต้องแอ๊คว่าฉันโตแล้ว ฉันเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องทำเหมือนว่าตัวเองแก่ งานก็เลยออกมาเป็นแบบผสมผสาน คือยังเป็นตัวเราเองแบบเก่าอยู่ แต่มันก็มีอะไรใหม่ ๆ ผสมลงไปด้วย

อีกเรื่องนึงคืออยากจะร่วมงานกับน้อง ๆ มากขึ้น ถือเป็นอีกเหตุผลที่ออกจากค่าย เพราะเราต้องการที่จะร่วมงานกับน้อง ๆ อีกหลาย ๆ คน ศิลปินอีกหลาย ๆ แนว ต่อยอดจากสิ่งที่พี่อยากกลับมาตั้งใจกับดนตรี นอกจากไปเริ่มศึกษาทฤษฎีดนตรี ก็ยังอยากจะศึกษาเดินทางไปเรียนรู้ดนตรีแนวอื่น ๆ บ้าง เพราะอยากเซอร์ไพรส์ตัวเอง

คือคนเราทำงานมานานจนพอจะรู้สูตร รู้โครงสร้างคร่าว ๆ บางอย่างว่าจะทำเพลงยังไงให้มันเพราะในระดับที่เรารู้เราเข้าใจ แต่การได้ไปอยู่กับดนตรีแนวอื่น งานชิ้นนั้นมันจะคาดการณ์ได้แค่ประมาณนึง แล้วที่เหลือจะเป็นการปล่อยให้ธรรมชาติพามันไปอีกประมาณนึง โดยที่เราไม่รู้ แล้วถ้ามันเพราะขึ้นมานี่มันจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ตัวเอง เป็นความสนุก ความสุข เป็นพลังในการทำงานที่ได้จากการทำเพลงในรูปแบบใหม่ ๆ

แต่ถ้ามันไม่เพราะก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ประสบการณ์ แล้วก็แค่ทำใหม่แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นงานใหม่โยคีเพลย์บอยที่ออกไป จะมีแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนนึงคือส่วนเพลงที่คุณคิดว่าอยากฟังจากเรา อีกส่วนจะเป็นส่วนทดลองของเรา ซึ่งคราวนี้คุณอาจจะไม่อยากฟังก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นแนวทางเดียวจากยุคเริ่มต้นคือเราทำเพลงเพื่อตอบสนองตัวเองก่อน

ส่วนตัวตนของพี่เองใน 10 ปีข้างหน้า ตอนนั้นพี่คงไม่ได้มองอะไรพวกรายละเอียดปลีกย่อยแล้ว ว่าจะยังเท่ ยังเฟี้ยว เหมือนเดิมมั้ย อาจจะเฟี้ยว หรือไม่เพี้ยวก็ได้ สุดท้าย ณ ตอนนั้น ในวัยแบบพี่คงโฟกัสไปที่เรื่องสุขภาพ และก็คงจะทำเพลงอยู่เหมือนเดิม”

จากการพูดคุยถึงเรื่องราวแง่มุมชีวิตด้านต่าง ๆ ที่ผ่านมาตลอด 24 ปีบนเส้นทางดนตรี มันทำให้เราหมดข้อสงสัยว่าทำไมเพลงของพี่ชายคนนี้ยังคงอยู่กับคนทุกยุคสมัย ทำไมเขาคนนี้ยังคงยืนหยัดที่จะบำเพ็ญตบะ เพียรพยายามสร้างงานดนตรีของเขาต่อไปเรื่อย ๆ หากไม่ใช่เพราะความรักในดนตรี รวมถึงทัศนคติที่ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ  ยังคงเป็นโยคีที่ไม่เหน็ดเหนื่อยกับการฝึกตนอยู่เสมอ และก่อนจากกันพี่ชายคนนี้ยังได้ฝากข้อคิดถึงศิลปินรุ่นใหม่ว่า

“ตอนนี้เป็นยุคของน้อง ๆ แล้วครับ ไม่ใช่ยุคพี่ ฝากความหวังไว้กับน้อง ๆ ด้วย ทำมันให้เต็มที่”

“ตอนนี้เป็นยุคของน้อง ๆ แล้วครับ ไม่ใช่ยุคพี่ คือพี่ก็ยังคงทำเพลงของพี่ต่อไป แต่ก็ฝากความหวังไว้กับน้อง ๆ ด้วย ทำมันให้เต็มที่ แล้วก็อยากจะฝากว่าทุกงานทุกอาชีพมันมีเกียรติ อย่างพวกเราคนที่ทำดนตรีก็มีหน้าที่ที่จะทำอย่างไรให้อาชีพเรามีเกียรติ เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรที่มันเป็นยาพิษ ทำอะไรที่มันทำลายชื่อเสียงภาพพจน์โดยรวมของคนทำดนตรี ฝากไว้เท่านี้ครับ มันเป็นยุคของน้อง ๆ แล้วจริง ๆ ฝากด้วย พี่คอยเชียร์

แล้วก็อย่าลืมนะครับ YOKEE PLAYBOY REBORN CONCERT ตอนนี้ยังมีเวลาไปจับจองบัตรเพราะเราเลื่อนการจัดงานจากกำหนดเดิม 14 มี.ค. 63 ไปเป็นวันเสาร์ที่ 11 ก.ค. 63 แทน เพราะห่วงใยในสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19

“เมื่อก่อนคุยเคยอยากเจอผม ตอนนี้เราโตมาด้วยกันจนคุณมีลูก มีหลาน

แล้วปรากฎว่าลูกหลานคุณยังฟังผมอยู่ เพราะฉะนั้นจูงมือกันมาเลยครับ”

แม้จะเลื่อนแต่รับรองว่าความสนุกยังคงเดิม ไม่อยากให้พลาดจริง ๆ เพราะถ้ารอไปงานคอนเสิร์ตแซยิด พี่ก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นรูปไหน แต่ตอนนี้พี่พร้อมมากครับ และสุดท้ายอยากจะบอกว่า เมื่อก่อนคุยเคยอยากเจอผม ตอนนี้เราโตมาด้วยกันจนคุณมีลูก มีหลาน แล้วปรากฎว่าลูกหลานคุณยังฟังผมอยู่ เพราะฉะนั้นจูงมือกันมาเลยครับ ผมอยากเห็นทุกคนมางานนี้ มีเพลงที่ทุกคนคุ้นเคย ที่บรรเลงด้วย Line Up เดิม ๆ จากแต่ละยุค ที่คุณเคยประทับใจ บางคนเครื่องพังไปแล้ว ก็ยังกลับมาฝึกซ้อมเริ่ม Reborn แบบพี่แล้ว งานนี้เต็มที่กันจริง ๆ”

 

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line