แม้เทคโนโลยีล้ำ ๆ ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก ทำให้เราสามารถเข้าถึงเสียงเพลงได้ง่าย เพียงแค่ควักสมาร์ตโฟนออกมาและเสียบหูฟังเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเครื่องเล่นเพลงดี ๆ สักเครื่องก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายผู้รักในเสียงเพลงควรจะมีติดบ้านไว้เช่นกัน เพราะนอกจากเพลงที่เลือกฟังแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของมันยังสามารถบ่งบอกรสนิยมได้ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลใน American Muscle Car คงไม่มีอะไรตอบโจทย์ได้ดีไปกว่า ION : Mustang LP เครื่องนี้ ดีไซน์ของ Mustang LP อาจดูคุ้นตากันดีสำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามซีรีส์ของม้าป่ามานาน เพราะการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจาก หน้าปัดวัดความเร็วของ Ford Mustang ปี 1965 พร้อมปุ่ม Tuning แบบแอนาล็อก ทำให้ตัวเครื่องดูคลาสสิกโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่ม แต่ขณะเดียวกันกลับดูโฉบเฉี่ยวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยงามแล้ว Mustang LP ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งาน แบบ 4 in 1 คือ Turntable , Radio , USB และ AUX ที่สามารถเล่นและอัดเสียงพร้อมรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการ ทั้งยังมีลำโพงภายในขนาด 1.2 วัตต์อีก
เป็นเรื่องที่กำลังฮือฮาใน Reddit เว็บไซต์พูดคุยครอบจักรวาล เมื่อมี User ที่ใช้ชื่อว่า Eriegin โพสต์ภาพรถ Supercar 2 คันจอดในโรงรถสภาพฝุ่นเกาะแน่นพร้อมข้อความว่า “ ถึงจะเต็มไปด้วยสนิมและฝุ่น แต่ Lamborghini Countach ของคุณยายแม่งก็ยังเจ๋งอยู่ดี!” จนทำให้คนคลั่งรถจำนวนมากร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเมามัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาอยากทำหน้าที่หลานชายผู้น่ารัก เลยอาสาทำความสะอาดโรงรถให้คุณย่าของเขา แต่เมื่อเลื่อนประตูโรงรถขึ้นกลับต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อมีรถ Supercar 2 คัน จอดนิ่งสงบเหมือนไม่มีใครเคยแตะต้องเป็นเวลานาน! ความจริงปรากฏเมื่อคุณย่าเล่าให้เขาฟังว่า มันเคยเป็นของปู่ ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในเวลาต่อมาราคาประกันรถยนต์ Supercar ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแพงมาก ๆ เริ่มพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของบริษัท จึงจำเป็นต้องจอดปีศาจทั้งสองตัวทิ้งไว้จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลารวมกันเกือบ 20 ปี รถคันแรกคือ Ferrari 308 GTS สีแดงสด มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร กำลังขับ 237 แรงม้า ซึ่งคาดว่าหากออกขายทอดตลาดราคาจะอยู่ที่ ประมาณ 25,000 – 80,000
กลิ่นเท้าคือสิ่งที่ผู้ชายอย่างเราไม่ควรมองข้าม เพราะมันทำให้เราไม่น่าเข้าใกล้ในสายตาคนอื่นได้ หากหล่อ เท่ มาแต่ไกล แต่ถอดรองเท้าออกกลับมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ปะปนมาด้วย ใคร ๆ ก็คงเบือนหน้าหนี UNLOCKMEN โคตรเข้าใจว่าการรอซัก-ตาก นอกจากต้องมีเวลาว่างแล้ว ยังต้องวัดดวงกับฝนฟ้าที่ตกลงมาแบบไม่เคยให้ได้ตั้งตัวอีก แต่ปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที ถ้ามี Shoe Deodorizer : MS-DS100 เครื่องนี้คอยช่วยชีวิต MS-DS100 ถูกออกแบบและพัฒนาโดย Panasonic โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยี “Nanoe X” ที่มีอนุภาคไอออนพิเศษ คุณสมบัติของมันช่วยขจัด Isovakeric Acid ซึ่งคือการทำปฏิกิริยากันระหว่างเหงื่อที่เท้ากับเชื้อแบคทีเรียที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในรองเท้าผู้ชายอย่างเรานั่นเอง ทั้งนี้ MS-DS100 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้ในบ้านและสะดวกต่อการพกพา ด้วยฟังก์ชันซึ่งถูกออกแบบมารองรับการทำงานร่วมกับแบตเตอรี่โทรศัพท์ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ วิธีใช้ก็เรียบง่ายเพียงแค่วาง Shoe Deodorizer : MS-DS100 ไว้บนรองเท้าคู่ที่ต้องการกำจัดกลิ่น โดยมีโหมดทำงานให้เลือก 2 รูปแบบคือ Normal Mode ที่ใช้เวลาในการกำจัดกลิ่นประมาณ 5 ชั่วโมงหรือ Long Mode ซึ่งใช้เวลา 7 ชั่วโมง
การสั่งซื้อรองเท้าออนไลน์กลายเป็นอีกช่องทางช็อปปิ้งของผู้ชายสาย Sneakerhead อย่างเรา เพราะปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เอื้อให้เราไปซื้อเองที่ร้านอีกต่อไป หรือบางครั้งรุ่นที่ต้องการก็เป็นของหายากซึ่งมีขายแค่ในต่างประเทศเท่านั้น ลำบากต้องมานั่งรอพ่อค้าสายหิ้วไปอีก แต่เมื่อเรากลายร่างมาเป็นนักช็อปฯ ออนไลน์มือใหม่ กลับต้องนั่งกุมขมับงงเป็นไก่ตาแตกกับสารพัด Code แปลก ๆ ที่คนขายพิมพ์ต่อจากชื่อรุ่น ไม่ว่าจะเป็น DS , VNDS , OG , PE , LE สำหรับคนที่โปรอยู่แล้ว คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเป็นบางคนซึ่งยังไม่เชี่ยวชาญ แต่อยากได้รองเท้าดี ๆ มาครอบครองสักคู่แล้วละก็ กว่าจะทำความเข้าใจด้วยตัวเองของจะพาลหมดสต๊อกไปเสียก่อน วันนี้ UNLOCKMEN จะขออาสาไขความกระจ่างของรหัสอักษรเหล่านี้ให้เอง 1. รหัส DS หมายถึง Deadstock DS คืออักษรย่อที่บ่งบอกว่ารองเท้าคู่ดังกล่าวไม่มีวางขายตามร้านทั่วไปแล้ว และไม่มีการเก็บไว้ในสต๊อก พูดง่ายๆ คือขายดีจนเกลี้ยงไปแล้ว บางรุ่นอาจยกเลิกสายการผลิต ไม่มีคู่ใหม่แน่นอน ตัวอย่างเช่น Converse ที่ผลิตใน ปี 60 s , 70 s ,
หลังจากหายหน้าหายตาจากโลกแฟชั่นไปสักพัก ในที่สุดก็กลับมาอีกครั้งสำหรับ Bum Bag , Fanny Pack หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า กระเป๋าสะพายข้าง แต่รอบนี้ดูเหมือนว่าจะเขย่าเงินในบัญชีของเหล่า fashionista ทั้งมือเก๋าและสมัครเล่นได้ไม่น้อย เมื่อมีการโดดเข้ามากินโต๊ะ ร่วมแจมจากแบรนด์ดังต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทำเงินของตัวเองไปหลุดลอยไปสักราย ไม่ต้องแปลกใจสำหรับชื่อของมัน เพราะเป็นแค่เรื่องความแตกต่างของการใช้ภาษาเท่านั้น เพียงแค่ Bum Bag คือคำเรียกของทางฝั่งอังกฤษ ส่วน Fanny Pack เป็นของฝั่งอเมริกานั่นเอง โดยเดิมทีในยุค 90’s Bum Bag เป็นกระเป๋าซึ่งออกแบบมาสำหรับใส่ของมีค่าขนาดเล็ก และคาดไว้ช่วงเอว แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการคาดไว้ที่เอวมีผลกระทบต่อสะโพก ทำให้ความนิยมตกลงไป แต่เมื่อไม่นานมานี้พบว่ามันกำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยเกิดใหม่ในแฟชั่นระดับ Hi-end และเหมือนกระแสจะแรงขึ้นไปอีก ผลพวงจากที่ตัวพ่อในวงการแฟชั่นหลายคน ปรากฏตัวในลุคสตรีท พร้อมกับเจ้า Bum Bag เสมอ ไม่ว่าจะเป็น A$ap Rocky , Pharrell Williams ,
ถือเป็นข่าวดีสำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบในรถยนต์และรักในการชมภาพยนตร์ โดยเฉพาะแฟนของบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) เพราะไม่นานมานี้มีแฟนคลับที่หลงใหลในรถยนต์ของค่ายใบพัดฟ้าขาว ได้ทำการ Remastered หนังสั้นของ BMW Films ทั้งหมด 10 ตอน อัปโหลดให้ทุกคนได้ชมฟรีผ่านทาง YouTube กันแล้ว BMW Films เป็นหนังสั้นที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างยุค 90’s – 00’s ถือเป็นผลงานทรงคุณค่าที่แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างวงการภาพยนตร์และโลกยนตรกรรมที่หลายคนอาจไม่เคยรับรู้ แต่ก่อนจะได้พิสูจน์เรื่องราวทั้งหมดด้วยตาตัวเอง วันนี้มาทำความรู้จักที่มาและรายละเอียดของ BMW Films รวมถึงเหตุผลที่ไม่ควรพลาดหนังทั้ง 10 ตอนนี้ ไปพร้อม ๆ กัน จุดเริ่มต้นของ BMW Films เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค 2000 ในขณะนั้นทางบีเอ็มดับเบิลยู สหรัฐอเมริกา ยังไม่มีการเปิดตัวรถยนต์ครั้งใหญ่ในตลาด และหัวหน้าฝ่ายการตลาดอย่าง จิม แม็คโดเวล ก็ต้องการทดลองใช้กลยุทธ์ใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ผู้ชอบความท้าทายและหลงใหลในการขับขี่ ให้ได้มากขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์รถยนต์ของพวกเขาให้กลายเป็นที่รู้จักมากกว่าเดิม และได้ข้อสรุปว่า “เรามาทำหนังสั้นสำหรับปล่อยบนโลกออนไลน์กันเถอะ!” อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของยุค 2000 การเผยแพร่วิดีโอผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพียงช่องทางเดียวยังคงเป็นเรื่องใหม่
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลในความเร็วและห้วงอารมณ์การขับขี่รถยนต์ที่ท้าทาย ในชีวิตที่เกิดมาเพียงครั้งเดียวคงไม่มีประสบการณ์ใดล้ำค่าไปกว่าโอกาสในการขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงบนสนามที่ขึ้นชื่อว่าท้าทายที่สุดในโลก หากสนามอย่าง Nurburgring (นูร์เบอร์กริง) ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งรถทางเรียบที่ขึ้นชื่อว่าท้าทายมากที่สุด ที่สามารถดึงดูดผู้ชายที่หลงใหลการหลั่งอะดรีนาลีนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน ทางฟากฝั่งของสนามขับรถบนผิวหิมะคงไม่มีสนามไหนที่จะท้าทายและน่าสนใจไปกว่าสนาม Arctic Driving Center, Rovaniemi สนามขับรถบนหิมะสุดแรร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเรากำลังจะพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปทำความรู้จักสังเวียนดริฟต์อุณหภูมิติดลบแห่งนี้ไปพร้อมกัน สนาม Arctic Driving Center, Rovaniemi เป็นสนามขับรถที่ตั้งอยู่ในเมืองโรวาเนียมิ ประเทศฟินแลนด์ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของซานตาครอส โดยสนามแห่งนี้มีช่วงเวลาพิเศษสำหรับเปิดใช้งานซึ่งต้องรอให้ถึงช่วงที่มีอุณหภูมิเหมาะสมในฤดูหนาวที่หนึ่งปีเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น โดยสนามหิมะแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในทิวป่าสนที่สวยงามและตั้งอยู่ห่างจากเส้นสูงสุดไม่เกิน 10 กิโลเมตร ทำให้มีอุณหภูมิในฤดูหนาวอยู่ที่ประมาณ 4 ถึง -8 องศาเซลเซียส แน่นอนว่าสภาพอากาศหนาวเหน็บแบบนี้มันคือสิ่งที่จะมากระตุ้นให้การขับขี่ท้าทายขึ้นกว่าเดิม และในปีนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษสำหรับชาวไทยเพราะบีเอ็มดับเบิลยูได้จัดทริป JOY GO ICE DRIVING EXPERIENCE – Rovaniemi ที่จะพาผู้เข้าร่วมเดินทางทุกคนได้สัมผัสห้วงอารมณ์ของการขับขี่รถยนต์บนสนามหิมะ มาชมบรรยากาศที่น่าสนใจในทริปนี้ไปพร้อมกัน สมาชิกทริป JOY GO ICE DRIVING EXPERIENCE – Rovaniemi เป็นคนกลุ่มแรกที่เดินมาประเดิมสนาม
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสำหรับประชาชนทั่วไปที่กำลังคิดจะซื้อบ้าน ซื้อสินทรัพย์ใหญ่ ๆ เช่น รถยนต์ ต้องติดตามสองมาตรการที่กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก สองมาตรการดังกล่าว ได้แก่ มาตรการ LTV (Loan-To-Value) และ DSR (Debt Service Ratio) ก่อนเราจะมารู้จักมาตรการทั้งสองตัวขอฉายภาพของ “หนี้ครัวเรือน” ในประเทศไทยเสียก่อน จากภาพเราจะพบว่า หนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยมีกว่า 15 ล้านล้านบาทในปี 2019 และเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กว่า 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเห็นแนวโน้มการเติบโตของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL เพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2016 ที่มีหนี้เสียเพียง 3.8 แสนล้านบาท และนั่นคือที่มาของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องออกมาตรการดังกล่าวเพื่อยับยั้งการเติบโตของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้ มาตรการ LTV (Loan-To-Value) คืออะไร ? มาตรการ LTV (Loan-To-Value) คือ เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ โดยรายละเอียดของมาตรการนี้มีดังต่อไปนี้ สัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังแรก สามารถกู้ได้ 100% ไม่เปลี่ยนแปลง สัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่สอง
ใกล้สิ้นปีกันอีกแล้ว เป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ต้นปีเป็นอย่างไรกันบ้าง ? บางคนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่หลายคนอาจจะยังทำไม่ได้ นั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การเดินหน้าต่อไป เพราะเวลายังเหลือ! ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ โดยเฉพาะการลงทุน สำหรับการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ เราต้องคิดต้องทำเสียแต่บัดนี้แล้ว เพราะใกล้สิ้นปีเต็มที ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วง “มรสุม” สำหรับการลงทุน สินทรัพย์หลายตัวตกลงมาอย่างน่าใจหาย และนั่นคือ “โอกาสในวิกฤต” ส่วนมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลย “อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี ที่ถูกลดราคาลงมา” สิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับปีนี้หลายคนคงเห็นแล้วว่า ภาคเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งตกต่ำลงมาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนโดมิเนียม ที่แม้จะอยู่ในทำเลที่ดีมากแต่มีราคาถูกลงเหลือเชื่อ หากติดตามตัวเลขสถิติจะพบว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่ราคาขายต่อตารางเมตรจะลดลง ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจไม่สามารถซื้ออสังหาฯ ทำเลดี ๆ แบบนี้ได้ในราคาที่ทั้งลดทั้งแถม เหมาะกับการวางแผนการลงทุนแบบนี้ คนที่มีเงินในการช้อปฯ อสังหาฯ ช่วงนี้ถือเป็นช่วงฟ้าเปิด ทำเลดี เพราะราคาส่วนลดกับออพชั่นน่าเล็งใกล้สถานีรถไฟฟ้า หลายทำเล แบรนด์ดัง ๆ พาเหรดกับลดราคาลงมา และหลายที่ Developer เองเป็นผู้ลดราคาเสียด้วย เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้เขาต้องขายสินค้าไม่ให้ค้างสต๊อก เพื่อให้ได้เงินนำไปจ่ายค่าก่อสร้างโครงการ แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นโอกาสคงไม่ได้แล้ว เมื่อโอกาสเป็นของผู้ซื้ออย่างเราตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องเลือกเสียหน่อย “หุ้นสามัญ