ผู้ชายอย่างเราต่างหลงใหลในความสนุกและบรรยากาศของเทศกาลดนตรีคุณภาพ และในปีที่ผ่านมาหากใครมีโอกาสเดินทางไปร่วมสนุกกับงาน JAM FEST ซึ่งจัดขึ้นโดยค่ายเพลง What The Duck และ Jameson คงจะรู้สึกได้ถึงความสนุกสนาน รวมถึงได้ซึมซับประสบการณ์ทางดนตรีอันยอดเยี่ยม จนต้องเฝ้ารองานครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น มาในปีนี้เทศกาลดนตรีอย่าง JAM FEST กลับมาอีกครั้งแบบยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม แต่ก่อนที่เราจะได้พบกับความสนุกของ JAM FEST 2019 เรามาอุ่นเครื่องด้วยการทำความรู้จัก ความเป็นมา รวมถึงสิ่งพิเศษที่เราจะได้พบกันในงานครั้งนี้ ผ่านบทสนทนากับสองหัวเรือใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง พี่มอย-สามขวัญ ต้นสมพงษ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งค่ายเพลง What The Duck และคุณเควนติน จ็อบ Managing Director จาก Pernod Ricard Thailand เริ่มกันที่คุณเควนติน จ็อบ ปีนี้เป็นปีที่เท่าไหร่ของการทำงานในประเทศไทยแล้ว หลังจากเข้ามาทำงานในเมืองไทย มองเห็นทิศทางและความท้าทายอะไรในตลาดเครื่องดื่มของเมืองไทยบ้าง คุณเควนติน: ผมเริ่มต้นทำงานกับทาง Pernod Ricard Thailand มาประมาณ 20 ปี ส่วนในประเทศไทยปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 แต่ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสมาประเทศไทยเมื่อ
นับตั้งแต่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศสหรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ นโปเลียน โบนาปาร์ต สั่งให้ช่างทำนาฬิกาสร้างนาฬิกาแบบผูกข้อมือขึ้นเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับ โฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน มเหสีพระองค์แรกในปี ค.ศ. 1806 ใครจะคิดว่าของขวัญที่เกิดจากความรักชิ้นนี้จะกลายมาเป็นต้นแบบของนาฬิกาข้อมือ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ระยะเวลากว่า 200 ปีที่เครื่องประดับอย่าง “นาฬิกาข้อมือ” ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกพัฒนาให้มีเหมาะสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานดีไซน์หรือระบบการทำงานที่เทคโนโลยีมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง จนกาลเวลาเดินทางมาถึงปัจจุบันซึ่งนาฬิกาข้อมือกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับทุกคน สำหรับผู้ชายอย่างเรานาฬิกาข้อมือไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับที่ใช้ดูเวลาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรือนเวลาที่เราสวมใส่บนข้อมือในทุก ๆ วัน ปัจจุบันกลายมาเป็นตัวแทนของการแสดงออกในเรื่องรสนิยมและความหลงใหล รวมถึงบอกเล่าตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะเป็นหนุ่มที่ชื่นชอบในมนต์เสน่ห์ของงานออกแบบสุดคลาสสิกหรือหลงใหลในนวัตกรรมและงานดีไซน์สมัยใหม่ นาฬิกาบนข้อมือก็สามารถบอกเล่าถึงตัวตนที่แท้จริงของเราได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันแบรนด์นาฬิการะดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Swatch® (สวอท์ช) ก็เข้าใจถึงความต้องการด้านต่าง ๆ จากผู้คนที่หลงใหลในนาฬิกาเป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาทำการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างนาฬิกาข้อมือที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนทุกเจเนอเรชัน โดยแนวความคิดทั้งหมดได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านคอลเลกชันนาฬิกาที่ชื่อว่า SKIN Irony การพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานจาก Swatch® ไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จในค่ำคืนเดียว เพราะกว่าจะถือกำเนิดเป็น Skin Irony ที่อยู่ในคอลเลกชันประจำฤดูหนาวของปีนี้ขึ้นมาต้องบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น โดยย้อนกลับไปในปี 1997 ซึ่งเป็นปีที่ Swatch ® เปิดตัวคอลเลกชันนาฬิกาอย่าง SKIN
รถยนต์คลาสสิกของโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ถือเป็นยนตรกรรมรุ่นเก๋าที่แม้วันเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปนานแค่ไหน วิ่งสู้แดดร้อน โต้สายฝนและลมหนาวมากเพียงใด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเก่าหรือใหม่ ก็ยังคงได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลกอยู่เสมอ รวมถึงในประเทศไทยเรา ทุกคนคงคุ้นเคยกันดีกับสัญลักษณ์ “VW” เพราะยนตรกรรมคลาสสิกแบรนด์นี้ เป็นสิ่งที่หนุ่ม ๆ หลายคนหลงใหล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านรูปลักษณ์ เอกลักษณ์ หรือเพราะความชื่นชอบที่ส่งต่อภายในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น กาลเวลาที่ผ่านมาไม่เคยลบโฟล์คสวาเกนลงจากท้องถนนได้เลย ด้วยความนิยมและราคาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แบรนด์จึงถูกตีตราเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนสำหรับคนบางกลุ่ม จนบางครั้งเรื่องราวที่มีของรถและคุณค่าทางจิตใจถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะวันนี้ในประเทศไทยยังคงมีผู้คนมากมาย ที่หลงมนต์เสน่ห์และเรื่องราวทรงคุณค่าในรถโฟล์คสวาเกนแต่ละคันอยู่ หนึ่งในนั้นคือ คุณจุ–จุรีพร กมลธรรมกุล คุณเจ-ธเนส กมลธรรมกุล และ คุณรัตน์–จุรีรัตน์ กมลธรรมกุล 3 พี่น้องที่นำความรักมาก่อตั้ง Volkstory BKK สถานที่ที่เริ่มต้นจากคนที่ชื่นชอบการปรับแต่งรถโฟล์คสวาเกนเป็นของตัวเองอย่างพวกเขา ที่พัฒนาสู่การสร้างธุรกิจร้านขายอะไหล่และรับซ่อมรถ รวมทั้งสร้างเพจ (ใช้ชื่อเดียวกัน) เพื่อเล่าเรื่องราวความชอบนี้เผยแพร่สู่สาธารณะ ธุรกิจความรักที่เน้นการ “บอกเล่าเรื่องราวที่มีระหว่างรถและตัวบุคคล” มีจุดประสงค์เพื่ออะไร ? เริ่มต้นมาจากตอนไหน ? วันนี้มาทำความรู้จัก Volkstory BKK ให้เข้าใจมากขึ้นไปพร้อมกับเราได้เลย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ VolkStory BKK ให้ฟังหน่อยครับ
หากจะกล่าวถึงวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จ และเข้าถึงมวลชนมากที่สุดในยุคนี้ ชื่อต้น ๆ ที่หลายคนคิดถึงคงจะหนีไม่พ้น Coldplay ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 2000 กับอัลบั้มชุดแรกที่มีชื่อว่า Parachutes ซึ่งเพลงฮิตอย่าง Yellow ก็อยู่ในอัลบั้มนี้เนี่ยแหละ จากวันนั้นจนวันนี้ พวกเขามีสตูดิโออัลบั้มมาแล้ว 7 ชุด ล่าสุดก็คืออัลบั้ม A Head Full of Dreams (2015) ที่ทัวร์ขายบัตรหมดเกลี้ยงราชมังฯ ไปเมื่อปี 2017 เล่นเอาการคมนาคมย่านรามคำแหงเข้าสู่สภาวะ ‘นรกแตก’ จนเป็นที่โจษจันยันทุกวันนี้ หากนับจากอัลบั้ม A Head Full of Dreams วันเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ 5 ปีแล้ว และในที่สุด เราก็ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป Coldplay ได้ออกมาประกาศชื่อสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 8 พร้อมกำหนดการปล่อยออกมาเป็นที่เรียบร้อย แต่! ไม่ได้ออกมาบอกแบบธรรมดา ๆ เพราะเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา พวกเขาได้ประกาศมันลงบน North Wales Daily
หากจะกล่าวคำว่า “พังก์” (Punk) หลาย ๆ คนคงมีภาพจำในใจที่แตกต่างกันออกไป บางคนคิดไปถึงเหล่าวัยรุ่นอังกฤษ ทรงผมชี้แหลม สวมปลอกคอหนาม และรองเท้าหนัง Underground บ้างเป็นวัยรุ่นอเมริกัน ผมยาว สวมแจ็คเก็ตหนัง หรืออาจข้ามสัญชาติกลับมานึกถึงวงดนตรีแนว J-Rock จากญี่ปุ่น วัฒนธรรมพังก์ ถือกำเนิดตั้งแต่ยุค 70’s พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีทัศนคติ วิถีคิด แฟชั่น และรสนิยมทางดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ มันชัดเจนมากเสียจนทำให้คนธรรมดาสามัญรับรู้ได้ว่า อะไรที่เห็นแล้วรู้สึกว่า ‘พังก์’ โดยไม่ต้องทำความเข้าใจเชิงลึกเสียด้วยซ้ำ สำหรับกลุ่มคนที่ยังดำรงและขับเคลื่อนในวัฒนธรรมนี้ มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน BKK PUNK BannBar ร้านเล็ก ๆ กลางซอยรางน้ำคือหนึ่งในสถานที่ที่ชาวพังก์ไทยมักมารวมตัวกัน เริ่มต้นจาก ‘ฉัตร’ และ ‘ปุ้ย’ สองพี่น้องผู้รักในดนตรี วิถีคิด ศิลปะ และแฟชั่นพังก์ ครอบครัวของพวกเขาทำร้าน BaanBar มายาวนานกว่า 12 ปี ต่อมาที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งรวมตัวคนที่ชอบอะไรเหมือนกันไปโดยปริยาย เมื่อเราถามถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขา คำตอบส่วนมากมักเกิดจากความสนใจดนตรี การบอกปากต่อปาก รุ่นพี่รู้จักรุ่นน้อง
ถ้าพูดถึงแบรนด์นาฬิกาที่ชอบ Collaboration ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงนาฬิกาจากเกาะญี่ปุ่นอย่าง Casio และ Seiko ที่ชื่นชอบการปล่อยคอลเลกชันพิเศษจากมังงะและภาพยนตร์จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อดึงดูดแฟน ๆ จากกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่ชอบนาฬิกา แต่หากมองไปยังแบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ที่ชื่นชอบการ Collaboration เป็นชีวิตจิตใจก็คงหนีไม่พ้นแบรนด์ที่ชื่อว่า Romain Jerome มาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนคงร้องอ๋อกันแล้วเพราะ Romain Jerome หรือที่กลุ่มนักสะสมนาฬิกาเรียกสั้น ๆ ว่า RJ เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ชอบ Collaboration กับทุกอย่างบนโลกใบนี้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมสุดวินเทจอย่าง PAC-MAN, Super Mario หรือเกมตัวต่อขวัญใจรุ่นใหญ่ Tetris ไปจนถึงภาพยนตร์ในตำนานเรื่อง Titanic หรือจะเป็นฮีโร่แห่งรัตติกาลประจำเมืองกอตแทม Batman และตัวร้ายจากเมืองเดียวกันอย่างเรื่อง Joker ทาง RJ ก็เคยร่วมออกคอลเลกชันแล้วทั้งสิ้น และที่ UNLOCKMEN ยกตัวอย่างมาก็เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของการ Collaboration ของแบรนด์ Romain Jerome การเลือก Collaboration ครั้งนี้ของ Romain Jerome คือค่ายผู้สร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่รับความนิยมมากที่สุดในโลกตอนนี้อย่าง Marvel
ตั้งแต่ที่โลกของเรามีสิ่งที่เรียกว่า ‘กล้องถ่ายรูป’ เรื่องราวที่เราไม่เคยเห็น ผู้คนที่อยู่กันคนละมุมโลกหรือมนุษย์จากต่างยุคสมัยก็สามารถพบเห็นกันได้ผ่านรูปถ่าย เทคโนโลยีสามารถทำให้เราท่องไปได้ทุกมุมโลกโดยไม่ต้องก้าวออกจากบ้าน เพียงแค่เปิดดูรูปถ่ายเราก็สามารถมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์และความทรงจำต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย นอกจากพื้นที่แสนไกลคนละขอบโลก ยังมีโลกใบเล็กที่เราจะไม่สามารถเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน แต่ปัจจุบันเราสามารถมองผ่านเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างกล้องจุลทรรศน์ได้แล้ว มุมมองใหม่ที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านี้เองคือเสน่ห์ที่ทำให้แบรนด์กล้องถ่ายรูปอย่าง Nikon จัดนิทรรศการประกวดภาพถ่ายมาโครมาตลอด 45 ปี งานประกวดภาพถ่ายโลกใบเล็กที่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามีชื่อว่า Nikon Small World Photomicrography ที่ยินดีรับภาพถ่ายโมโครจากนักถ่ายภาพทั่วโลกไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นช่างภาพมืออาชีพหรือมือสมัครเล่น และงานประกวดภาพถ่ายมาโครก็ยังได้รับความสนใจจากผู้คนหลากหลายวงการไม่เพียงช่างภาพเท่านั้น เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาไปจนถึงแพทย์จำนวนไม่น้อยก็ส่งภาพถ่ายของตัวเองเข้าประกวดด้วยเช่นกัน การแข่งขันในปี 2019 ถือว่าร้อนแรงไม่แแพ้ปีไหน ๆ คณะกรรมการที่เชี่ยวชาญเรื่องของกล้องจุลทรรศน์พิจารณาภาพถ่ายกว่า 2,000 ใบที่ส่งเข้าประกวด โดยภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นผลงานของ Teresa Zgoda และ Teresa Kugler ที่กดชัตเตอร์ส่งรูปตัวอ่อนของเต่าที่กำลังเติบโต และยังมีผลงานที่น่าสนใจอีกหลายชิ้นเผยโลกในมุมที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ผลงานทั้งหมดที่เรานำมาให้ดูเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของโลกใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหรือมวลวัตถุขนาดจิ๋ว
อาชีพตัวตลกคืองานสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ฟัง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่หลงรักตัวตลกเพราะพวกเขาใจดี บางคนชื่นชอบการดูโชว์ตลกเพราะอยากเจอเรื่องสนุกที่ช่วยทำให้หัวเราะได้แม้วันที่แย่ที่สุด หรือแค่ต้องการหัวเราะเยาะใครสักคนโดยไม่โดนโกรธ รอยยิ้มสีแดงจากลิปสติกที่ซ่อนริมฝีปากกับใบหน้าที่แท้จริงไว้ กิริยาร่าเริง สดใส ละลายความหม่นหมองชั่วขณะชวนให้ผู้คนอยากทำความรู้จัก ทำให้ไม่เห็นจุดประสงค์แท้จริงที่บางครั้งอาจสวนทางกับการแสดงออกภายนอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้หนทางการเป็นตัวตลกทำให้คนตายใจ ไม่ทันระวังตัวว่าภัยร้ายภายใต้เสียงหัวเราะกำลังพรากชีวิตไปตลอดกาล ภูมิหลังน่าเศร้าของฆาตกรตัวตลก เรื่องราวสะพรึงกลัวภายใต้ภาพลักษณ์ขบขันเป็นกันเองเริ่มต้นขึ้นราวช่วงปี 1970 มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ John Wayne Gacy ทำอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอยู่ในเมืองชิคาโก เขาเป็นที่รู้จักของคนในชุมชนด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร ชื่นชอบการช่วยเหลือสังคม เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน พ่อพระอย่าง John Gacy ก็ไม่รอช้าใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการแต่งตัวเป็นตัวตลกสร้างเสียงหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ตามโรงพยาบาล ร่วมเดินขบวนพาเหรด ทำให้เขาถูกเรียกว่า “ตัวตลก Pogo” ทั้งหมดที่กล่าวมาคือภาพจำของคนทั่วไปเกี่ยวกับ John Gacy สุภาพบุรุษใจบุญผู้ไม่มีพิษมีภัย แต่เบื้องหลังชีวิตที่เขาไม่ได้นำเสนอกลับเต็มไปด้วยความดำมืด John เติบโตมาในครอบครัวขนาดกลาง เป็นลูกชายคนที่สองจากทั้งหมดสามคน โดยมีพ่อผู้เคยรับหน้าที่ทหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งต่อมาหลังปลดประจำการได้เปิดร้านซ่อมรถยนต์เลี้ยงชีพ พ่อของ John มักใช้ความรุนแรงกับเขา กิจกรรมยามว่างคือการฟาดลูกชายด้วยเข็มขัดหนังเต็มแรง หรือฟาดเขาด้วยด้ามไม้กวาดที่ศีรษะจนหมดสติ เพราะเขามองว่าเด็กผู้ชายที่แท้จริงจะต้องมาดแมนสมชายชาตรี แต่ลูกชายคนที่สองอย่าง John กลับผอมแห้งบอบบางและมีท่าทางตุ้งติ้งคลายเด็กผู้หญิง
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แทบไม่อยากจะเชื่อว่าประโยคข้อคิดของ “ซุนวู” นักปราชญ์ผู้เขียนตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ อันเป็นตำรายุทธศาสตร์ทางทหารที่มีอิทธิพลมากของจีน จะสามารถนำมาปรับใช้ในเชิงธุรกิจหรือแม้แต่ในชีวิตจริงของใครหลายคนได้ ยิ่งเราเรียนรู้ข้อมูลของคู่แข่งมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเอาชนะพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ต่อให้คุณจะเจอกับความล้มเหลวและผิดพลาดมากสักแค่ไหนก็ตาม มันกลับแปลว่าคุณเริ่มเข้าใกล้ความสำเร็จและเป้าหมายที่ตั้งไว้เบื้องหน้ามากขึ้นทุกที ถึงจะทราบดีว่าหนทางแห่งความสำเร็จนั้นมีอุปสรรคและความล้มเหลวมาคอยขัดขวาง แต่ต้องยอมรับว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งบั่นทอนกำลังใจของผู้ชายเราไปไม่น้อยเลย วันนี้ UNLOCKMEN เลยมาบอก 3 กลยุทธ์ที่จะทำให้คุณ ‘เลิกกลัวความล้มเหลวในชีวิต’ และมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จที่ตั้งไว้โดยไร้กังวล เปลี่ยนความคิด กลยุทธ์แรกในการเอาชนะความล้มเหลวคือต้องเปลี่ยนแปลงความคิด จากที่จดจ่ออยู่กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ให้คิดเสียว่ามันเป็นการเรียนรู้แบบต่อเนื่องและเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นโอกาสใหม่ของการเรียนรู้ ความผิดพลาดและความล้มเหลวในอดีตจะช่วยให้คุณมีประสบการณ์ และสร้างภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยพลาดกับเรื่องอะไรสักครั้งในชีวิต ตั้งค่าความกลัว อีกกลยุทธ์ที่จะเอาชนะความล้มเหลวคือการตั้งค่าความกลัว โดยจินตนาการถึงความล้มเหลวที่คุณกลัวที่สุดในชีวิตหรือสถานการณ์เลวร้ายที่ยากจะรับมือ จากนั้นให้ลองคิดวิธีการป้องกันสิ่งที่คุณไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริงนั้น กลยุทธ์นี้จะช่วยให้คุณเลิกกลัวความล้มเหลวและพร้อมรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะคุณได้คิดขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เข้าใจความล้มเหลว ความล้มเหลวถือเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตหรือหนึ่งส่วนของความสำเร็จเลยก็ว่าได้ แม้แต่ชายที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ก็เคยพลาดพลั้งและล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น แต่พวกเขายอมที่จะล้มเหลวเพื่อเรียนรู้และเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องปกติของชีวิต บางครั้งทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้เสมอ แต่เมื่อคุณเข้าใจสัจธรรมแห่งความล้มเหลว คุณจะมองเห็นความล้มเหลวเบื้องหน้าเป็นอีกเส้นทางที่จะพาคุณไปเหยียบเส้นชัยที่เรียกว่าความสำเร็จ แม้แต่ Steve Jobs พ่อของสถาบัน Apple ยังเคยล้มเหลวกับการลงทุนธุรกิจคอมพิวเตอร์ Lisa ในปี 1983 เขาผิดหวัง ท้อแท้ และล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป แต่เขากลับลุกยืนอีกครั้งอย่างกล้าหาญ เดินต่อ และเอาชนะความล้มเหลวในอดีต
หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสวีเดนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อปี 2015 รัฐบาลสวีเดนเปิดประเทศต้อนรับประชาชนกว่า 160,000 คน ให้เดินทางมายังประเทศตน โดยผู้ลี้ภัยเหล่านี้มาจากหลากหลายประเทศด้วยกัน และต่างมองหาสถานที่พักพิงทั้งร่างกายตลอดจนจิตใจ ในบรรดาหลากชนชาติที่เข้ามาอยู่ในสวีเดน มีชาวอัฟกานิสถานมากถึง 24,000 คน ที่ถูกเนรเทศออกมาจากประเทศบ้านเกิดของตน แต่ตอนนี้รัฐบาลสวีเดนกลับเปลี่ยนแผนและเลือกจะส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศ ทำให้มีผู้ลี้ภัยบางส่วนที่สามารถอาศัยอยู่ในสวีเดนเพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยม แต่ที่เหลือจำเป็นต้องส่งกลับตามกฎหมายและข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่รัฐบาลสวีเดนและอัฟกานิสถานทำร่วมกัน Skaparkollektivet Forma กลุ่มศิลปินชาวสวีเดนที่เชื่อว่าศิลปะและความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญต่อสังคม จึงตอบสนองความอยุติธรรมนี้ด้วยการสร้างผลงานศิลปะจัดวาง หรือ Installation Art จำนวน 17,000 ชิ้น เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนจัดการกับปัญหาผู้ลี้ภัยด้วยวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ โปรเจกต์ศิลปะ ‘17,000’ สะท้อนถึงตัวเลขตัวผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานที่คาดว่าจะถูกเนรเทศออกจากสวีเดน และต้องกลับไปใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิดของตน ผลงานประติมากรรมชิ้นนี้จัดวางเป็น 34 เฟรม แต่ละเฟรมประกอบไปด้วยงานแกะสลักทำมือจำนวน 500 ชิ้น นอกจากผลงานศิลปะ 17,000 ชิ้นจะถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ยังแฝงอุดมการณ์อันแรงกล้าของศิลปินกว่า 1,500 คนที่ถ่ายทอดลงไปในผลงานชิ้นนั้น ๆ แม้ 17,000 จะเป็นงานฝีมือที่มีสีสันแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ดูจากภาพรวมแล้วไม่มีชิ้นใดที่โดดเด่นมากหรือน้อยไปกว่ากันเลย ‘17,000 by Skaparkollektivet Forma’ นำศิลปะมาเป็นเครื่องมือทรงพลังที่กระตุ้นความคิด และบอกเล่าเรื่องราวที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของผู้ลี้ภัย