จากคอนเทนต์ที่แล้ว (www.unlockmen.com/james-bond-cars/) ชาว UNLOCKMEN คงได้รู้จักรถคู่ใจ James Bond ในภาค Dr.No ถึง Octopussy กันไปแล้ว เรามาต่อกันในภาคถัดไปและยิงยาวจนถึงภาคล่าสุดอย่าง Spectre กันเลยดีกว่า ไปดูกันว่าสายลับมาดเท่ของเราจะขับรถอะไรให้เราได้ทึ่งกันอีกบ้าง A View to a Kill – Renault 11 อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าพ่อสายลับของเราผันตัวไปเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่เสียแล้ว แต่เหตุที่รถที่โดดเด่นที่สุดในภาค A View to a Kill เป็นแท็กซี่ยี่ห้อ Renault ก็เพราะว่าในเรื่องเป็นฉากที่เขาต้องรีบทำภารกิจ จึงจำเป็นต้องหารถโดยเร่งด่วน ไม่ว่าจะรถหรูหรือแท็กซี่ก็ไม่เกี่ยงจริง ๆ สำหรับ James Bond The Living Daylights – Aston Martin V8 Vantage Volante เป็นอีกภาคที่มีการเปลี่ยนตัวนักแสดงนำอีกครั้งจาก Roger Moore เป็น Timothy Dalton จึงเหมือนเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะกลับมาใช้รถยี่ห้อที่เปรียบเสมือน Signature ของซีรีส์สายลับเรื่องนี้อย่าง Aston Martin ซึ่งคราวนี้มาในรุ่น V8 Vantage
ไม่มีอะไรจะเข้ากันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากไปกว่าอาหารญี่ปุ่นแล้ว ยิ่งหลังเลิกงานมาเหนื่อย ๆ สองสิ่งนี้ช่วยเยียวยากายและใจได้อย่างดี ต้องเป็นที่บาร์ญี่ปุ่นแท้ ๆ เท่านั้นด้วยจึงจะได้บรรยากาศ และท่ามกลางบาร์สไตล์ญี่ปุ่นมากมายในกรุงเทพ วันนี้ UNLOCKMEN ขอเลือกมาแนะนำทั้งหมด 5 ร้านด้วยกัน ซึ่งบรรยากาศภายในแต่ละร้านถ้าไม่บอกว่าอยู่ในกรุงเทพนี่ดูไม่ออกแน่นอน เพราะกลิ่นอายแดนอาทิตย์อุทัยมาเต็มเหลือเกิน Salon du Japonisant ประตูไม้บานเล็ก ๆ ข้างกำแพงสีดำตระหง่านคือสิ่งที่คั่นกลางระหว่างบรรยากาศเมืองแสนวุ่นวายกับความเงียบสงบสไตล์ญี่ปุ่น เมื่อเราผลักประตูเข้าไปก็จะพบกับบาร์ไม้เล็ก ๆ อวลไปด้วยกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น และมีความเป็นส่วนตัวเต็มที่เนื่องจาก Salon du Japonisant รองรับลูกค้าได้ไม่เกิน 10 คน หลังจากหย่อนตัวลงนั่งคุณก็สามารถผ่อนคลายกับเครื่องดื่มนานาชนิดไม่ว่าจะเป็น Whiskey, Sake, Cocktail, Umeshu ฯลฯ ผ่านการรังสรรค์จากบาร์เทนเดอร์ยอดฝีมือที่ทำให้เครื่องดื่มแต่ละแก้วนั้นเปรียบได้กับงานศิลปะ ยิ่งได้รับประทานอาหารญี่ปุ่นรสดั้งเดิมยิ่งเข้ากันเป็นอย่างดี ผู้ชายคนไหนที่กำลังหาที่สงบ ๆ เพื่อผ่อนคลาย หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน Salon du Japonisant ตอบโจทย์คุณแน่นอน Location: 36/5 Soi Sukhumvit 39 Sukhumvit Rd., Klongton Nua, Wattana, Bangkok
ปี 2018 นี้ถือเป็นปีแห่งการกลับมาทำเพลงเลยก็ว่าได้ หลาย ๆ วงที่ห่างหายจากการทำเพลงไปนานได้กลับมาสู่ห้องอัดและเข็นสตูดิโออัลบั้มแจ่ม ๆ ออกมาหลายวง ไม่ว่าจะเป็น The Longshot, Franz Ferdinand, Gorillaz, Snow Patrols สองหนุ่มดูโอ้อย่าง Twenty One Pilots ก็ยังกลับมาปล่อยเพลงอีกครั้ง THE 1975 เองก็เช่นกัน UNLOCKMEN จะพามาอัพเดตเรื่องราวเกี่ยวกับอัลบั้มใหม่ที่แสนจะลึกลับ เพราะทางวงเองก็ไม่ค่อยบอกอะไรมากนัก เรามัดรวมข่าวทั้งหมดมาไว้ให้ที่นี่แล้ว Give Yourself A Try หลังจากทวิตเตอร์ Official ของวง หายเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่สักพักใหญ่ (นั่นก็คือหลายปี) แต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อความสั้น ๆ ภาพแปลก ๆ ที่ทางวงปล่อยออกมา ชาวเน็ตจึงตั้งข้อสงสัยว่านี่คือสัญญาณของการกลับมาหรือเปล่า และก็ใช่ซะจริง ๆ เมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางวงได้ปล่อยซิงเกิ้ล “Give Yourself A Try” ภายใต้อัลบั้มที่ชื่อ “A Brief Enquiry Into
การกลับมาของศิลปินที่ห่างหายไปนาน มักจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว และ Twenty One Pilots ก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากเราจะไม่ทันตั้งตัวแล้ว พวกเขาทั้งสองยังทิ้งปริศนาให้เราได้ตื่นเต้นตาม จนอยากตั้งตาคอยว่ามันจะเป็นผลงานใหม่ คอนเสิร์ตใหญ่ หรืออะไรกันที่กำลังจะเกิดขึ้นกับวงดูโอ้วงนี้ จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซิงเกิ้ลใหม่ของพวกเขาก็ถูกปล่อยออกมา UNLOCKMEN จะพามาอัพเดตเรื่องราวของผลงานใหม่ของพวกเขาและมาดูกันว่าก่อนหน้าที่จะหายไป เขาทำอะไรบ้าง About Twenty One Pilots หากมัวมาเล่าประวัติคงจะน่าเบื่อ เอาเป็นว่าเขาคือสองดูโอ้สัญชาติอเมริกัน ประกอบไปด้วย Tyler Joseph นักร้องนำ และมือกลองอย่าง Josh Dun ที่มีเพลงฮิตติดหูคนทั่วโลก อย่าง “Stress Out” และ “Ride” หรือจะเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Suicide Squad อย่างเพลง “Heathens” ที่ฮิตไม่แพ้สองเพลงนั้น และเพลงฮิตอย่าง “Stressed Out” ทำให้พวกเขาได้รางวัลแกรมมี่มาไว้ในอ้อมกอด แต่นั่นยังไม่ฮือฮาเท่าวีรกรรมสุดจี๊ดที่สองคนนี้ทิ้งไว้บนเวทีแกรมมี่ เมื่องาน The 59th Grammy Awards 2017 ที่สองหนุ่มดูโอ้ Twenty One Pilots ขึ้นไปรับรางวัล Best Pop Duo/Group
หากพูดแบรนด์ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า Burberry ถือมีขวบปีที่ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน จนเราเองก็ยังประหลาด เพราะไม่ว่าจะมองไปยัง Reference ต่างประเทศ ต่างเห็นลวดลาย Check อันเป็นซิกเนเจอร์ของพวกเขากลับมาโลดแล่นตามสื่ออีกครั้ง ซึ่ง UNLOCKMEN เคยได้วิเคราะห์ถึงการกลับมาผงาดอีกครั้ง (link) หลังการเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของดีไซน์เนอร์มือฉมังอย่าง ริคคาร์โด ทิชชี่ (Ricarrdo Tisci) พร้อมปฎิวัติแบรนด์ให้มีความเป็นสตรีทแวร์และเข้าถึงกับไลฟ์สไตล์ได้มากขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจะลองนำ Style Guide การแต่งตัวแบบ Check ของ Burberry อย่างไรให้ออกมาเข้ากับประเทศไทย #Look1 ลุคแรกถือว่าเป็นการผนวกสตรีทแฟชั่นเข้าไป โดยได้แรงบันดาลใจมากจากเสื้อผ้าของ โกชา รุบชินสกี้ (Gosha Rubchinskiey) ที่มาทำไอเทมกางเกงขาสั้นลาย Check จับคู่กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ดูเป็นลุคที่แตกต่างจากแนวทางของ Burberry ที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นไปถึงอารมณ์คลาสสิคเป็นหลัก โดยสามารถจบลุคนี้ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการนำสร้อยมาใส่เป็นเครื่องประดับ พร้อมหมวก Bucket Hat หรือ Duckbill Cap #Look2 สำหรับลุคที่ 2
เรื่องรักพี่เสียดายน้องมันเป็นของธรรมดา ใจหนึ่งก็ชอบอะไรที่มันคลาสสิค อีกใจหนึ่งก็ถวิลหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ สุดท้ายมาเป๊ะเข้าให้กับรถสปอร์ตระดับไอค่อนอย่าง 1965 Ford Mustang ในเวอร์ชั่นที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ รถสปอร์ตสุดคลาสสิคโมเดลพิเศษนี้ สร้างสรรค์โดย Siemens ที่ผุดไอเดียนำรถคลาสสิคมาผสมผสานกับรถที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือเรียกกันแบบทับศัพท์ได้ว่า autonomous cars และก็ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างมาโชว์เพียงอย่างเดียว แต่รถโมเดลพิเศษไร้คนขับคันนี้จะได้ลงแข่งในรายการ Goodwood Festival of Speed รายการแข่งรถขึ้นเนินเขาชื่อก้องโลกประจำปีนี้ โดยค่ายยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีอธิบายถึงการสร้าง 1965 Ford Mustang เวอร์ชั่นนี้ว่า พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจาก Cranfield University มหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศกรรมในประเทศอังกฤษ ใข้เทคโนโลยีการสแกนตำแหน่งที่ตั้งของ Bentley Systems ที่สามารถสแกนแบบ 3 มิติได้อย่างแม่นยำ ก่อนโหลดข้อมูลลงบนออนบอร์ดคอมพิวเตอร์ของรถ เพื่อคำนวนเส้นทางและลักษณะการขับขี่ต่อไป สิ่งที่ทำให้เจ้า Mustang คันนี้เป็น autonomous car ที่แตกต่างก็คือ ส่วนใหญ่แล้วในรถประเภทเดียวกันจะมาพร้อมกับเรดาร์ขนาดใหญ่ กล้องตัวเป้ง และเซ็นเซอร์ที่ดูโดดเด่นเหลือเกิน แต่สำหรับ Mustang โมเลพิเศษคันนี้ หากดูภายนอกก็แทบจะไม่แตกต่างจากโมเดลดั้งเดิม ติดตั้งเซ็นเซอร์ขนาดกะทัดรัดที่ฝากระโปรงหน้าและฝาประโปรงหลัง อย่างไรก็ตามทาง Siemens ยังไม่เปิดเผยภาพภายในรถแต่อย่างใด ใบ้แค่ว่ารถคันนี้สามารถขับขี่ตามปกติได้ด้วย โดยขุมกำลังของคันนี้ได้จากเครื่องยนต์ V8 ขนาดความจุกระบอกสูบ 4.7 ลิตร จูนแรงม้าได้
ผู้ชายอย่างเราคุยกับใครก็อยากคุยกันแบบตรงไปตรงมา หนักแน่นมั่นคง ไม่ต้องมานั่งใส่หน้ากากปั้นแต่งคำตอบใส่กันให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิต แต่บทสนทนาบางรูปแบบก็ถูกวางบทบาทมาเพื่อพูดแต่เรื่องดี ๆ เท่านั้น ลองจินตนาการถึงการสัมภาษณ์งานกับองค์กรที่เราอยากทำงานด้วยใจจะขาดดูสิ เราจะเลือกตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาทุกคำถาม หรือว่าเราก็ต้องเลือกตอบบ้าง เลี่ยงตอบบ้าง เพื่อสร้างโปร์ไฟล์ให้ดูดีกันแน่ ? บางทีคนก็ไม่ได้อยากโกหกนักหรอก แต่บางสถานการณ์เราก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงบางอย่าง เพื่อรักษาสถานะเอาไว้ ปัญหาก็คือถ้าวันหนึ่งเราต้องเป็นฝ่ายถาม แต่อยากล้วงความจริงจากอีกฝ่ายได้แบบไม่มีหมกเม็ดล่ะ เราควรต้องถามคำถามแบบไหนออกไปกันแน่ ? มีงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงการถามตอบ โดยมุ่งประเด็นไปที่วิธีถามคำถามว่ามันมีอิทธิพลต่อคนตอบในรูปแบบไหน โดยเฉพาะเมื่อผู้ตอบอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องปกปิดอะไรบางอย่าง เช่น ในการเจรจาทางธุรกิจ การสัมภาษณ์งาน การขายของ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้นำกลุ่มตัวอย่างมา โดยกำหนดให้บุคคลเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองให้กับลูกค้า (ซึ่งลูกค้าก็เป็นทีมนักวิจัยที่ปลอมตัวมานั่นแหละ) ก่อนจะทำการซื้อขาย ก็จะมีคนมาบรีฟข้อมูลให้ทีมขายก่อนว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นอย่างไร โดยข้อมูลอย่างหนึ่งคือเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้านี้มันเคยพังมาแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ว่าคนซื้อของมือสองที่ไหนก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ผลปรากฏว่าคนขายทุกคนไม่ได้บอกข้อเท็จจริงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองนี้เคยพังมาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะถ้าบอกไปก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะขายของชิ้นนั้นไม่ออกเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามผู้ขายหลายคนก็ยอมบอกความจริงออกมาว่า เฮ้ย สินค้านี้มันเคยพังนะครับคุณ ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนที่เผยความลับกับคนไม่เผยความลับก็คือ “วิธีการถาม” นั่นเอง ถ้าถามถูกวิธี ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการได้ไม่ยาก “สินค้าชิ้นนี้มีปัญหาอะไรบ้าง?” คือคำถามที่ล้วงคำตอบมาได้มากที่สุด โดยผู้ขาย 89% ยอมบอกว่าสินค้าชิ้นนี้เคยพังมาก่อนจริง ๆ แถมเล่าประวัติการพังให้ฟังด้วย ในขณะที่คำถามที่ดูซอฟต์ลงมาหน่อยอย่าง “สินค้าชิ้นนี้มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ ใช่ไหม ?” จะมีผู้ขาย
ผู้ชายกับความคลั่งไคล้ในรถมอเตอร์ไซค์เป็นของคู่กันไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องของการแต่งรถมอเตอร์ไซค์นั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกกิจกรรมที่ผู้ชายทุกคนต้องเคยผ่านมาสักครั้งในชีวิต ซึ่งการแต่งรถมอเตอร์ไซค์นี้ ก็เหมือนกับการสร้างงานศิลปะที่เราได้ปลดปล่อยจินตนาการ ได้ใส่ความเป็นตัวตนของคนคนนั้นลงไป ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ต่างอะไรกับการวาดภาพ เพียงแต่มันเกิดขึ้นบนยานพาหนะ ไม่ใช่บนกระดาษ หรือผืนผ้าใบ มันคือการทำงานศิลปะที่คนไม่เคยสัมผัสอาจจะยากที่จะเข้าใจ ด้วยบุคลิก ความชอบ และสไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่าง ทำให้เราเกิดแนวทางการตกแต่งรถที่หลากหลาย และมีมากมายจนขยายใหญ่กลายเป็นวัฒนธรรม หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘Custom Bike’ ซึ่งปัจจุบันมีสำนักทำรถ ‘Custom’ ระดับโลกเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละสำนักก็มีแนวทางที่แตกต่างกันไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันจนทำให้เรารู้สึกแปลกใจ ที่ทุกสำนักแต่ง ต้องมีรถมอเตอร์ไซค์อยู่รุ่นนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อ เก็บไว้ในคอลเลคชั่นเหมือนกันทุกสำนัก และรถที่ว่านั้นก็คือ BMW ‘R nineT’ ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูกันว่า ทำไม ‘R nineT’ ถึงได้กลายเป็นรถขวัญใจของผู้ชายที่หลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงสำนักแต่งชื่อดังทั่วทุกมุมโลก เริ่มต้นจาก Concept และจุดประสงค์ในการสร้างกันก่อน สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้าง ‘R nineT’ เดิมทีนั้นคือ การสร้างรถ Naked Bike ยุคใหม่ที่ยังคงความ Classic Retro
โลกของการทำงานที่พวกเราต้องเจอคนร้อยพ่อพันแม่ คงต้องมีสักครั้งที่เราเจอกับ “บุคคลมลพิษ” อุดมเรื่องแย่ ทั้งความเห็นแก่ตัว โม้เก่ง หลงตัวเอง ใช้ทุกวิถีทางเหยียบหัวคนอื่นให้ตัวเองดูดี โกงแค่ไหนก็ชิลได้เหลือเชื่อ เรื่องผิดจรรยาบรรณมันก็ทำได้สบาย แต่ตลกร้ายคือเจ้านายชอบโปรโมตคนพวกนี้เสียเหลือเกิน เพื่อคลายความสงสัยว่าทำไมเจ้านายดันไร้วิจารณญาณมองไม่เห็นด้านลบเหล่านี้ วันนี้เราจึงล้วงคำตอบจากการวิจัยมาบอก รับรองเลยว่าคุณจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญยังได้วิธีเอาชนะ จนเจ้านายมองเห็นค่าของตัวเราด้วย ไขความลับคนลบ ๆ ทำไมเจิดจ้าในสายตาเจ้านาย ผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Personality and Individual Differences ที่ Klaus J Templer วิจัย ชี้ให้เห็นว่าทักษะด้านการเมืองมีอิทธิพลกับการเติบโตในหน้าที่การงาน ใครที่คิดภาพไม่ออกว่าทักษะพวกนี้มันหน้าตาเป็นอย่างไรก็ให้คิดถึงนักการเมืองสักคนเวลาทำงาน เขาจะมีคลังคำพูดจูงใจดี ๆ ขนมาใช้ มีความเป็นนักไกล่เกลี่ย ประนีประนอม และเก่งเรื่องแสดงความจริงใจในใบหน้าให้อีกฝ่ายเห็น ฟังดูทักษะการเมืองมันก็มีแต่ทักษะดี ๆ ใช่ไหมล่ะ? แต่เรื่องแปลกคือมันมักอยู่ในคนที่ไม่ดีซะงั้น ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้พูดปรักปรำแบบส่ง ๆ แต่ใช้วิธีสุ่มสำรวจจากกลุ่มพนักงานจำนวน 110 คนให้ประเมินสกิลด้านการเมืองกันสักหน่อยว่าตัวเองมีมากน้อยแค่ไหน จากนั้นค่อยนำคนเหล่านี้ไปทำแบบสำรวจเช็กบุคลิกภาพจากหนังสือ H-factor of personality หนังสือที่ว่าด้วยหกมิติพื้นฐานของบุคลิกภาพมนุษย์ ใครที่ได้คะแนนสูงจัดว่าเป็นคนซื่อสัตย์อ่อนน้อม ส่วนคนไหนคะแนนปิ๋วค่อนไปทางต่ำก็แน่นอนว่าเป็นไปในทางตรงข้าม จากนั้นเอามาเทียบกันแล้วเอาไปสอบถามความเห็นจากหัวหน้าอีกที
เรียบร้อยโรงเรียนม้าลายไปแล้วสำหรับดีลสั่นสะเทือนวงการลูกหนังโลกของ Cristiano Ronaldo ที่ตกลงย้ายออกจากหนึ่งในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Real Madrid ไปซบอก Juventus ทีมมหาอำนาจลูกหนังเมืองมักกะโรนีด้วยค่าตัวประมาณ 110 ล้านยูโร ขึ้นแท่นเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ Serie A เป็นที่เรียบร้อย ถึงจะไม่ใช่ค่าตัวนักเตะสูงสุดตลอดกาลของโลก (ตอนนี้อันดับ 1 เป็นของ Neymar มูลค่า 222 ล้านยูโร) แต่อย่าลืมว่านี่คือนักเตะอายุ 33 ปี ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นนี่คือช่วงปลายอาชีพค้าแข้งที่สภาพร่างกายโรยราแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ชายชื่อ Cristiano Ronaldo ความฟิตของเขายังสุดยอดไม่ต่างจากช่วงวัยรุ่น ยิงประตูได้เกิน 40 ประตูต่อเนื่องมาตลอดทุกปี พาทีมชาติโปรตุเกสคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2016 และล่าสุดก็ยังโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก ผู้ชายคนนี้สร้างปรากฏการณ์ให้ได้ทึ่งอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าตำนานของเขากับทีม Real Madrid จะจบลงแล้ว แต่เชื่อเหลือเกินว่าเขาต้องสานต่อตำนานของตัวเองที่เมือง Turin ได้แน่นอน ดังนั้นก่อนที่จะพบกับตำนานบทต่อไป ย้อนดูกันก่อนดีกว่าว่าที่ผ่านมาลูกผู้ชายนาม Cristiano Ronaldo ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรไว้บนโลกนี้บ้าง ทุบสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่อยู่มากว่า 8 ปี นับตั้งแต่ Zinedine Zidane สุดยอดจอมทัพเลือดน้ำหอม ตกลงย้ายตัวจาก Juventus สู่