กระแสบ้านผีสิงกลืนกินคนของซีรีส์ดังทาง NETFLIX อย่างเรื่อง The Haunting of Hill House ที่สร้างปรากฏการณ์เรื่องราวสุดหลอนของครอบครัวให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง ด้วยดราม่ารสเข้ม ช่วยผูกปมของเรื่องให้มีมิติมากขึ้น ลูกเล่นของผีที่สลัดเอา Jump Scare เก่า ๆ ออกไป (แต่ก็ยังมีบ้างตามประสา Horror) UNLOCKMEN เลยอยากจะชวนหนุ่ม ๆ มาดูหนังบ้านผีสิงสุดหลอน พร้อมเนื้อหาเข้ม ๆ ที่จะปั่นประสาทจนคืนนี้เราต้องระแวงหลังทุกครั้งแม้อยู่ในบ้านตัวเอง Paranormal Activity (2007) Director : Oren Peli การเล่าเรื่องของเรื่องนี้ ถือว่าค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ในตอนนั้น ทำให้เรื่องนี้เป็นกระแสอยู่พักนึง เรื่องราวของคู่รัก Katie และ Micah ที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ในแคลิฟอร์เนีย แล้ว Katie รู้สึกถึงความไม่ปกติในตอนที่เธอใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ เธอเองเชื่อว่ามีสิ่งลี้ลับติดตัวเธอมาตลอด และมันยิ่งสำแดงชัดเจนขึ้นในตอนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จนต้องตั้งกล้องไว้ในบ้านเพื่อมองหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ความหลอนมันอยู่ตรงที่เราจะไม่ได้เห็นผีเป็นตัว ๆ หรือ Jump Scare เลยสักนิด แต่จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ
ตัวละครหลักในหนังหลายเรื่องที่เราเคยได้ดูมาอาจจะเป็นนักสืบหนุ่มสุดสมาร์ต ไหวพริบเป็นเลิศ หรือจะเป็นนักธุรกิจหนุ่ม รูปหล่อพ่อรวย ชีวิตสุดแสนเพอร์เฟ็กต์ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร แต่พวกนั้นช่างโชคดี มีต้นทุน หรือเป็นคนเก่ง คนเจ๋งซะจนรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขานั้นแสนจะน่าอิจฉา UNLOCKMEN ชวนให้หนุ่ม ๆ ลองเปลี่ยนมาดูหนังที่ตัวละครมีชีวิตใกล้เคียงความเป็นจริง เป็นแค่ผู้ชายทั่วไป ที่มีชีวิตแสนจืดชืดไปจนชีวิตสุด Fucked Up ที่เห็นแล้วได้แต่ปวดหัวแทน แถมยังเป็นหนัง Underrated ที่ได้รับกระแสตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย ซึ่งเราไม่อยากให้คุณพลาดไปสักเรื่องเดียว The Hitman’s Bodyguard (2017) Director : Patrick Hughes เรื่องนี้รับประกันความฮาและความกวนตีนระดับสิบ ตั้งแต่เห็นชื่อนักแสดงนำอย่าง Ryan Reynolds มารับบทบอดี้การ์ดมือดีที่ต้องพานักฆ่าระดับพระกาฬอย่าง Samuel L. Jackson ไปถึงที่หมายภายในเวลา 24 ชั่วโมงให้ทันให้ได้ นอกจากจะต้องปวดหัวกับคนนอกที่หวังจะสอย Samuel ให้ร่วงแล้ว ยังต้องมาปวดหัวกับความไม่ลงรอยของทั้งคู่ เมื่ออีกคนคือนักฆ่าอีกคนคือผู้ปกป้อง แต่ดันต้องมาร่วมมือกันให้ถึงที่หมาย ความวายป่วงจึงเกิดขึ้นตั้งแต่สองคนนี้เจอหน้ากันแล้ว The Nice Guys (2016) Director :
ถ้าพูดถึงซีรีส์ยอดนิยมบน Netflix บริการ Online Streaming อันดับ 1 ในขณะนี้ Stranger Things , Narcos, Daredevil, 13 Reasons Why ชื่อเหล่านี้คงเป็นชื่อแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ต่างแนวกันไปไม่ว่าจะแฟนตาซี, อาชาญกรรม, แอ็คชั่นซูเปอร์ฮีโร่, ดราม่า แต่หนึ่งแนวที่ดูเหมือนจะเป็นชายขอบสำหรับ Netflix มาโดยตลอดคือแนวสยองขวัญกระตุกต่อมความกลัว แต่แล้วอยู่ ๆ ซีรีส์สยองขวัญใน Netflix ก็กระโดดมาอยู่ในกระแสหลักจากการมาของซีรีส์เรื่องหนึ่งซึ่งเราจะพูดถึงในวันนี้ นอกจากนั้นเราขอแนะนำเรื่องอื่นเพิ่มเติมไปด้วย เพราะเราอยากบอกว่าถึงแม้ปริมาณซีรีส์แนวนี้จะมีน้อย แต่ความสนุกและคุณภาพนั้นไม่ได้น้อยตามไปด้วยเลย Bates Motel 2013-2017, 5 Season ซีรีส์ Spin-Off จากภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับตำนานแห่งยุค 60 อย่าง ‘Psycho’ ผลงานของปรมาจารย์ผู้กำกับของโลก ‘Alfred Hitchcock’ โดยเรื่องราวใน Bates Motel นี้จะเล่าถึงช่วงเวลาก่อนถึงเหตุการณ์ใน Psycho ดังนั้นเราจะได้เห็น Norman Bates ในช่วงที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาเพิ่งสูญเสียพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวไป Norman จึงเหลือแค่ผู้เป็นแม่
หนังเอาชีวิตรอดยังคงเป็นสิ่งที่กระตุ้นอะดรีนาลีนของเราได้เป็นอย่างดี เหมือนเป็นการไปสะกิดต่อมสัญชาตญาณเอาตัวรอดของคนเรา ที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนเหมือนตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นซะเอง แต่การเอาตัวรอดบนพื้นโลกดูจะน่าเบื่อไปแล้ว UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาเอาใจช่วยตัวละครให้รอดชีวิตในอวกาศ หาทางกลับโลกกับ 5 หนังผจญภัยในอวกาศที่เราคัดมาให้ เหมือนทุกครั้งที่เราอยากบอกเสมอว่า นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังดี เราไม่ได้แนะนำด้วยคะแนนวิจารณ์ หรือตัดสินด้วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเพียงลิสต์หนังที่เราอยากบอกต่อเหมือนเพื่อนแชร์หนังหรือชวนกันดู อย่าได้หัวเสียถ้าหากไม่มีหนังที่ตรงใจคุณในลิสต์นี้ Interstellar (2014) Director : Christopher Nolan เมื่อโนแลนมาจับงานอวกาศทั้งทีจะเป็นเนื้อเรื่องธรรมดาได้ที่ไหน เมื่อโลกเข้าสู่ยุคที่ขาดแคลนอาหาร ภัยธรรมชาติคุกคามอย่างไม่ลดละ จนเหมือนโลกใบนี้ไม่อาจให้เราอาศัยต่อไปได้ มนุษยชาติจึงไม่อาจนิ่งนอนใจ เมื่อปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตเริ่มสั่นคลอนไปถึงสองอย่าง ทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย จึงต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รำรงอยู่ต่อไป แต่การเยียวยาโลกใบนี้ดูจะเป็นงานหนักเกินไปที่จะทำได้ ภารกิจหาที่อยู่ใหม่อันไกลโพ้นจึงเกิดขึ้น คุณพ่อลูกสองอย่าง “Cooper” จำเป็นต้องเข้าร่วมภารกิจนี้ เพื่ออนาคตของลูก ๆ และมนุษยชาติ แม้เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าภารกิจนี้มันจะยาวนานแค่ไหนก็ตาม Gravity (2013) Director : Alfonso Cuarón Ryan Stone และ Matt Kowalski ต้องไปเอากล้องที่เสีย ระหว่างทางก็โดนวัตถุพุ่งชนยานจนเกิดความเสียหาย ทำให้พวกเขาต้องหาทางกลับโลกกันเอาเอง
ผู้ชายสามศอกเป็นอันต้องหดเหลือสามเซ็นฯ (อก) เมื่อต้องดูหนังสยองขวัญ ที่มักจะปล่อย Jump Scare ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยมักจะหลีกเลี่ยงหนังประเภทนี้ตอนไปกับสาว เพราะอายเหลือเกินที่จะมานั่งปิดตาไปครึ่งเรื่อง เลยแอบมาดูเองที่บ้านอย่างเงียบ ๆ ปิดไฟสร้างบรรยากาศให้ชวนขนหัวลุกเข้าไปอีกหน่อย ไม่ว่าจะผีไทยผีเทศก็ไม่เกี่ยง ถึงจะกลัวหัวหดขนาดไหน ก็ยังจะสรรหาหนัง Horror แบบนี้มาสะกิดขนหัวให้ลุกซู่อยู่เสมอ UNLOCKMEN จะพาหนุ่ม ๆ มาหาคำตอบว่าทำไมคนเราถึงยังอยากจะดูหนังสยองขวัญ ทั้งที่เราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรากลัวแค่ไหน กลัวนักแล้วดูไปทำไม ? เรื่องนี้ Dr. Glenn Walters เคยพูดถึงไว้ใน Journal of Media Psychology ว่า “คนเราดูหนังสยองขวัญเนี่ยเพราะเราอยากที่จะรู้สึกกลัว ตื่นเต้น ตกใจ พอได้ตกใจอย่างที่หวังไว้แล้ว เราจะไม่อยากดูเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้ง เพราะดูอีกครั้งมันก็ไม่ตกใจแล้ว เราเลือกดูหนังสยองขวัญส่วนมากก็เพราะอยากได้ความตระหนกตกใจเป็นผลลัพธ์ แล้วทีนี้ในเรื่อง แม้จะน่ากลัวขนาดไหน เราจะเอาชนะภูติผีพวกนั้นได้ในที่สุด เหมือนเราได้ชนะความน่ากลัวของพวกมันไงล่ะ เราเองก็อยากเอาชนะความของตัวเองด้วยการบังคับตัวเองให้ดูหนังพวกนี้ แม้จะดูจริง ๆ แค่นิดเดียวก็ตาม” ทีนี้คงพอเห็นภาพมากขึ้นว่าเรามีเหตุผลอะไรที่เลือกดูหนังชวนขนหัวลุกพวกนี้ คือ เราต้องการให้เกิดผลลัพธ์ทางอารมณ์กับตัวเราเอง สมมติว่าในวันนี้เครียดมาก อยากได้อะไรเบาสมองดูซะหน่อย เราก็เลือกหนัง Comedy หรือพวก Romance เพื่อให้เราไม่ต้องไปเจอกับเรื่องเครียด ๆ
เมื่อพูดถึงหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงคราม ผู้ชายอย่างเรามักจินตนาการออกแต่ทหาร เสียงปืน การสู้รบ เลือดพุ่งกระฉูด การปกป้องแผ่นดิน แต่ในความเป็นจริงสงครามยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ที่มากกว่าสนามรบอีกมาก ทั้งชีวิตประชาชนตาดำ ๆ ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งเชลยสงครามที่ถูกกักขังอยู่นานแสนนาน ทั้งคนที่ไม่ได้ออกหน้าสู้รบแต่วางแผนเบื้องหลังสงคราม สงครามจึงไม่ใช่แค่เรื่องการสู้รบของทหาร แต่สงครามคือชีวิตของผู้คนที่ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพามาตะลุยกับหนัง 5 เรื่องที่มีฉากหลังเป็นช่วงสงคราม แต่แทบไม่ได้พูดถึงสนามรบและการสู้รบเลย แต่จะว่าด้วยอะไรบ้างนั้น เราก็อยากชวนมาดูไปพร้อม ๆ กัน The Reader หนังว่าด้วยความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มอายุ 15 กับสาววัย 36 ปี ทุก ๆ ครั้งก่อนเธอกับเขาจะร่วมรักกัน เขาจะต้องอ่านหนังสือให้เธอฟังเสมอ ๆ กาลเวลาและเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเขาต้องพลัดพรากจากกัน กว่าจะมาเจอกันอีกทีก็คือในศาลซึ่งเธอกำลังรอการพิพากษาในฐานะ อาชญากรสงคราม! ใช่ นี่คือหนังที่เล่าถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บางคนคือคนที่อยู่ในค่ายกักกัน ในขณะที่บางคนก็คือเจ้าหน้าที่จากฟากนาซีที่ลงมือสั่งปลิดชีพผู้คน และเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในนั้น หนังเรื่องนี้พาเราเข้าสู่ความสัมพันธ์ ปมชีวิต ชี้ให้เห็นทุกซอกมุมของความเป็นมนุษย์ และสิ่งที่สงครามกระทำต่อพวกเราอย่างเลือดเย็นแม้ว่าสงครามจะจบลงไปแล้ว รับรองว่าชวนดื่มด่ำ ขัดข้อง และโศกเศร้าจนเราจะมองสงครามและชีวิตมนุษย์ได้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป Life
ขึ้นชื่อว่าความรักที่เป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นอีกสิ่งที่เราไม่อาจเอาบรรทัดฐานไหนไปตัดสินเรื่องของใครได้ “รักไร้พรมแดน” จึงดูไม่ใช่เรื่องเกินจริงสักเท่าไหร่ เพราะความรักไม่จำกัดเพศ สถานะ สีผิว หรือแม้แต่สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน ความรักก็สามารถเกิดขึ้นได้ UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูมุมมองความรักแบบที่อาจพบเจอได้ไม่บ่อย อย่างเรื่องราวความรักของคนและสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน ที่จะมาเปิดโลกความรักของเราให้กว้างไกลมากขึ้น ว่าสุดท้ายแล้วความรักมันขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่แท้จริงจนไม่อาจมีอะไรมาขวางกั้น Cyborg She เรื่องราวสูตรสำเร็จของหนังโรแมนติกคอมเมดี้ หนุ่มเฉิ่มที่ไม่ได้เป็นที่สนใจของใคร ใช้ชีวิตธรรมดาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอกับสาวคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มชวนฝันให้กับเขา เวลาแห่งความสุขมักจะอยู่ไม่นาน เขาและเธอมีเหตุให้ต้องจากกัน หนึ่งปีผ่านไปทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแต่เธอนั้นกลายเป็นหุ่นยนต์สาวซะได้ แถมบอกว่าเธอมาจากอนาคต เขาจะจัดการกับเรื่องยุ่ง ๆ นี้ยังไง ในเมื่อเธอเป็นทั้งรักแรกพบและหุ่นยนต์สาว Bee Movie เราคงพอนึกภาพออกในความรักของสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่นี่คือเรื่องราวที่ Beyond ไปยิ่งกว่านั้น เพราะนี่คือความรักของคนกับผึ้ง! ใช่แล้ว ผึ้งที่ผลิตน้ำหวานให้เรานั่นแหละ ไม่ผิดตัว เรื่องราวของโลกในรังผึ้ง ที่มีการฝึกฝนผึ้งไปเป็นผึ้งงาน มีการพูดคุยกัน ใช้ชีวิตกันเหมือนกับคนนี่แหละ ผึ้งที่ออกมานอกรังได้คือผึ้งที่จบการศึกษาแล้ว Barry B. Benson ก็เป็นหนึ่งในผึ้งที่จบการศึกษา แต่เขามีความคิดที่ต่างจากผึ้งทั่วไป เขาได้พบกับสาวเจ้าของร้านดอกไม้อย่าง Vanessa Bloome ความซุกซนในดวงตาของเธอเย้ายวนเขาเสียจนลืมกฎข้อสำคัญอย่างการพูดคุยกับมนุษย์ไปซะ Blade
ต้องยกให้เป็นตำนานตัวจริงสำหรับจักรวาลหนังชุด Star Wars หลังโลดแล่นอยู่ในวงการจอเงินมากว่า 41 ปี พร้อมสร้างแรงบันดาลใจและส่งอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ไว้มากมาย ทั้งเรื่องบทภาพยนตร์ที่ชวนติดตาม และขาดไม่ได้คือ Visual Effects ที่พาผู้ชมทุกยุคสมัยไปสัมผัสกับภาพของสงครามอวกาศที่ดูสมจริงได้เสมอ (อย่างน้อยก็ในช่วงยุคนั้น ๆ) ล่าสุดเกิดการพูดคุยกันเป็นวงกว้างหลังมีคนไปพบวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำของหนังภาค The Empire Strike Back ถูกอัพโหลดลงใน YouTube มีความยาวเกือบหนึ่งชั่วโมงแถมยังเต็มไปด้วยฟุตเทจหายากที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอีกด้วย วิดีโอ The “Lost” Empire Strikes Back Documentary by Michel Parbot (1980) ถูกอัพโหลดโดยช่องใน YouTube ที่ใช้ชื่อว่า Adywan revisited สร้างความฮือฮาให้แฟนเดนตายของจักรวาลหนัง Star Wars โดยเฉพาะรุ่นเก๋าได้หวนรำลึกถึงอดีตอีกครั้ง เพราะตลอดความยาวเกือบ 59 นาทีนั้นวิดีโออัดแน่นไปด้วยฟุตเทจหาดูยาก ซึ่งเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำจากหนังเรื่อง Star Wars Episode V : The Empire Strikes Back ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ในสมัยละอ่อนของนักแสดงนำอย่าง Mark
เวลาจะเลือกหนังดูสักเรื่อง หลายคนอาจเบ้ปากให้กับหนังเชิงปรัชญาที่ต้องขบคิดกับปริศนาปลายเปิดที่ทิ้งไว้ให้เรานั่งทำหน้างงเป็น Question Mark เพราะมักจะติดภาพเดิม ๆ ว่าจะต้องเป็นหนังน่าเบื่อ ไดอะล็อกยาว ๆ เข้าใจยาก UNLOCKMEN อยากแนะนำหนังเจ๋ง ๆ ที่ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นหนัง Sci-Fi ล้ำ ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันมีประเด็นทางปรัชญาแทรกอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ดูได้แบบเพลิน ๆ ไม่มีเบื่อ Blade Runner 2049 (2017) Director : Denis Villeneuve ตัวดำเนินเรื่อง K ตำรวจคนเหงา เหงาตั้งแต่เห็นหน้าในฉากแรก ที่มาเก็บกวาดพวกมนุษย์เทียมรุ่นเก่า Nexus-8 ที่เคยก่อกบฎให้ราบคาบ แต่ภารกิจสุดแสนธรรมดานี้กลายเป็นปริศนาใหญ่ ที่ทำให้เขาต้องพบกับเรื่องราวปริศนา ที่พัวพันถึงตัวตนของเขาด้วยเช่นกัน ยิ่งสืบลึกลงไป ยิ่งสร้างความสับสนให้เขา “ไหนบอกไม่น่าเบื่อไง! เรื่องแรกมาก็จะหลับแล้ว” เชื่อว่าใครหลายคนต้องแอบคิดในใจตอนเห็นชื่อเรื่องนี้แน่นอน บอกก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ Sci-Fi ที่ถือปืนเลเซอร์ ไล่ยิงกันบนรถหน้าตาล้ำ ๆ อะไรแบบนั้น มันคือหนังที่เน้นอารมณ์ของตัวละครด้วยการสร้างอารมณ์ร่วมตั้งแต่วินาทีแรกของหนัง ด้วยไดอะล็อกที่โคตรจะน้อย การดำเนินเรื่องแบบค่อย ๆ
ดูจะเป็นปีที่คึกคักทีเดียวสำหรับ Phil Knight ชายผู้ก่อตั้งและเจ้าของอาณาจักรแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง NIKE หลังประสบความสำเร็จกับแคมเปญโฆษณา Colin Kaepernick จนครองพื้นที่ในใจคนรุ่นใหม่ไปทั่วโลก ยอดขายยังพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 31% ภายในชั่วพริบตา ไม่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนกระแสชีวิตของเค้ายังน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง เมื่อล่าสุด NETFLIX เตรียมซื้อลิขสิทธิ์หนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวที่ชื่อ SHOE DOG มาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยสุดในรัฐโอเรกอนพึ่งฉลองความสำเร็จขององค์กรด้วยการบริจาคหุ้นกว่า 12 ล้านหุ้นให้แก่องค์กรการกุศลทั่วสหรัฐอเมริกา ตามคำสั่งของ Penelope Knight ภรรยาของเขา ซึ่งเริ่มขึ้นตอนเธอเข้ามารับหน้าที่กรรมการบริหารของบริษัท ฉะนั้นในทุก ๆ ปี NIKE จะต้องมีกิจกรรมเพื่อสังคมเสมอห้ามผิดนัด โดยจำนวนหุ้นที่บริจาคไปทั้งหมดคิดเป็น 0.7 เปอร์เซ็นต์ของทาง NIKE หรือ 3.1 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนทรัพย์สินทั้งหมดของ Knight Family ซึ่งจุดเริ่มต้นของเงินทุกบาททุกสตางค์มาจากเงิน 50 ดอลล่าร์ที่เขายืมจากคุณพ่อเพื่อมาก่อตั้งอาณาจักร NIKE ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานและประสบความสำเร็จเหมือนในปัจจุบัน ตามที่เคยบรรยายไว้ในหนังสือของตัวเขาเองที่ชื่อ SHOE DOG SHOE DOG เป็นหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวพูดถึงเรื่องราวระหว่าง Phil Knight และแบรนด์ที่สร้างขึ้นมากับมืออย่าง NIKE เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนจะให้กำเนิดแบรนด์ ไปจนถึงเล่าเรื่องเส้นทาง อุปสรรค และแนวความคิดต่าง
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทุกวันนี้การตัดสินใจไปดูหนังสักเรื่องของเราเกิดจากหลายตัวแปร หนึ่งในนั้นคงจะหนีไม่พ้นรีวิวและคำวิจารณ์ของเพจหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มักออกมาให้คะแนนกัน ซึ่งหลายครั้งคะแนนอันน้อยนิดก็ส่งผลให้คนอ่านเกิดความคิดว่าไม่คุ้มค่าถ้าจะเสียเวลาดู แต่ล่าสุดเหมือนว่าหนังแอนตี้ฮีโร่อย่าง VENOM จะต่อสู้กับกระแสลบ ๆ ของคำวิจารณ์ได้แล้ว หลังเปิดตัวพร้อมฟันรายได้สูงสุดตลอดกาลเดือนตุลาคมของ Box Office ไปเป็นที่เรียบร้อย VENOM ได้คะแนน TomatoMeter จากเว็บไซต์ชื่อดัง Rotten Tomartoes เพียง 31 เปอร์เซ็นต์ถือว่าน้อยมากสำหรับภาพยนตร์จาก Sony Pictures ที่รู้กันดีว่าถึงแม้พวกเขาจะตั้งใจผลิตหนังแนวต่าง ๆ ออกมาเพื่อกอบโกยเงินคนจากคนดู แต่ในแง่ของคุณภาพหนังความหวังทำเงินก็ไม่เคยได้รับคะแนนต่ำขนาดนี้มาก่อน แม้บางครั้งจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม ในขณะเดียวกัน VENOM ก็ต้องเผชิญปัญหาจากการจัดเรทของสมาคมภาพยนตร์สหรัฐอเมริกา ที่วางให้พวกเขาอยู่ในระดับ PG-13 ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่ารูปแบบหนังจะออกมาไม่โหดเหมือนใน Comics ที่แฟน ๆ ต่างรู้ดีว่า VENOM มันต้อง Rate-R เท่านั้นถึงจะเสมือนจริง แต่ผลกลับตรงกันข้ามเพราะสัปดาห์แรก VENOM กลับได้ผลตอบรับดีเกินคาด ทำเงินได้ถึง 80 million USD จนกลายมาเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 ตลอดกาลเดือนตุลาคมของ Box
หลังจากที่เคยปรากฏตัวมาแล้วครั้งหนึ่งบนจอเงินใน Spider-Man 3 แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างทำให้ซูเปอร์ฮีโร่มนุษย์แมงมุมฉบับ Tobey Maguire ภายใต้ชายคา Sony Pictures ไม่ได้ไปต่อ โดนตัดจบไว้แค่ภาค 3 ผู้ชมอย่างเราเหมือนโดนปล่อยเกาะ ลอยคออยู่กลางทะเล โดยที่ยังไม่ทันได้รู้จักกับตัวละครอย่าง Venom ดีพอ เวลาล่วงเลยมากว่า 11 ปี ในที่สุดเขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมความยิ่งใหญ่ที่มากกว่าเดิม เนื่องจากคราวนี้ไม่ได้ปรากฏตัวในฐานะตัวละครสมทบในภาพยนตร์เรื่องอื่น แต่ในฐานะตัวละครเอกในหนังเดี่ยวของตัวเอง ดังนั้นก่อนจะตีตั๋วเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ เรามาทำความรู้จักตัวละครนี้กันก่อนดีกว่า จะได้เต็มอิ่มกับอรรถรสของหนังโดยไม่ตกหล่นเรื่องข้อมูล ปรสิต Symbiote เจ้าปัญหา ถ้าจะอธิบายที่มาที่ไปของตัวละคร Venom ให้เข้าใจง่ายที่สุดคงต้องเริ่มจากทำความรู้จักเจ้าปรสิต Symbiote ซึ่งเป็นปรสิตที่มีต้นกำเนิดจากนอกโลก แต่ด้วยเหตุบางอย่างทำให้มันได้มาอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งเมื่อปรสิตเจ้าปัญหาตัวนี้ได้เข้าไปยึดครองร่างของใคร คน ๆ นั้นก็เปลี่ยนจากคนธรรมดากลายเป็น Venom ที่มาพร้อมพลังพิเศษทันที เมื่อการเป็น Venom ไม่เกี่ยวกับพลังพิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับว่าปรสิต Symbiote จะเข้าครอบครองร่างของใคร ดังนั้นในประวัติศาสตร์จักรวาล Marvel จึงมีผู้กลายร่างเป็น Venom มากมายหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Spider-Man, Eddie Brock, Mac Gargan, Flash Thompson, Lee Price, Tel-Kar, Anne Weying, Patricia Robertson, Angelo Fortunato แต่ในภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายนี้จะเล่าเฉพาะ Venom ในร่างของ Eddie