การ์ตูนญี่ปุ่นหรือมังงะ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับผู้ชายไทยมาตั้งแต่เด็กจนโต บางคนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็อาจเลิกอ่านมังงะหันไปชื่นชอบสิ่งอื่นแต่สำหรับใครหลายคนมังงะเหมือนกับเพื่อนคู่ใจที่โตมาด้วยกัน เพราะไม่ว่าวันไหนที่เหนื่อยจากการเรียนหนัก หรือท้อจากชีวิตการทำงาน เพียงแค่กลับมาที่ห้องและพักผ่อนไปกับการ์ตูนเรื่องโปรดก็สามารถทำให้เรามีแรงไปสู้ต่อในวันรุ่งขึ้นได้แล้ว UNLOCKMEN ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มคนที่เติบโตมากับมังงะด้วยเช่นกัน จึงทำให้เราอยากพาหนุ่ม ๆ ทุกท่านมาพบกับ 5 อันดับมังงะจาก Shonen Jump นิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ของสำนักพิมพ์ Shueisha ที่ตีพิมพ์มานานกว่า 51 ปี ว่ามังงะเรื่องไหนจะโดดเด่นทั้งเรื่องราวและตัวละครจนได้รับความนิยมจากผู้ชมมาโดยตลอด อันดับ 5 SLAM DUNK ถ้าพูดถึงมังงะเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลใคร ๆ ก็จะต้องพูดถึงเรื่อง Slam Dunk อย่างแน่นอน ผลงานจากอาจารย์ Inoue Takehiko ทั้งหมด 31 เล่ม สามารถจำหน่ายได้มากกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก Slam Dunk เป็นมังงะที่สามารถถ่ายทอดความสุขและความเศร้าของเหล่านักกีฬาจำเป็นได้อย่างครบถ้วน เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กอันธพาลเกลียดการเล่นบาสฯ แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเดินเข้าสนามแข่งเพื่อแย่งลูกกลม ๆ ยัดลงห่วง เพียงเพราะสาวที่เขาแอบปลื้มชื่นชอบนักกีฬาบาสเกตบอล จึงทำให้เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเด็กหนุ่มไม่สนใจกีฬาบาสได้มาอยู่ในวงการ สัมผัสกับความฝันของคนในทีม
บ่อยครั้งที่โลกของแฟชั่นนิยมหยิบตัวแทนของศาสนาอย่างศาสดามาอยู่บนไอเทมแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นสไตล์หรูหราแบบชนชั้นสูงไปจนถึงแฟชั่นของเหล่าวัยรุ่นชาวสตรีต และตอนนี้ก็มีคนนำ ‘จีซัส’ หรือหลายคนรู้จักในนามของ ‘พระเยซู’ มาอยู่บนแฟชั่นคูล ๆ ของชาว Hiphop อีกครั้ง ดีไซเนอร์ผู้เอาจีซัสมาอยู่บนไอเทมแฟชั่นที่ว่าก็คือ Kanye West นักร้องนักแต่งเพลงและดีไซเนอร์ที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขา ล่าสุดเขากำลังจะออกอัลบั้มใหม่ชื่อว่า Jesus is King พร้อมกับรายชื่อเพลงที่เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดอย่าง God is, Baptized, Sunday หรือ Sweet Jesus แต่ก่อนจะปล่อยเพลงเขาก็ปล่อยแฟชั่นไอเทมเรียกน้ำย่อยเหล่าสาวกกันก่อน คอลเลกชันเครื่องแต่งกาย Jesus is king ของ Kanye West ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะคริสเตียนหรือ Christian art ภาพวาดในโบสถ์คาทอลิกต่าง ๆ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูจากพันธสัญญาใหม่ ศิลปะทรงคุณค่าที่ข้ามผ่านกาลเวลาพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์และหัวใจของการวาดภาพเรื่องราวของเทพเจ้าและพระเยซู West จดจำศิลปะที่พบเห็นจากโบสถ์ต่าง ๆ กลับมาประยุกต์ด้วยลายเส้นและสไตล์ของตัวเอง จนในที่สุดก็เกิดคอลเลกชันเสื้อผ้าเท่ ๆ ชื่อว่า Jesus is king โดยไอเทมจะมีทั้งเสื้อยืดสีพื้นอย่างขาว
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพกำแพงเมืองจีนที่ใช้โครงสร้างอิฐก้อนใหญ่ถมทับด้วยดินเหลืองและเศษหินความยาว 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศแดนมังกร และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ในอดีตกำแพงอิฐที่ทอดยาวนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานดินแดน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันล้ำค่า ที่เป็นรากฐานให้งานออกแบบชนิดอื่น ๆ นอกจากไม้ที่เป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมจีน การออกแบบพื้นที่ให้กว้างขวางก็เป็นอีกเอกลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทีมสถาปนิกของ Zaha Hadid Architects จึงหยิบโครงสร้างสถาปัตยกรรมจีนโบราณผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ จนออกมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง-ต้าซิง ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลงตัว แม้อาคารผู้โดยสารขนาด 700,000 ตารางเมตร จะดีไซน์ออกมาให้กะทัดรัด แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 72 ล้านคนต่อปี โครงสร้างของอาคารผู้โดยสารถูกล้อมด้วยหลังคากระจกที่เป็นเหมือนสกายไลต์ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติ พร้อมสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ให้กับเหล่านักท่องเที่ยว ที่นี่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ระบบดูดความร้อนจากชั้นพื้นดิน ทั้งยังออกแบบช่องทางลำเลียงน้ำฝนและมีระบบจัดการน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การออกแบบภายในถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่เน้นหนักในการจัดพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้แบบ open plan จากจุดศูนย์กลางของท่าอากาศยานผู้โดยสารสามารถเดินเชื่อมไปยังเครื่องบินโดยตรงผ่านประตูทั้ง 79 แห่ง เมื่อมองจากมุมสูงท่าอากาศยานแห่งนี้จะมีรูปทรงคล้าย ๆ ปลาดาว 5 แฉก ที่ไม่เพียงสวยงามแปลกตา
ผู้ชายหลายคนในโลกนี้มีความคิดว่า สรีระของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายเป็นความสวยงามทางธรรมชาติ น่ามอง และเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ภายใต้ทรวงอกที่ใครหลายคนหลงใหลก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans ขอเป็นตัวแทนบอกเล่าปัญหาดังกล่าวในแบบของตัวเอง ไอเทมแฟชั่นคอลเลกชันนี้ของ Vans ที่ว่าด้วยหน้าอกของหญิงสาว ไอเดียดังกล่าวเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ Vans กับ CoppaFeel! องค์กรของประเทศอังกฤษ เพื่อให้ชายหญิงตระหนักถึงปัญหามะเร็งเต้านมที่ใครหลายคนมองข้าม แต่ถ้าจะมานั่งเล่าให้ผู้ชายพาแฟนไปตรวจหน้าอกที่โรงพยาบาลก็คงจะน่าเบื่อจนไม่มีใครฟัง Vans จึงทำให้ผู้คนตระหนักด้วยศิลปะอาร์ต ๆ บนเครื่องแต่งกายแทน คอลเลกชันหน้าอกของหญิงสาวจาก Vans บอกเล่าผ่านศิลปะบนไอเทมหลากหลาย เช่น รองเท้า 3 แบบของแบรนด์ทั้ง Sk8-Hi, Slip-On, Era รองเท้าแตะ เสื้อเชิ้ต ฮู้ด เสื้อยืด หมวก และกระเป๋าเป้สะพายหลัง โดยจะใช้ลายกราฟิกหน้าอกของผู้หญิงแต่งแต้มอยู่ในไอเทมต่าง ๆ รองเท้าหุ้มข้อสีดำตัวชูโรงของคอลเลกชัน ประทับลวดลายของหญิงสาวสัญชาติต่าง ๆ ทั้งสาวผิวขาวผมทอง สาวผิวแทนผมดำ สาวเอเชีย และผู้หญิงผิวสีเพื่อความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ หญิงสาวทุกคนในภาพจะเปลือยอก บางคนก็เอามือมาปิดป้องหน้าอกบ้าง เพื่อเน้นย้ำถึงคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมที่เท่แถมยังไม่น่าเบื่อ รองเท้าผ้าใบอีกสามคู่ทั้งก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันลวดลายเท่ ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างรองเท้าจะเป็นช่องสี่เหลี่ยมสีครีมและสีส้มแดง คล้ายกับว่าสี่เหลี่ยมทั้งหมดบนรองเท้าคือการเบลอเพื่อเซนเซอร์หน้าอกของผู้หญิง
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์สายลับเราจะนึกถึงใครจากเรื่องอะไรบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งชื่อที่จะต้องถูกยกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อพูดถึงสายลับก็คือ James Bond เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษรหัส 007 ที่ใครหลายคนยกให้เป็นต้นแบบของความเท่สไตล์สุภาพบุรุษ James Bond เป็นตัวละครโคตรเท่โลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษจากงานเขียนของ Ian Fleming ก่อนจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายภาคด้วยกัน และตอนนี้ก็มีภาคหนึ่งที่มีอายุถึง 50 ปีแล้ว ภาคที่ว่าคือ On Her Majesty’s Secret Service (1963) นวนิยายลำดับที่ 10 จากหนังสือชุดของ James Bond วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1963 และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันว่า On Her Majesty’s Secret Service (1969) โดยได้ George Lazenby รับบทเป็นสายลับสุดเท่ ซึ่งตอนนี้เรื่องราวของหนังสายลับฉบับภาพยนตร์ On Her Majesty’s Secret Service ก็ครบรอบ 50 ปี ในปี 2019 จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่กับ James
เคยไหมครับ รู้ทั้งรู้ว่าถูกนอกใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้…จะด่าจะว่าออกไปตรง ๆ ก็กลัวจะดูไม่งาม ทำได้แค่แชร์อะไรช้ำ ๆ ลงโซเชียล เพื่อให้เพื่อนฝูง และเธอคนนั้นได้รับรู้ว่า “กูเสียใจ” เมื่อความเจ็บช้ำ และอารมณ์โกรธ ไม่สามารถบอกออกไปได้ตรง ๆ เรามาใช้เนื้อเพลงเจ็บ ๆ ดนตรีช้ำ ๆ สื่อความหมายกันดีกว่า และนี่คือ 10 เพลงที่ UNLOCKMEN อยากจะแนะนำให้คนถูกนอกใจได้ฟัง พร้อมทำความเข้าใจความหมาย ให้หนุ่ม ๆ ได้ร้องเพลงพร้อมร้องไห้ให้ตายกันไปข้าง! Lie To Me – Depeche Mode Lie To Me จาก Depeche Mode เพลงเจ็บ ๆ จากวงซินธ์ป๊อปแถวหน้าแห่งยุค 80 ที่ว่ากันด้วยชายหนุ่มผู้เจ็บหนักจนไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป นอกเสียจากบอกเธอคนนั้นว่า เอาเลย…เชิญโกหกกันให้เต็มที่ “Come on and lie to me Tell
คุณเบื่อไหม เมื่อพูดถึงความยั่งยืน? คุณเบื่อเพราะคิดว่ามันเป็นคำพูดสวย ๆ คำนึงเพื่อใช้ขายของอะไรสักอย่าง แต่เพราะคุณมัวแต่เบื่อ เยาวชนอย่าง Greta Thunberg ถึงลุกขึ้นมาเริ่มพูดว่าคุณควรจะสนใจมันได้แล้วนะ คุณอย่ามัวเอาแต่พูดว่าใส่ใจห่าเหวอะไรในโลกใบนี้ คุณต้องทำอะไรสักอย่างกับมันสักที ไม่ใช่เอาแต่ฝากความหวังให้คนรุ่นหลังโดยไม่แม้แต่จะพยายามทำอะไรสักอย่าง ความเดือดดาลของเด็กสาวคนนึงที่พูดประโยคตีแสกหน้าในเวทีการประชุมสหประชาชาติต้นอาทิตย์ทำให้เราเริ่มคิดถึงเรื่อง Core Corporate หรือ Core Business ที่อยู่รอบตัวคนเมืองอย่างพวกเราในไทย มีใครบ้างที่คิดถึงเรื่องความยั่งยืน มีใครบ้างที่เขาคิดถึงคุณภาพชีวิต ถึงเราจะพูดว่าคุณภาพชีวิตและความยั่งยืน แต่อย่าเหมาเอาว่าเราจะพูดถึงองค์กรการกุศลเด็ดขาด การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีมันไม่ใช่ให้ควักเนื้อทางธุรกิจ เรื่องนี้ต้องเคลียร์ให้ขาดจากกัน เพราะการทำแบบนั้นมันไม่ได้ยั่งยืน ไม่มีคนซื้อพวกเขาจะเอารายได้จากไหนมาพัฒนาให้นิเวศสมดุล? ทุกอย่างล้วนต้องลงทุนทั้งนั้น เอาเป็นว่าเราจะไปอ่าน Vision ไม่ใช่ตัวเลข และบอกก่อนว่า คอนเทนต์นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อขาย แต่เอาไว้เป็นกรณีศึกษา หลังจากที่เรามีโอกาสได้รับฟังและรู้เรื่องข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของการสร้างโครงการใหม่ ๆ กับเบื้องหลังปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเท่านั้น ครั้งนี้ UNLOCKMEN เลยเริ่มคิดถึงที่แรกอย่างคอนโดก่อน เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองที่เราอยู่มันต้องเริ่มจากรากที่เรานอน เราจึงเลือกพูดถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขากล่าวกันว่าจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เราเป็นประเภทแรก คำว่าดีมาจากไหน คำว่าดี ดีอย่างไร ? เราขอเริ่มต้นเจาะริเน็นจากที่ AP THAILAND เป็นที่แรก เพราะเรารู้มาว่าเขาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับมิตซูบิชิ เอสเตท เรสซิเดนซ์ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวคิดการทำอสังหาฯ
กว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะผ่านกระบวนการผลิตจนนำมาฉายให้เราได้ชมกันล้วนต้องผ่านขั้นตอนมากมายที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือพัฒนาบท การแคสติ้งนักแสดง ไปจนถึงการเตรียมงานโปรดักชัน สร้างเอฟเฟกต์พิเศษทำให้หนังบางเรื่องต้องให้เวลาผลิตหลายปี แม้จะเป็นเพียงขั้นตอนการเตรียมตัวถ่ายทำเท่านั้น นอกจากบทภาพยนตร์ที่เตรียมไว้ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายทำในแต่ละฉากสามารถเล่าภาพในหัวที่ผู้สร้างต้องการออกมา อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทีมงานสามารถลำดับภาพของหนังให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือสตอรี่บอร์ด (Storyboard) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เฉพาะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เท่านั้น แต่รวมถึงการทำโฆษณา ไปจนถึงงานประเภท Motion Picture และ Animation ด้วย ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องเลือกใช้ศิลปินฝีมือดีมาช่วยสร้างสตอรี่บอร์ดสำหรับการถ่ายทำ วันนี้ UNLOCKMEN อยากพาชมความสวยงามของ 23 สตอรี่บอร์ดของ 23 ภาพยนตร์ดังที่รวมไว้ทั้งยุคสมัยเก่าและใหม่ สตอรี่บอร์ดของหนังแต่ละเรื่องจะถูกสร้างออกมาสวยงามและมีเอกลักษณ์แค่ไหน มาชมไปพร้อมกันเลย Alien (1979): Storyboards by Ridley Scott Jurassic Park (1993) Storyboards by David Lowery Transformers (2007) Storyboards by Ed Natividad There Will
ตลาดรองเท้าที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกระตุ้นให้แบรนด์ต่าง ๆ คลอดรองเท้าโมเดลใหม่ ๆ ออกมาเพื่อหวังผลกำไร แต่เมื่อแบรนด์มีกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ก็ต้องใช้วัสดุเพิ่มขึ้นซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ค่ายรองเท้าสุดคลาสสิกอย่าง Converse เล็งเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ออกคอลเลกชันรองเท้าสุดรักษ์โลกอย่าง Renew Denim และ Renew Panel Denim โดยคราวนี้เลือกใช้โมเดลรองเท้าสุดเก๋าอย่าง Converse Chuck Taylor ‘70 Converse Chuck Taylor ’70 “Renew Denim” เป็น 1 จาก 3 คอลเลกชันในโปรเจกต์ Converse Renew ที่ประกอบไปด้วย Renew Canvas ที่ใช้วัสดุผ้าใบต่อด้วย Renew Cotton ที่ใช้ส่วนประกอบของผ้าฝ้ายและสุดท้ายคือ Renew Denim ที่มีรองเท้าผ้าทั้งหมด 3 คู่ด้วยกันประกอบไปด้วยโมเดล Chuck Taylor ’70 Low ที่มาพร้อมกับอัปเปอร์จากผ้ายีนรีไซเคิลสีอ่อนและสีเข้มอย่างละ 1
“ชีวิตคืออะไร?” เราเชื่อว่าถ้าถามคำถามนี้กับคนร้อยคนอาจได้คำตอบร้อยแบบ ชีวิตอาจเป็นการผจญภัย ชีวิตอาจเป็นการได้ทำเพื่อคนที่เรารัก หรือชีวิตอาจเป็นความทุกข์ ในแต่ละครั้งที่เราถามหาความหมายหรือคำนิยามของชีวิตจากผู้คน เรามักได้คำตอบที่ทำให้เราต้องครุ่นคิดหรือถึงขั้นพลิกมุมมองต่อชีวิตตัวเองไปเลย วันนี้ UNLOCKMEN อยากพามาสัมผัสอีกความหมายของชีวิต ชีวิตในฐานะเรื่องเล่าและต้องเป็นเรื่องเล่าที่เราเชื่อ รับรองว่ามันจะเปลี่ยนมุมมองคุณไปตลอดกาล พลังของเรื่องเล่าที่เราบอกตัวเอง นอกจากคำถามที่ว่า “ชีวิตคืออะไร?” แล้ว เราอยากถามคุณต่อว่า “หน้าที่ของภารโรงคืออะไร?” คุณอาจตอบว่าทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมของตึก คุณอาจตอบว่าเก็บกวาดเช็ดล้างเมื่อมีคนทำอะไรหกเลอะเทอะ หรือคุณอาจตอบว่าคอยเปิดปิดประตูขององค์กรนั้น ๆ ตามเวลาที่ได้รับคำสั่ง นี่คือนิยามหรือเรื่องที่เราเล่าเพื่อบรรยายหน้าที่ของภารโรงคนหนึ่ง แต่พลังของเรื่องเล่าที่ภารโรงคนหนึ่งเชื่อว่าตัวเองทำกลับมีความหมายมากกว่านั้น ย้อนกลับไปในช่วงที่มวลมนุษยชาติกำลังมุ่งมั่นกับภารกิจส่งมนุษย์ไปพิชิตดวงจันทร์ มีเรื่องเล่าว่าประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพลเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานีอวกาศเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของภารกิจยิ่งใหญ่ เขาเดินไปตามโถงทางเดินและแวะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บ้าง จนกระทั่งเจอภารโรงที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง ประธานาธิบดีจึงหยุดเพื่อทักทายภารโรงคนนั้น “คุณกำลังทำอะไรอยู่?” ก่อนที่ภารโรงประจำสถานีอวกาศจะสบตาประธานาธิบดี และตอบออกมาอย่างภาคภูมิใจว่า “ผมกำลังเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยมนุษย์ไปพิชิตดวงจันทร์อยู่ครับ” กวนตีนจัง! ตอบไม่เห็นตรงคำถามเลย ใครหลายคนอาจคิดแบบนี้ แต่ประธานาธิบดีกลับไม่ได้คิดแบบนั้นและคิดว่าทัศนคติและสิ่งที่ภารโรงคนนี้เชื่อนี่แหละที่ทำให้ภารโรงเห็นความสำคัญของสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ทิ้งทุกรายละเอียด เพราะการทำความสะอาดของเขา ไม่ใช่แค่เพื่อทำความสะอาด แต่เขาทำความสะอาดอยู่ในสถานีอวกาศที่ทุกคนกำลังมุ่งมั่นพิชิตดวงจันทร์กันอยู่และเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภารกิจนี้สมบูรณ์แบบ นักวิทยาศาสตร์ที่สวนมาจะไม่ต้องลื่นล้มถ้ามีใครทำของเหลวอะไรหก นักบินอวกาศได้มีสุขภาพจิตที่ดีจากการใช้ห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมอ่อง สิ่งเหล่านี้คือพลังของเรื่องเล่าที่ภารโรงคนนี้เชื่อ ในขณะที่ตัวประธานาธิบดีเองก็มองเห็นค่าของทุกรายละเอียดของคนตัวเล็ก ๆ ในภารกิจยิ่งใหญ่นี้ยิ่งขึ้นจากเรื่องเล่าของภารโรง คนอื่นบอกว่าเราเป็นอะไร ไม่สำคัญเท่าเราเชื่อว่าเราเป็นอะไร ชีวิตของเราจึงอาจมีนิยามสารพัดที่มาจากคนอื่น เราอาจเป็นพนักงานเงินเดือนตัวเล็ก ๆ ในสายตาหัวหน้า เราอาจเป็นลูกชายตัวน้อยของแม่อยู่เสมอ