Entertainment

BEHIND THE SONGS: เมื่อ “ความตาย” บันดาลดนตรี ว่ากันด้วย 7 บทเพลงที่เกี่ยวกับการฆ่า

By: Synthkid September 21, 2019

เป็นธรรมดาที่ศิลปินจะหยิบจับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มาร้อยเรียงเรื่องราว แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงดนตรีได้

พวกเราคุ้นเคยกับเพลงรัก เพลงอกหัก เพลงปลุกใจ หากก้าวขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ คุณอาจจะเคยได้ยินเพลงเสียดสีสังคม เสียดสีการเมือง เพลงปลุกใจ หรือแม้กระทั่งเพลงเกี่ยวกับศาสนา แต่รู้หรือไม่ว่าบนโลกนี้การ “ฆ่า” และการ “ฆาตกรรม” ก็จัดเป็นหัวข้ออันดับต้น ๆ ที่เหล่าศิลปินมักนำไปเป็นแรงบันดาลใจในผลงานเช่นกัน ลองคิดเล่น ๆ ดูว่า ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เราดูหนังที่มีฉากฆ่า อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับความตายไปแล้วกี่เรื่อง? เพลงก็เช่นกัน…

วันนี้ UNLOCKMEN จะหยิบยกบทเพลงที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับความตายโดยเจตนาเหล่านี้มาเล่าให้คอเพลงทุกคนฟัง โดยไม่มีเจตนาผลักดันให้คุณลุกขึ้นไปทำอะไรผิดกฎหมายหรือไร้มนุษยธรรม เพียงแต่เป็นการเล่าสู่กันฟังว่าบรรดาศิลปินเหล่านี้ สามารถแปรเปลี่ยนความโหดร้าย ให้กลายเป็น ‘ศิลปะ’ ได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นการตีแผ่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเพลงที่คุณอาจเคยฟัง แต่ไม่เคยรู้ความหมายก็เพียงเท่านั้น ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันว่ามีเพลงอะไรบ้าง

Wake Up Call – Maroon 5 

เพลงดังของวงดัง ตั้งแต่ปี 2007 บทเพลงว่าด้วยเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่จับได้ว่าถูกแฟนสาวนอกใจ หลายคนที่ถูกคนรักหักหลังฟังแล้วอาจจะรู้สึกอินจนแชร์ลงโซเชียลเพื่อสื่อความหมายระบายอารมณ์ แต่! ตรงช่วงท้าย ๆ ของเพลงนี้มันมีท่อนที่ร้องว่า “Six Foot Tall Came without a warning, So I had to shoot him dead He won’t come around here anymore” (ชายสูงหกฟุตตรงดิ่งมาหาผม ผมเลยยิงเขาให้ตาย จะได้ไม่โผล่หน้ามาแถวนี้อีก) ฉะนั้นจะหยิบเพลงนี้มาแชร์หรือส่งให้แฟนเก่าเมื่อไหร่ก็อย่าลืมฉุกคิดนะครับ จากผู้ชายเศร้า ๆ จะกลายเป็นผู้ชายโหดร้ายไม่รู้ตัว

 

Ten Cent Pistol – The Black Keys

Tent Cent Pistol เป็นเพลงบลูส์ร็อกจากสองหนุ่ม The Black Keys ที่มีกลิ่นอายวินเทจสุดเท่ แต่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าท่อน “She hit them with her ten cent pistol” นี่มันหมายความว่าอะไร?

‘Ten Cent Pistol’ เป็นคำสแลงที่เอาไว้เรียกยาเสพติดอาบยาพิษ ที่พวกค้ายามักทำขึ้นมาเพื่อแก้แค้นใครสักคน โดยส่วนมากจะใช้กับสารเสพติดประเภทเฮโรอีน แต่ Dan Auerbach ฟรอนต์แมนของวงได้อธิบายว่า เขาเอาคำนี้มาอุปมาเป็นอะไรสักอย่างที่ชั่วร้ายและสามารถทำร้ายคนได้ เช่น ระเบิดทำมือ (บางคนก็บอกว่าน้ำกรด) เพราะว่าผู้หญิงในเพลงนี้ถูกสามีหักหลัง เธอจึงต้องการฆ่าชายชั่วและชู้รักด้วย “การฆ่าราคาถูก” คือไม่แม้แต่จะให้ค่ากับความตายนี้นั่นเอง โหดมาก!

 

Delilah – Tom Jones

รู้หรือไม่ว่าเพลงยุค 50-60 ที่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมแบบนี้ มีคำชื่อเรียกเฉพาะว่า ‘Murder Ballad’ และเพลงดังปี 1968 อย่าง Delilah ของ Tom Jones ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงฮิตแนวนี้ที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการหยิบยกมาพูดถึง

เพลงนี้เกี่ยวกับชายขี้ริษยาที่แอบสะกดรอยตามคนรักเก่าและชายคนรักใหม่ โดยเขาซุ่มรอให้ฝ่ายชายออกจากบ้านไป จากนั้นจึงเคาะประตูเรียกหญิงสาวออกมา และเมื่อหญิงสาวเปิดประตู เธอก็ทำเพียงหัวเราะใส่เขาด้วยความหยามเหยียด การกระทำเช่นนั้นทำให้เขาคลุ้มคลั่ง จึงตัดสินใจใช้มีดแทงเธอจนตาย โดยผู้แต่งเลือกจะใช้คำว่า “I felt the knife in my hand” คือ ‘รู้สึก’ ถึงมีด ไม่ใช่การถือหรือกำมีดเอาไว้ เพราะอยากจะสื่อถึงความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นในจิตใจนั่นเอง เป็นเพลงสุดคมคายที่ทั้งไพเราะและน่าสยดสยองในคราวเดียวจริง ๆ

 

Jenny Was A Friend Of Mine – The Killers

The Killers ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าพวกเขาคือนักฆ่า! จริง ๆ แล้วเพลงที่เราหยิบยกขึ้นมาในวันนี้ เป็นหนึ่งใน “Murder Trilogy” หรือเพลงไตรภาคเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่มีเรื่องราวต่อกันอยู่ของพวกเขา โดยถ้าเรียงตามเนื้อเรื่อง (ไม่เรียงตามอัลบั้ม) Leave the Bourbon on the Shelf จากอัลบั้ม Sawdust จะถือเป็นฉากเปิด เมื่อชายหนุ่มเริ่มใคร่ครวญการปลิดชีวิตแฟนสาว ต่อด้วย Midnight Show ที่ถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างฆ่า และจึงจะปิดด้วย Jenny Was A Friend Of Mine ที่ฆาตกรถูกตำรวจจับ แต่กลับปฏิเสธทุกข้อกล่าวหานั่นเอง (สองเพลงหลังอยู่ใน Hot Fuss อัลบั้มเดียวกัน)

นอกจากนั้นวงยังบอกอีกว่าเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง Sister I’m a Poet ของ Morrissey หากอยากฟังให้ได้อารมณ์และเป็นเรื่องเป็นราว ก็อย่าลืมฟังทั้ง 3 เพลงของ The Killers ต่อกัน แล้วค่อยมาจบด้วยเพลง Morrissey เพลงนี้นะครับ

 

Charlie Manson Blues – The Flaming Lips

ชาร์ล แมนสันคือฆาตกรเลื่องชื่อในอเมริกา เรื่องราวของเขาถูกนำไปสร้างเป็นหนัง และถูกศิลปินยกไปเขียนในเพลงเยอะแยะมากมาย ฟังแล้วอาจจะขัดต่อศีลธรรมในใจไม่ใช่น้อย แต่ศาสดาแห่งลัทธิฆาตกรผู้นี้ ก็ทรงอิทธิพลกับวัฒนธรรมอเมริกันโดยเฉพาะ Pop Culture อย่างปฏิเสธไม่ได้ (หากคุณต้องการอ่านเรื่องราวของเขาเพิ่มเติม คลิก )

The Flaming Lips คือวงไซคีเดลิกร็อกชาวอเมริกันที่ขึ้นชื่อเรื่องความสุดโต่ง เพลง Chales Manson Blues ของพวกเขานั้น ชื่อมันก็บอกแล้วว่าเกี่ยวกับชาร์ล แมนสันแน่ ๆ หลายคนอาจรู้สึกไม่พอใจที่กล้าเอาชื่อคนอำมหิตพรรค์นี้มาแต่งเป็นเพลง แต่แท้จริงแล้วเนื้อหาในเพลงกลับไม่ได้เชิดชูฆาตกรแต่อย่างใด “Cause I’m slipping into the Charlie Manson Blues. I’m a stupid dressed Jesus son.” (พวกข้าถลำเข้าสู่บทเพลงบลูส์ของชาร์ล แมนสัน ข้าคือลูกของพระเยซูที่แต่งตัวอัปลักษณ์) หากตีความดี ๆ เนื้อเพลงนี้ค่อนไปทางเสียดสีการกระทำที่ชอบโน้มน้าวใจคนอื่นของแมนสันเสียมากกว่า เพราะแมนสันมักเปรียบเทียบตัวเองเป็นพระเยซู ชอบชักจูงเหล่าวัยรุ่นฮิปปี้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้เข้าร่วมเป็นสาวก แมนสันใช้ความไร้เดียงสาของวัยรุ่น ชักจูงพวกเขาให้ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย โดยที่พวกเขาเองไม่รู้แม้กระทั่งคำว่าผิดชอบชั่วดี

 

Psycho Killer – Talking Heads

Psycho Killer คือผลงานปี 1977 ที่เรียกได้ว่าขึ้นหิ้ง และเป็นที่รู้จักมากที่สุดของวง Talking Heads เพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละคร Norman Bates ของภาพยนตร์เรื่อง Psycho โดยความอัจฉริยะก็คือฟรอนต์แมนอย่าง David Byrne ผู้ไม่ได้มีปัญหาอะไรทางจิตทั้งนั้น สามารถถ่ายทอด ‘มโนคติ’ และสัญชาตญาณของนักฆ่าโรคจิตผ่านบทเพลงได้อย่างเยี่ยมยอด และในพาร์ทดนตรีก็ถือว่าแปลกแตกต่างจากวงพังก์วงอื่น ๆ ของยุค ทำให้ Talking Heads ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องสงสัย

“Psycho killer, qu’est-ce que c’est?” คือท่อนฮุคที่แสนติดหูของเพลงนี้ ประโยค qu’est-ce que c’est? เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “นี่คืออะไร?” ถูกเขียนขึ้นโดย Tina Weymouth มือเบสสาวของวง เพราะแม่ของเธอมีเชื้อสายฝรั่งเศส

 

Killing Machine – Judas Priest

Killing Machine บทเพลงของวงเฮฟวี่เมทัลตัวพ่อ Judas Priest เนื้อเพลงก็จะว่าด้วยเรื่องราวของนักฆ่าหนุ่มที่ไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากเงิน! “I got no face, no name, I’m just a killing machine I cut the population down, if you know what I mean” (ผมไร้ซึ่งใบหน้า ปราศจากนาม ผมเป็นแค่เครื่องจักรสังหาร ผมลดจำนวนประชากรลง คุณเข้าใจความหมายใช่ไหม?) นอกจากเนื้อเพลงจะโหดได้ใจแล้ว ทำนองก็ยังหนักหน่วงขึ้นสมอง จนเรารู้สึกว่าน่าเสียดายที่เกมเลือดสาดอย่าง GTA ไม่เอาเพลงนี้ไปประกอบ!

นอกจากนั้นแล้วเพลงดังอย่าง One Way Or Another ของ Blondie ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากฆาตกรต่อเนื่องอย่าง Ted Bundy และเพลง Jeremy ของ Pearl Jam ก็เกี่ยวกับการสังหารตัวเองต่อหน้าเพื่อนในชั้นเรียนของหนุ่มน้อย Jeremy  คุณสามารถอ่านเรื่องราวเหล่านั้นได้ที่นี่ คลิก

จริง ๆ แล้วมันก็น่าสงสัยว่าคนเราจะเขียนเพลงเกี่ยวกับการทำร้ายคนอื่นและความตายไปเพื่ออะไร แต่หากคิดมุมกลับหรือปรับมุมมอง มีภาพยนตร์และหนังสือหลายเรื่องที่ถ่ายทอดเรื่องราวพวกนี้ออกมาอย่างเป็นศิลปะ สวยงาม แถมยังสร้างความบันเทิงได้ เพลงและดนตรีเองก็คงเช่นกัน และศิลปินเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จจากการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ใช่จากการเป็นฆาตกร

เราเชื่อว่าคอเพลง UNLOCKMEN ทุกท่าน ย่อมมีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง ครั้งหน้า Behind The Songs จะนำเรื่องราวเบื้องหลังบทเพลงไหนมาเล่าสู่กันฟังอีก ก็ขอให้หนุ่ม ๆ ทุกคนติดตามกันต่อไป ไว้พบกันใหม่ครับ

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line