การที่ได้ใช้เวลาว่างในวันหยุด หรือเวลาพักผ่อนหลังเลิกงาน คนเราต่างก็มีวิธีผ่อนคลาย และเพิ่มความสุขให้กับตัวเองแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับเราแล้ว การได้นั่งโซฟาสบาย ๆ เปิดแอร์เย็น ๆ แล้วหาหนัง หรือ Documentary ดี ๆ สักเรื่องมาดูพร้อมทั้งจิบเบียร์ไปด้วยนั้น คืออะไรที่สุขกายสบายใจสุด ๆ กันเลยทีเดียว แต่จะว่าไปหนังดี ๆ ส่วนใหญ่พวกเราก็มักจะซื้อตั๋วไปชมกันในโรงกัน จะเหลือก็แต่เรื่องที่เราไปดูไม่ทัน หรือติดธุระไม่ว่าง หนังดี ๆ เหล่านั้น ถึงจะถูกเราไปซื้อแผ่นมาตามเก็บดูที่บ้าน เมื่อมันเป็นแบบนี้ หนังดี ๆ ที่หลงเหลือให้คุณได้ใช้เวลาดูมันที่บ้านของคุณเองนั้น จึงมีไม่มากนัก และจะให้เอาหนังที่เคยดูไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ มาดูซ้ำ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องอยู่ดี ดังนั้น บางคนที่แม้อาจจะมีเวลา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาไปกับการดูหนังเรื่องไหนดี ซึ่งเราเองก็เคยประสบปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน จนในที่สุดเราก็เจอทางสว่างที่จะทำให้คุณได้นั่งรบชมสิ่งดี ๆ แถมยังมีประโยชน์ไม่แพ้การดูหนังอีกด้วย นั่นก็คือ การหา Documentary มาดูแทน ซึ่งพวก Documentary เหล่านี้ จริง ๆ แล้ว มันก็เป็นหนังประเภทหนึ่งเช่นกัน
สำหรับนักลงทุน หรือผู้ที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของตลาดซื้อขายหุ้น อาจจะคุ้นหูกับคำว่า “Panic Buying” หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า อาการลนลานเมื่อเห็นราคาตลาดกำลังพุ่งแรง หรือดิ่งจนน่าตกใจก็รีบซื้อหรือขายหุ้นมั่วซั่วโดยไม่ได้ผ่านการเช็ค และตรวจสอบพื้นฐานอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายกลายเป็นขายหมู หรือเป็นเม่าชั้นดีติดดอยหนาวเหน็บกันไปก็หลายราย ซึ่งไอ้คำว่า Panic Buying ก็ไม่ได้ถูกบัญญัติใช้เฉพาะวงการหุ้นเพียงอย่างเดียว เพราะมันได้กลายเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่แม้กระทั่งตามตลาดนัดเองก็ยังมีการนำมาใช้ ลองคิดภาพ mc สาวสวยถือไมค์ประกาศว่า “นาทีทอง สินค้าชิ้นเดียวเราไม่ขาย เราขายสินค้าสองชิ้นในราคาชิ้นเดียว 1 แถม 1 กันไปเลย !!” โดยอันที่จริงแล้วสินค้าดังกล่าว อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งของที่ตัวเราต้องการเลยก็ได้ เพียงแต่ด้วยกลยุทธ์ที่ออกมาล่อตาล่อใจ จนทำให้เราต้องใช้จ่ายเงินแบบที่เรียกว่า Panic Buying ทำให้สูญเสียเงินไปไม่ใช่น้อย แต่ถ้าจะเล่าอาการของ Panic Buying ให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นตามแบบทฤษฎี คือการที่ผู้บริโภคต้องตัดสินใจซื้อของบางอย่าง ภายใต้ความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นกรอบของเวลา การบีบคั้นด้วยจำนวนสินค้าที่จำกัด หรือสถานการณ์บังคับ จนทำให้นักช็อปปิ้งส่วนใหญ่รู้สึกตื่นตระหนก สูญเสีย และให้ความสำคัญกับการจับจ่ายช่วงเวลาดังกล่าวอย่างมาก เพราะกลัวจะพลาดโอกาสนี้ไป นอกเหนือจากนี้อาการ Panic Buying ยังส่งผลต่อการตัดสินซื้อที่ขาดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอีกด้วย โดยเรามีตัวอย่าง 2 กรณีเกี่ยวกับ Panic Buying
หนังจิตวิทยาระทึกขวัญเป็นหนังอีกประเภทที่ผู้คนต่างหลงใหล ด้วยการดำเนินเรื่องที่ชวนตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด แล้วยังไม่วายแทรกสอดการปะทะกันทางจิตวิทยาที่โคตรบ้าคลั่งมาให้ ก็ยิ่งทำให้หนังประเภทนี้ได้รับความนิยมอยู่ตลอด แต่ถ้าจิตไม่แข็งพอ หลังดูหนังแต่ละเรื่องจบก็อาจจะต้องจมจ่อมอยู่กับประเด็น อารมณ์ ความหวาดระแวงที่หนังพากันยัดเยียดให้อีกเป็นวัน ๆ ดังนั้นเพื่อทดสอบจิตใจสุดแข็งแกร่งของผู้ชายอย่างคุณ เราท้าให้ดูหนังจิตวิทยาระทึกขวัญ 7 เรื่องนี้ แล้วมาดูกันว่าเรื่องไหนจะทำให้คุณร้อน ๆ หนาว ๆ ได้มากที่สุดกันแน่? Side Effects (2013) นี่คือหนังจิตวิทยาที่ว่าด้วยหญิงสาวผู้เป็นโรควิตกจริตขั้นรุนแรง แล้วพบว่ายากที่ใช้รักษาอาการตัวเอง พาเธอเข้าไปอยู่ในจุดที่ต้องเผชิญกับเรื่องไม่คาดคิดมาก่อน ความโดดเด่นของ Side Effects คือการสร้างปมและคาแรคเตอร์ของตัวละครขึ้นมาให้มีความซ่อนเงื่อนคาดเดาไม่ได้ แถมยังเอาข้อมูลทางการแพทย์มาช่วยล่อลวงให้ผู้ชมอย่างเราจมลงไปในความซับซ้อนของตัวเรื่อง ที่ต่อให้มั่นใจว่าตัวเองจิตแข็งที่สุดก็ไม่อาจควานหาแรงจูงใจของตัวละครแต่ละตัวได้เลย Get Out (2017) นี่คือหนังหมาดใหม่ของปี 2017 ที่ผ่านมา บางคนอาจรู้สึกว่าเป็นหนังเกรดบีที่ไม่ลงทุนอะไรมาก จะน่าสนใจแค่ไหนกันเชียว? แต่ UNLOCKMEN ขอท้าคุณเลยว่านี่คือโคตรหนังที่หยิบจับเอาประเด็นอย่างการเหยียดสีผิวมาใช้ทบกับความน่าหวาดหวั่นของความเป็นมนุษย์ได้หลอนเต็มขั้น จนดูไปอดคิดไปไม่ได้ว่าถ้าตัวเองถูกถีบให้จมลงไปในสถานการณ์แบบนั้นเราจะดิ้นรนพาตัวเองพุ่งหลุดออกมาได้อย่างไร หนังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระทึกขวัญ ลุ้นจนเราท้าให้ผู้ชายอย่างคุณควรดูสักครั้งในชีวิต Split (2016) แค่พล็อตเรื่องการถูกลักพาตัวไปของเด็กสาว 3 คนโดยชายผู้มี 23 ตัวตนในร่างเดียวก็กระตุ้นความหลอนระคนตื่นเต้นจนหัวใจเต้นตุบตับแล้ว อารมณ์ลุ้นระทึกตลอดเรื่อง บวกบรรยากาศชวนหายใจไม่ทั่วท้องจะยิ่งพาผู้ชายอย่างเราจมลงไปในสถานการณ์ที่แทบจะอยากทะลุจอเข้าไปช่วย จิตวิทยาและความชาญฉลาดของผู้ล่าและผู้ถูกล่าก็เชือดเฉือนกันจนเราท้าให้คุณลุ้นไปกับการล่าไปพร้อม
ในวันที่ทุกอย่างดูช้า ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับร่างกายไปทำอะไรที่ควรทำ เหมือนไฟในใจมันมอดหมดไปยังไงบอกไม่ถูก ต่อให้เป็นยอดคนก็คงต้องเจอกับช่วงจังหวะแบบนี้อยู่บ้างแน่นอน เชื่อหรือไม่ว่า นอกจากดื่มกาแฟเข้ม ๆ หาเครื่องดื่มบำรุงกำลังอัดให้คึกคักอยากทำงาน เสียงดนตรีในจังหวะที่ถูกใจ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ไฟมันติดได้เหมือนกัน วันนี้เราจึงสร้าง Playlist เจ๋ง ๆ ที่คัดมาแล้วว่า จะช่วยปลุกไฟในการทำงานได้แน่นอน อย่าเพิ่งถามหาหมอนหรือถอดใจในตอนบ่าย เปิดฟัง Playlist นี้ก่อน รับรองว่างานที่กองสุมเต็มโต๊ะ จะหมดไปเมื่อฟังถึงเพลงสุดท้ายพอดี ใครที่สะดวกฟังใน Spotify สามารถเข้าไป Follow Playlist นี้กันได้ง่าย ๆ ที่นี่ Fly Like An Eagle – Steve Miller Band หากคุณเป็นคอซีรี่ส์คงจะพอคุ้นหูกับเพลงนี้อยู่บ้าง จากซีรี่ส์มาแรงอย่าง “Mindhunter” เพลงนี้เป็นเพลง background ในช่วงที่คู่หูของตัวเอกของเรื่อง ต้องตะลอนทำงานด้วยกันแบบทั้งวันทั้งคืน ตื่น ทำงาน กิน นอน วนลูป แบบนี้ไปเรื่อยๆ ฟังเพลงนี้ไปก็อย่าลืมฮึดสู้กับงานให้เหมือนคู่หูจาก Mindhunter กันด้วย
อย่างที่เราเคยพูดไปหลายต่อหลายครั้งสำหรับความเชื่อที่ว่า ผู้ชายทุกคน ต่อให้ร่างกายภายนอกเติบโตขึ้นไปมากแค่ไหน แต่สิ่งที่อยู่ภายใต้รูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปยังคงมีความเป็นเด็กที่ชอบเล่น ชอบความสนุก ชอบอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักเหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา ความเป็นเด็กในตัวผู้ชายเรานี่เอง ที่ทำให้ผู้ชายหลายต่อหลายคนยังคงมีของเล่น ซึ่งของเล่นเหล่านั้นเราก็มักจะใช้คำว่า “Toy For Boy” หรือ “Boy’s Toy” มาเติมเต็มในชีวิตอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่แล้วก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ของเล่นของผู้ชายบางคนอาจจะเป็น รถ บางคนอาจจะเป็น ปืน บางคนอาจจะเป็น Gadget ทันสมัยต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับของเล่นในวันที่เรายังใช้คำนำหน้าชื่อว่า ด.ช. เพียงแต่มันกลายเป็นของเล่นที่เป็นของจริง แต่ก็มีบางคนที่กลับมองต่างออกไปว่า กับแนวคิดที่มองว่าคนที่โตแล้ว เขาไม่มีใครมานั่งเสียเวลากับของเล่นอะไรไร้สาระกันหรอก ของเล่นมันมีไว้สำหรับเด็กน้อย ซึ่งเราคิดว่าพวกที่คอยเอาเวลาของตัวเองมาคอยจับจ้อง จับผิด ตัดสินคนอื่นว่ามัวแต่ทำอะไรที่เสียเวลา หากคิดดี ๆ บางทีคนที่กำลังเสียเวลาอาจจะเป็นคนพูดเองมากกว่าก็ได้ ความคิดที่ว่า มัวแต่เล่นของเล่นมันเสียเวลา บางครั้งคุณอาจะไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ว่า ของเล่นเหล่านี้ เมื่อมันอยู่กับคนที่หลงใหล ชื่นชอบ และใส่ใจในตัวของเล่นชิ้นนั้น มันอาจกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทั้งในด้านจิตใจ และเพิ่มมูลค่าราคาค่างวดให้สูงขึ้นมาอย่างที่คุณเองก็คาดไม่ถึงก็ได้ ตราบใดที่ของเล่นของเด็กผู้ชาย ยังคงต้องใช้จินตนาการ ความสามารถ และทักษะอะไรบางอย่างควบคู่กันไปด้วยอยู่ เราไม่เคยเชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายสาย Craft หรือจะเป็นคนที่รักการผจญภัยใช้ชีวิตผาดโผน Gadgets สำคัญ ๆ ที่พวกเขานิยมใช้ และขาดมันไปไม่ได้ก็คือ Multi-Tools นั่นเอง ถ้าถามว่า Multi-Tools ที่ว่านี้มีความสำคัญยังไงล่ะก็ ถ้าหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คงจะเป็นเหมือนกับ เด็ก Nerd ที่ขาดแว่นตาอะไรทำนองนั้น เพราะอุปกรณ์ Multi-Tools ที่ว่านี้ เป็นอุปกรณ์ที่รวมเอาเครื่องมือสำคัญ ๆ หลากหลายชนิดมากระจุกกันเอาไว้ในที่เดียว แถมมันยังออกแบบให้มีขนาดเล็ก และพกพาไปไหนมาไหนสะดวกสุด ๆ อีกด้วย และนอกจากอุปกรณ์ Multi-Tools แล้ว Pocket Knives หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘มีดพก’ ก็เป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่ง ที่คนนิยมทั้งซื้อไปใช้งานจริง ๆ และซื้อไปเพื่อสะสม นอกจากนี้ ถ้าหากใครกำลังมองหาอุปกรณ์ และเครื่องมือช่างอยู่ แต่รู้สึกว่าของที่มีอยู่ตามท้องตลาดมันยังไม่ถูกใจ ใหญ่ไปบ้าง เล็กไปบ้างล่ะก็ เราขอแนะนำว่าบางทีคุณน่าจะหันมาลองอุปกรณ์ Multi-Tools เจ๋ง ๆ ที่ถูกจัดอันดับให้เป็น ‘Multi-Tools และ Pocket Knives’
“ลองทำแล้วยาก ไม่ทำแม่งละ เลิก!” ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี หลายสิ่งที่อยากเริ่มทำ แต่ก็อาจจะยังไม่ได้เริ่ม หรือบางอย่างอาจจะลองแล้ว แต่ไม่เวิร์ก ล้มเลิกไปกลางคัน เพราะรู้สึกว่ามันช่างยากเหลือเกิน ยากจนชีวิตนี้ไม่น่าจะทำได้ แล้วก็พาลล้มเลิกหลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่ครั้ง ความฝันที่ตั้งเป้าไว้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่ถูกขีดฆ่าให้ลดลง จนปีนี้นอกจากจะไม่มีที่ให้เติมเป้าหมายใหม่ ๆ เข้าไปเพิ่มแล้ว สิ่งที่พวกเราทำบ่อย ๆ ติดต่อกันหลายปี เลยเป็นการเลือกเป้าหมายใหม่ง่าย ๆ พื้น ๆ ให้มันพอทำได้เข้าไว้ จะได้ใกล้ความสำเร็จเสียบ้าง ก็อาจจะใช่ แต่ความภูมิใจและความโดดเด่นอาจจะน้อยเกินไป จนรู้สึกว่าชีวิตมันขาดสีสันเสียเหลือเกิน ปีหมาปีนี้ เรามีวิธีที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถทะลุขีดจำกัด ทำอะไรไม่เป็นก็โปรได้ ด้วยหลักการง่าย ๆ อยู่ที่ทำซ้ำ แล้วทำให้ยาวต่อเนื่องมากพอ แม้จะเจอช่วงน่าท้อใจ เพราะพยายามยังไงก็ไม่สำเร็จแล้วเผลอเลิกทำไป ก็ห้ามนับต่ออย่างเด็ดขาด ให้นับ 1 ใหม่ ทำมันไปต่อเนื่องทุกวัน แค่นั้นก็สำเร็จแน่นอน แต่เป้าหมายที่เราต้องทำนั้นคือความต่อเนื่องให้ครบ “100 วัน” ไม่ใช่แค่ 21 วันแล้วเลิก เราอาจจะคุ้นกับทฤษฎีที่ว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำ ๆ ต่อเนื่องอย่างน้อยวันละ 15 นาที
ผู้ชายอย่างเราเต็มไปด้วยบุคลิกภาพอันหลากหลาย บางบุคลิกภาพก็ทำให้คนตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น บางบุคลิกภาพก็ชวนให้เหม็นขี้หน้ากันได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกัน จึงไม่แปลกเลยว่าบุคลิกภาพคืออีกสิ่งที่โคตรจะมีความสำคัญ และไว้แบ่งระดับชั้นกันกลาย ๆ ได้ตั้งแต่แรกพบสบตาว่าเราจะจัดคนนั้นไว้ในตำแหน่งไหนของชีวิต แต่คุณรู้หรือไม่ว่าบางบุคลิกภาพก็สร้างความหวาดกลัว หวั่นเกรงให้กับผู้คนรอบตัวได้ตั้งแต่คุณเริ่มย่างกรายเข้าไปปรากฏกายอยู่ข้าง ๆ เขา คุณว่าคุณมีบุคลิกภาพที่ทำให้คนอื่นหวั่นเกรงหรือไม่? นี่คือบุคลิกภาพ 6 อย่างที่บ่งบอกว่าคุณแข็งแกร่งจนคนรอบข้างกลัวเกรง โยนสิ่งเล็กน้อยทิ้งไป เพราะมันไม่ควรเสียเวลาด้วย เด็ดขาด แข็งแกร่งดั่งขุนผาเมื่อคุณตระหนักอยู่เต็มอกดีว่าสิ่งที่โคตรมีค่าที่สุดในชีวิตคือเวลา ไม่ใช่การตามเช็ดตามล้างทุกอย่างได้ดั่งใจไปทั้งหมด บุคลิกภาพนี้คือการไม่ยอมเสียเวลาให้กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณมองปราดเดียวอย่างเด็ดขาดก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปยุ่งด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหรือคนแบบไหนก็ต้องหวั่นเกรงเพราะรู้ว่าจะทำให้คุณวอกแวกไม่ได้เลย มองปราดเดียวก็เห็นทางออก ในขณะที่ปัญหาต่าง ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และผู้คนรอบตัวของคุณกำลังนั่งบ่นว่าทำไมสิ่งนั้นถึงเกิดขึ้น สิ่งนี้ถึงแก้ไม่ได้ แต่คุณคือคนคนเดียวที่มองออกว่าทางแก้ปัญหานั้นคืออะไร บุคลิกภาพแบบนี้มันเปล่งประกายออกมารอบ ๆ ตัวเลยว่าปัญหาทั้งหลายอย่าเสียเวลามากล้ำกรายคุณ และทำให้คนรอบตัวคุณเกรงใจที่จะนำปัญหามาให้คุณอีกด้วย ปากตรงกับใจ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ในวันที่ใครจะพูดอะไรก็อ้อมกันไปกันมา กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด แต่การที่คุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวที่จะพูดอะไรออกไปอย่างที่ใจคิด ตรง ๆ แมน ๆ แต่ไม่ขวานผ่าซากจนไม่รู้จักมารยาทก็ทำให้คุณเป็นคนหนึ่งที่น่ากลัวเกรงในสังคมที่คิดว่าทุกคนจะเอาใจตัวเองด้วยการพูดอะไรดี ๆ เท่านั้น อาวุโสด้วยอายุสมอง แม้คุณจะเป็นคนที่อายุไม่ได้มากนักในวงสนทนาทั้งหลาย แต่ใคร ๆ
เริ่มต้นปีใหม่มาได้ไม่นาน คอหนังทั้งหลายคงถูกยั่วยวนด้วย trailer น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ที่เรียงคิวรอเข้าฉายในปี 2018 นี้ สำหรับคนที่กำลังวางแผนชวนสาวไปออกเดท หรืออยากพาแฟนไประลึกความหวานเหมือนตอนสมัยจีบกันใหม่ ๆ ในปีนี้อยู่ UNLOCKMEN ได้ทำการเลือกสรรเฉพาะหนังภาคต่อฟอร์มยักษ์แห่งปี ที่แววดี ดูเพลินทั้ง 4 เรื่องมาไว้ตรงนี้แล้ว เหมาะมากถ้าใช้สร้างโอกาสงาม ๆ ชวนสาวมานั่งย้อนดูภาคเก่า ๆ ที่บ้านเราให้ชื่นใจ ก่อนจะจูงมือกันไปดูต่อภาคใหม่ในโรงหนัง ใครชอบแนวไหน ตัดสินใจเลือกชมกันตามความชอบได้เลย Insidious : The Last Key เดินทางมาสู่ภาคที่ 4 สำหรับ Insidious หนังสยองขวัญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ โดยภาคนี้จะนำเรากลับมาที่บ้านของ Dr. Elise Rainier คนเห็นผีผู้สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้จริง ไม่เพ้อเหมือน ‘จิว ริตสัมผัส’ แน่นอน และจะต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่มีนิ้วมือเป็นกุญแจ ใช้ไขเปิดประตูแห่งความตายอันน่ากลัว ซึ่งนอกจากความน่ากลัวของผี และปีศาจในเรื่องแล้ว ในภาคนี้ก็แฝงด้วยเรื่องราวความน่ากลัวของมนุษย์ซ่อนไว้ด้วยเช่นกัน ลองมาดูกันว่าคนหรือผีจะน่ากลัวกว่ากัน สำหรับภาคนี้จะลุ้นระทึก และกดดันมากกว่าภาคก่อนแค่ไหน คงต้องไปหาคำตอบพร้อมความขนลุกเอง ดีไม่ดีคุณอาจจะโดนสวมกอด หรือเข้าซบจากผู้หญิงขี้กลัวข้าง
“คนที่ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบดีพออยู่แล้ว เขาไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียแจตลอดเวลาหรอกว่ะ” คุณยังเป็นคนหนึ่งที่เชื่อแนวคิดทำนองนี้แบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่หรือเปล่า? UNLOCKMEN อยากกระซิบบอกอย่างสุภาพและมีเหตุผลว่า “นี่ปี 2018 แล้วครับ” โลกกำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างเร็วไวไม่หยุดยั้ง ไม่มีความถูกต้องหนึ่งเดียวให้เราเสพอีกต่อไป และโซเชียลมีเดียก็ไม่ใช่ผู้ร้ายทำลายชีวิตอย่างที่เราเชื่อเท่านั้น ความเชื่อที่ว่าถ้าจะให้งานรุ่ง ต้องทิ้งโซเชียลมีเดียให้ร่วงกราวลงไปเท่านั้น มันจะยังเวิร์คอยู่จริง ๆ หรือ? วันนี้ UNLOCKMEN เอาเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่ควรทิ้งโซเชียลมีเดียไว้ข้างหลังถ้าอยากก้าวสุดพลังเรื่องงานไปข้างหน้าได้ไกลกว่าคนอื่น แต่ในฐานะที่ UNLOCKMEN คือเว็บไซต์ที่พาผู้ชายทุกคนก้าวเข้าสู่อณาจักรแห่งคอนเทนต์หลากหลาย ผู้ชายทุกคนคงไม่แปลกใจว่า “โธ่ ก็เป็นเว็บไซต์ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ก็ต้องเชียร์โซเชียลมีเดียอยู่แล้วล่ะสิ” เราอยากให้วางความคิดที่เคยมีแล้วทำใจร่ม ๆ เพราะโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นจอมวายร้ายอย่างที่เราเคยเข้าใจเสมอไป จากการศึกษาพบว่าแค่เฉพาะโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กได้สร้างวงอุตสาหกรรมตลาดงานขนาดยักษ์ โดยมีตำแหน่งงานกว่า 4.5 ล้านตำแหน่งถือกำเนิดขึ้นภายใต้การมีอยู่ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่นี้ แต่เดี๋ยวก่อน เราไม่ได้มาโฆษณาตลาดงานให้เฟซบุ๊กแต่อย่างใด แค่อยากบอกผู้ชายทุกคนอย่างใจ ๆ ว่า เฮ้ย โซเชียลมีเดียมันก็มีผลดี ๆ ต่อสัญชาตญานการทำงานของมนุษย์อยู่เหมือนกัน ด้านหนึ่งถึงจะร้าย แต่ภายในคือ “ตัวตน” อีกรูปแบบ “โห เล่นโซเชียลมีเดียขนาดนั้น ระวังเถอะเจ้านายจะมาคอยเช็ค แล้วไม่รับเข้าทำงานเอา!” เราก็ไม่อยากปฏิเสธวิธีคิดแบบนั้นเลยและอยากจะบอกด้วยซ้ำว่านั่นคือเรื่องจริง! แต่การที่มันเป็นเรื่องจริงไม่ได้แปลว่ามันมีแต่ข้อเสีย เพราะแนวคิดว่าโซเชียลมีเดียมีผลต่อการทำงานของเรานั้นคือแนวคิดที่โคตรจะสมเหตุสมผลและเป็นความจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ในแต่ละวินาทีที่โลกหมุนไป