จากความสำเร็จของ “รอยัล โอ๊ค ฟรอสต์ โกลด์” (Royal Oak Frosted Gold) เวอร์ชั่นสำหรับเวิร์กกิ้งวูแมน ที่เปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจเมื่อพฤศจิกายน 2016 ก็ถึงคราวที่ โอเดอมาร์ ปิเกต์ (Audemars Piguet) ส่งผ่านประณีตศิลป์อันแสนท้าทายให้กับเหล่าสุภาพบุรุษสุดเนี้ยบกันบ้าง กับเรือนเวลา “รอยัล โอ๊ค ฟรอสต์ โกลด์ ลิมิเต็ด อิดิชั่น” ล่าสุด บนตัวเรือนไวท์โกลด์ 18 กะรัต ขนาด 41 มิลลิเมตร จับคู่สายนาฬิกาวัสดุเดียวกับตัวเรือน โดดเด่นด้วยดีเทลระยิบระยับดุจประกายจากเพชร ผลลัพธ์ล้ำค่าด้วย “ฟลอเรนทีน เทคนิค” (Florentine technique) โดยการตีเนื้อทองด้วยสลักหัวเพชรลงบนพื้นผิวตัวเรือนและสายนาฬิกาเพื่อให้เกิดรอยประทับขนาดเล็ก เทคนิคเก่าแก่ที่นิยมใช้ในการออกแบบจิวเวลรีแบบดั้งเดิม ก่อนต่อยอดสู่ความตื่นเต้นครั้งใหม่ของเรือนเวลาระดับมาสเตอร์พีซได้อย่างลงตัว คงลุคที่เฉียบขาดด้วยพื้นหน้าปัดสีน้ำเงินในลวดลายกรองด์ ตาปิสเซอรี่ (Grande Tapisserie) พร้อมด้วยกระจกฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์ และเข็มบอกเวลาเคลือบสารเรืองแสง ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ คาลิเบอร์ 3120 กันน้ำลึก 50 เมตร ผลิตจำกัดเพียง
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะได้มีโอกาสพูดคุยกับ เจสัน เพทรี่ (Jason Petrie) นักออกแบบ ที่ทำงานสร้างสรรค์รองเท้าบาสเกตบอลร่วมกับซูเปอร์สตาร์อย่างเลอบรอน เจมส์ (LeBron James) มานานกว่าหนึ่งทศวรรษ ถึงจุดเด่นของรองเท้าบาสเกตบอลตระกูลเลอบรอนรุ่นล่าสุด ซึ่งรวมถึงการเลือกใช้นวัตกรรมเส้นใยไนกี้แบทเทิลนิต (Nike BattleKnit) ที่ช่วยเสริมให้รองเท้าบาสเกตบอลเลอบรอน 15 โดดเด่นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเพทรี่กับเจมส์ได้ร่วมพัฒนารองเท้าบาสเกตบอลตระกูลเลอบรอนหลายรุ่นตั้งแต่รุ่นเลอบรอน 7 (LEBRON 7) รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ตระกูลเลอบรอนโซลเยอร์ (LEBRON Soldier series) และยังคงพัฒนาสุดยอดรองเท้าบาสเกตบอลตระกูลเลอบรอนมาถึงรุ่นที่ 15 (LEBRON 15) ที่พวกเขาก้าวข้ามขีดจำกัดไปอีกขั้น รองเท้าบาสเกตบอลตระกูลเลอบรอนออกวางจำหน่ายมาจนถึงรุ่นที่ 15 แล้ว มีกฎในการสร้างสรรค์ใดบ้างที่คุณต้องปฏิบัติตามอย่าเคร่งครัด และมีกฎข้อใดหรือไม่ที่คุณเลิกให้ความสำคัญไปแล้ว? เรามีกฎสำคัญในการสร้างสรรค์ 3 ข้อ ได้แก่ 1. “ทำให้เท้ามั่นคงเพื่อเอื้อต่อการกระโดด – Lock me down so I can fly” ซึ่งเป็นคำขอของเลอบรอนโดยตรง 2. “ลดการบาดเจ็บได้ – Protect me
ถ้าพูดถึงแฟชั่น เรานึกถึงแบรนด์ฝรั่งเศส ถ้าพูดถึงรถยนต์ เรานึกถึงประเทศเยอรมนี ในด้านงาน Craft ของสินค้า กระบวนการผลิต และความสวยงาม ประเทศไทยของเรานั้นถือว่ามีความโดดเด่นไม่แพ้ใครในโลก เรามีของดี จากวัตถุดิบที่ดี แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่จะอยู่แค่ในระดับ OTOP หรือสินค้าพื้นบ้าน ในขณะที่เรานั่งมองสิ่งเหล่านั้นจนชิน แบรนด์ฝรั่งต่างชาติ ต่างขวนขวายเอาของดี ไอเดียสินค้าจักสานของไทยไปปรับเปลี่ยน สร้างมูลค่าให้แบรนด์เหล่านั้นกันเป็นว่าเล่น เพียงเพราะเราขาดการทำ branding ที่ดี ขาดการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเหล่านั้น แต่ข่าวดีคือตอนนี้เราได้รู้จักกับ StartUp น้องใหม่ ที่คว้ารางวัลชนะเลิศบนเวทีการประกวดมาแล้วมากมาย โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การผลักดันให้สินค้างาน Craft ของไทย มีการออกแบบที่ทันสมัย มี branding ที่ดี รวมถึงการทำ packaging ที่สร้างมูลค่าได้มากมายทวีคูณ จักสานไทยสู่ตลาดสากล website น้องใหม่ในนาม VT THAI หรือวิถีไทย เกิดขึ้นริเริ่มด้วยคุณจิรโรจน์ ได้มีโอกาสเดินทางไปตามต่างจังหวัดของไทยในแต่ละพื้นที่ซึ่งเห็นว่างานจักสานของไทยนั้นเป็นงานฝีมือภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีความสวยงาม มีคุณค่าและใช้เวลาในการทำ หากแต่ราคาของมันนั้นช่างสวนทางกับมูลค่าและคุณค่าที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นยังได้เห็นถึงปัญหาในด้านต่าง ๆ อาทิ การออกแบบสินค้าที่ไม่มีการเปลี่ยนไปตามยุคสมัย หรือความรู้ในด้านภาษาต่างประเทศ ไปจนถึงการทำการตลาด ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการที่จะผลักดันสินค้าไทยสู่ตลาดสากล
เมื่อตัวจริงแห่งวงการดีไซน์เดนมาร์กมาเจอกับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่จากสวีเดน…ความร่วมมือครั้งสำคัญที่สั่นสะเทือนวงการออกแบบระดับโลกเมื่ออิเกีย ผนึก Hay รังสรรค์คอลเล็คชั่นใหม่ “YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก” สะท้อนค่านิยมและเอกลักษณ์ของงานออกแบบแถบสแกนดิเนเวียที่โดดเด่นด้วยความสวยงามและคุณภาพ ผสานกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย มีสินค้าใหม่ให้เลือกกว่า 35 รายการ ตั้งแต่ โซฟาเบด โต๊ะกลาง เก้าอี้ โคมไฟ กระจก ปลอกหมอน กล่องเหล็ก จนถึงไอคอนประจำอิเกียอย่าง ถุงพลาสติกสีน้ำเงินที่นำมาออกแบบปรับโฉมใหม่เพิ่มเติมลวดลายและสีสันละมุนตา พบกับคอลเล็คชั่น “YPPERLIG (อิปเปอร์ลิก)” ได้ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมนี้ ที่อิเกีย เมกาบางนา คอลเล็คชั่น “YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก” เป็นความร่วมมือกันเพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และแบ่งปันประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท อิเกียมีความรู้ด้านการผลิตอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่ HAY สร้างเสน่ห์ให้กับผลงานของตัวเองด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ การร่วมงานกันครั้งนี้ คือความท้าทายของทั้งสองฝ่ายที่ค่อยๆ หาจุดสมดุลที่เป็นที่พอใจของทั้ง 2 ฝ่าย จนได้ผลลัพธ์เป็นคอลเล็คชั่น YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านที่มีความสวยงามด้วยรูปทรงเรขาคณิตและสีละมุนตา ใช้วัสดุคุณภาพดีมีความคงทน ใช้งานได้จริง ในราคาที่เหมาะสม Marcus Engman หัวหน้าทีมดีไซน์ประจำอิเกีย สวีเดน เล่าถึงความร่วมมือกับ HAY ในครั้งนี้
ท่ามกลางความทันสมัย สะดวกสบาย ของมหานครใหญ่อย่างกรุงเทพฯ พื้นที่ซึ่งมีความเจริญแทรกซึมอยู่แทบทุกตารางนิ้ว แต่เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่กำลังเลือนหายไป สวนทางกับการพัฒนาที่กำลังรุดหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ และสิ่งนั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความสงบ ความเป็นส่วนตัว ที่แทบจะหาไม่ได้ในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายแห่งนี้ ยิ่งใครที่มีความต้องการอยากหาที่อยู่อาศัยในเมือง ที่เพียบพร้อมทั้งความสงบ ความเป็นส่วนตัว เพื่อตอบสนองการพักผ่อน เติมเต็มคำว่าที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ เรียกได้ว่านี่คือโจทย์หินที่หลายคนต้องพลิกแผ่นดินหากันจนท้อ แต่ความสงบในเมืองใหญ่แม้จะหายาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีจริง เพราะล่าสุด UNLOCKMEN ได้มีโอกาสไปสัมผัสวิถีชีวิตการอยู่อาศัยระดับพรีเมียม ในโครงการ ASHTON RESIDENCE 41 เรสสิเดนซ์สุดหรูที่เร้นตัวอยู่ใจกลางกรุงซึ่งมีความสงบร่มรื่น ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ที่เรายกให้เหนือกว่าความเป็นที่อยู่อาศัย ถือเป็น Rare Item สุดหายากที่ไม่คิดว่าจะมีพื้นที่แบบนี้อยู่ในกรุงเทพมหานคร ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ทำให้ ASHTON RESIDENCE 41 เป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าหายาก ตามคอนเซ็ปต์ “The Collectible” ของโครงการ นั่นก็คือทำเลที่ตั้งซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในสุขุมวิท 41 ซอยที่สงบร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอดสองข้างทาง แถมยังเป็นซอยตันตัดปัญหาเสียงรบกวนจากรถที่วิ่งผ่าน เพราะโครงการตั้งอยู่บริเวณท้ายซอยพอดิบพอดี เรียกได้ว่าสามารถปลีกวิเวกจากความพลุกพล่านของถนนสุขุมวิท แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดจากชีวิตเมืองด้วยทำเลทองในย่าน The EM District ที่ซอยข้าง ๆ คือห้าง The
แม้ชีวิตในเมืองจะเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตในเมืองใหญ่มักถูกจํากัดไว้ด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินทาง หน้าที่การงานอันบีบคั้นซึ่งต้องแข่งขันกับเวลา บ่อยครั้งที่ Urban Men อย่างเรา ๆ ต้องจัดสรรชีวิตเผื่อให้กับภาระกิจรอบด้าน จนไม่เหลือพื้นที่สําหรับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนตัว แค่จะหาความสุขจากการเริ่มต้นเติมพลังชีวิตในเช้าวันใหม่ ด้วยการดื่มกาแฟดี ๆ สักแก้ว ก่อนออกไปผจญความวุ่นวายในเมือง ยังดูเป็นสิ่งที่ทําได้ลําบาก เพราะคงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงนัก หากจะต้องตื่นเช้าขึ้นอีกชั่วโมง สองชั่วโมง บากบั่นดั้นด้นเดินทางในช่วงเวลาเร่งรีบเพียงเพื่อจะแวะจิบกาแฟแก้วโปรดที่ร้านประจําระหว่างทาง ก่อนที่จะตาลีตาเหลือกไปเข้างานให้ทัน โดยที่ยังไม่ได้ละเลียดรสชาติกาแฟให้เต็มที่เสียด้วยซํ้า จะดีกว่าไหมหากเราสามารถสร้างพื้นที่ความสุข ดื่มด่ำรสชาติของกาแฟด้วยการชงกาแฟสดจากเมล็ดคั่วบดดื่มเองจากที่บ้าน ฉีกข้อจํากัดของเวลาที่เร่งรีบ ด้วยเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ Nespresso Essenza Mini ผู้ช่วยสําคัญที่จะมาสร้างช่วงเวลาสุนทรีจากการดื่มกาแฟ ซึ่งผ่านการคิดมาเป็นอย่างดีเพื่อตอบสนอง Lifestyle คนเมืองได้ถูกจุด ตรงใจ กับชีวิตที่ไม่เพียงแค่ถูกจํากัดอยู่ในกรอบเวลาอันเร่งรีบ เพราะในเรื่องของพื้นที่อยู่อาศัยภายในเมืองคืออีกหนึ่งข้อจํากัดที่ต้องใช้สอยแทบทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ดูจากชื่อก็รู้ได้ทันทีว่าที่พื้นที่ไม่ใช่ปัญหาของ Nespresso Essenza Mini ด้วยขนาดตัวเครื่องที่เล็กกะทัดรัด ดีไซน์เรียบเท่ร่วมสมัย สามารถแทรกตัวอยู่ในครัว ห้องนั่งเล่น ห้องทํางาน หรือมุมกาแฟเล็ก ๆ ในออฟฟิศได้อย่างกลมกลืน ดูเผิน ๆ
หากพูดถึงคงไม่มีใครไม่รู้จัก IKEA (อีเกีย) แบรนด์จำหน่ายเครื่องเรือนและของใช้ในบ้าน สุดโด่งดัง นับตั้งแต่แบรนด์ได้เข้ามาประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 6 ปี วันนี้เราจะพาสาวกอีเกียไปรู้จักตัวตนของแบรนด์มากขึ้น IKEA เริ่มก่อตั้งขึ้นในประเทศสวีเดนเมื่อปี 1943 (พ.ศ. 2486) อิเกียได้มุ่งมั่นสรรสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้แก่ผู้คนทั่วไปในทุก ๆ วัน ด้วยการนำเสนอเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่มีรูปแบบหลากหลาย ดีไซน์สวยงาม พร้อมทั้งประโยชน์ใช้สอยคุ้มค่า ในราคาที่ผู้คนทั่วไปเป็นเจ้าของได้ ปัจจุบันอิเกียเป็นบริษัทค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีจำนวนสโตร์มากกว่า 393 แห่ง ใน 48 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ซึ่งบริหารจัดการโดยบริษัท อิคาโน่ จำกัด (Ikano Private Limited) ผนวกแนวคิดด้านความยั่งยืนให้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ และร่วมส่งเสริมโครงการต่าง ๆ ที่สร้างประโยชน์ให้แก่เยาวชนและสิ่งแวดล้อม “ไม่ว่าใครก็มีบ้านในฝันกันได้ทั้งนั้น” นี่คือแนวคิดเบื้องต้นและเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์แคตตาล็อกอิเกียเล่มใหม่ที่ชวนทุกคนมาจัดสรรพื้นที่ให้กับชีวิต Make Room for Life ด้วยแรงบันดาลใจและไอเดียในการจัดแต่งห้อง ที่จะทำให้ห้องเล็ก ๆ กะทัดรัดสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของทุกคนในครอบครัว และเนรมิตพื้นที่การใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างลงตัวตามที่ใจฝัน นางเบญจวรรณ อูมาร์ค ผู้จัดการสโตร์
“ไม่ได้อยากให้ทุกคนแค่ซื้อสินค้ามาใช้ แต่อยากให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจที่มีมูจิอยู่ในไลฟ์สไตล์” คือประโยคจากปากของนาโอโตะ ฟุคาซาวะ หลายคนอาจเพิ่งเคยได้ยินชื่อของเขาเป็นครั้งแรก แต่ในระดับโลกชื่อของนาโอโตะ ฟุคาซาวะ ได้รับการยอมรับในฐานะดีไซน์เนอร์ที่เคยร่วมงานกับบริษัทชั้นนำระดับโลกทั้งในอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สเปน รวมทั้งในเอเชีย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับหลายบริษัทชั้นนำในญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังครองตำแหน่งคณะกรรมการที่ปรึกษางานดีไซน์ของมูจิ แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติญี่ปุ่นที่ดึงดูดและครอบครองใจคนไปทั่วโลก ในโอกาสฉลอง “70 ปี ห้างเซ็นทรัล” มูจิ จึงจัดนิทรรศการ “What is MUJI?” นิทรรศการที่จะทำให้เรารู้จักแก่นแท้งานดีไซน์ของสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ครองใจคนจำนวนมาก รวมถึงเปิดโอกาสให้ UNLOCKMEN ได้ร่วมพูดคุยกับ นาโอโตะ ฟุคาซาวะ ดีไซเนอร์คนสำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้ มูจิ โด่งดังไปทั่วโลกด้วย ดีไซน์เป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชั่นเรื่องสำคัญของมูจิ “การออกแบบสินค้ามูจิแต่ละชิ้นจะมองที่ฟังก์ชั่นเป็นหลัก เพราะดีไซน์พยายามที่จะทำให้เรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้” นี่คือคำตอบจากนาโอโตะ ฟุคาซาวะเมื่อถูกถามถึงงานออกแบบของมูจิที่แม้เราจะเห็นว่าออกมาเรียบง่าย แต่ก็ดึงดูดใจ ใครจับจองเป็นเจ้าของไปแล้วมักไม่เคยหยุดที่ชิ้นเดียว แต่เขาก็ยืนยันหนักแน่นว่าสินค้าทุกชนิดของมูจิ ให้ความสำคัญกับการใช้งานมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ละเลยเรื่องการดีไซน์และพยายามย้ำกับเราว่า “แต่ก็พยายามให้ดีไซน์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชั่นด้วย” จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สินค้าของมูจิแต่ละชิ้นทั้งใช้งานได้ และมีดีไซน์น่าใช้จนใคร ๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ Wahat is MUJI: อบอุ่นใจ เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ มูจิไม่ใช่แค่สินค้า
ในทุกปี อีกหนึ่งงานที่เหล่าบรรดาคนรักนาฬิกาต้องรอคอยคงหนีไม่พ้นงาน “เซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2017 (Central International Watch Fair 2017)” มหกรรมนาฬิกาครั้งยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชียครั้งที่ 19 จัดโดย นิตย์สินี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ณ ห้างเซ็นทรัลชิดลม ซึ่งในปีนี้ทางทีมงาน UNLOCKMEN ได้รับเกียรติร่วมงานเปิดตัวพร้อมร่วมรับเสด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงเปิดงานยิ่งใหญ่แห่งปีนี้ ภายในงานเซ็นทรัล อินเตอร์เนชั่นแนล วอทช์ แฟร์ 2017 จัดได้ยิ่งใหญ่และครบครันด้วยนาฬิกาแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะห้างเซ็นทรัล รวมถึงคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุด รุ่นลิมิเตด เอดิชั่น หรือเรือนเวลาสุดพิเศษที่มีเพียงเรือนเดียวเฉพาะห้างเซ็นทรัลเท่านั้น ที่ส่งตรงจากงานแสดงนาฬิการะดับโลกบาเซิลเวิลด์และงาน SIHH ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กว่า 180 แบรนด์ระดับโลก มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท โดยภายในงานมีเหล่าเซเลบริตี้รุ่นใหม่แสดงแบบอวดโฉมนาฬิการุ่นไฮไลท์ งานนี้เรายังได้สัมผัสความหรูหราระดับเวิลด์คลาสบนข้อมือกับเรือนเวลาต่าง ๆ ที่โชว์ความพิเศษแห่งกลไก ความล้ำแห่งเทคโนโลยี ความก้าวหน้าด้านวิศวกรรม จากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำและแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟระดับโลกที่ร่วมจัดแสดง อย่าง
ไม่ว่าจะเป็นผู้คลั่งไคล้ หลงใหล ในเรือนเวลาแบบเข้าเส้น หรือแม้แต่คนธรรมดาทั่วไปที่บังเอิญอยากจะหานาฬิกาคุณภาพดีเอาไว้ประดับข้อมือกันสักเรือน ต่างก็ต้องยอมรับถึงชื่อเสียง คุณภาพของเรือนเวลา Swiss Made หรือ แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่ง Mido ถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาจากสวิส ที่พวกเราชาวไทยให้การตอบรับอย่างดีมาทุกยุคทุกสมัย ด้วยจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบที่โดดเด่น วัสดุตัวเรือนชั้นดี งานประกอบที่พิถีพิถัน รวมถึงกลไกบอกเวลาคุณภาพสูงมาตรฐานสวิส ในราคาที่สมเหตุสมผล เมื่อพูดถึงความนิยมของแบรนด์ MIDO ทั้งในไทย และในระดับโลก ต้องย้อนกลับไปประมาณ 99 ปีก่อน ที่ได้มีการเริ่มต้นก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา MIDO G. Schaeren & Co. AG ขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันท่ี 11 พฤศจิกายน 1918 โดย Georges Schaeren จวบจนถึงทุกวันนี้นับเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ที่ MIDO ยังคงยึดปรัชญาหลักในการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่ผสมผสานระหว่างความงามความเป็นต้นตํารับและความมีอรรถประโยชน์ซึ่งสามารถใช้งานได้จริง โดยจุดเปลี่ยนสําคัญของนวัตกรรมเรือนเวลาจาก MIDO สําหรับเราต้องยกให้ในปี 1930 ที่ MIDO ได้คิดค้นระบบการปิดซีลเม็ดมะยมแบบจุกคอร์กสําเร็จ (ภายหลังเรารู้จักกันในชื่อ Aquadura) และเป็นผู้นําในด้านการทําตัวเรือนนาฬิกาให้กันนํ้าได้อย่างแท้จริง
เอาใจสาวกแบรนด์ Hamilton และนักสะสมนาฬิกา ในงาน Hamilton Ventura Club เปิดตัวผลงานการดีไซน์ใหม่ล่าสุด ที่จัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ของคอลเลกชั่น เวนทูร่า (Ventura) นาฬิกาที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเรือนแรกของโลก ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำทำให้กลายเป็นนาฬิการุ่นโปรดของศิลปินระดับตำนานผู้ล่วงลับอย่าง Elvis Presley ซึ่งถือเป็นไอคอนของนาฬิการุ่นนี้ แบรนด์นาฬิกา Hamilton ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1892 ที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือสวอทช์กรุ๊ป (Swatch Group) ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาแห่งสวิตเซอร์แลนด์รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่ง Hamilton สามารถถ่ายทอดผลงานการดีไซน์ที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกแบบอเมริกันเข้ากับเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยจากสวิตเซอร์แลนด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังปรากฏอยู่ในภาพยนตร์มาแล้วมากว่า 450 เรื่อง และหนึ่งในคอลเลกชั่นยอดนิยมของ Hamilton ที่มีศิลปินดังอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) เป็นแฟนคลับตัวยงนั่นก็คือรุ่น ‘เวนทูร่า’(Ventura) ซึ่งนาฬิการุ่นดังกล่าวได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ.1957 ในฐานะนาฬิการุ่นแรกของโลกที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ในกลไกที่แปลกใหม่ ผ่านดีไซน์ล้ำสมัยในตัวเรือนรูปทรงสามเหลี่ยมแปลกตา ที่สร้างความฮือฮาให้วงการนาฬิกาในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) สวมนาฬิการุ่นนี้เข้าฉากในภาพยนตร์เรื่อง Blue Hawaii ในปี 1961 สำหรับความพิเศษของนาฬิกาคอลเลกชั่น ‘เวนทูร่า’ (Ventura) รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ออกแบบภายใต้แนวคิด ‘อดีต ปัจจุบัน และอนาคต’ นำเสนอผ่าน 3 ดีไซน์ กับ 2 รุ่น คือ Ventura Classic 2017 และ Ventura Elvis80 Skeleton ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สะท้อนภาพจำของ Ventura ดั้งเดิมที่ผสมผสานกับวัสดุและเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยบนหน้าปัดของ Ventura Classic ทุกเรือนยังคงไว้ซึ่งสัญลักษณ์กระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพื่อตอกย้ำถึงนวัตกรรมที่สะเทือนวงการนาฬิกาในฐานะนาฬิการะบบไฟฟ้าเรือนแรกของโลก เวนทูร่า คลาสสิก (Ventura Classic) 2017 เปิดตัวในรูปแบบที่คงความคลาสสิคดังต้นฉบับผ่านดีไซน์ลุควิเทจ ตัวเรือนสแตนเลสสตีลเคลือบ PVD สีทองอร่าม อันสะท้อนถึงอดีตอันรุ่งเรืองของ Ventura ที่มาพร้อมสายหนังสีน้ำตาลอัดลาย เข้ากับหน้าปัดสีขาวที่มีหลักชั่วโมงและเข็มนาฬิกาสีทอง
“มนุษย์ผู้ชายแม่งคิดถึงเรื่องเซ็กส์ตลอดเวลา“, “เรื่องเซ็กส์มันเป็นเรื่องที่ไหลเวียนอยู่ในชีวิตคนอยู่แล้ว” และ “ศิลปะไม่ใช่ศีลธรรม” 3 ประโยคข้างต้นจากปากอุทิศ เหมะมูล แม้สั้น กระชับ แต่รวบยอดตรงประเด็นจนแทบจะสรุปความนิทรรศการร่างของปรารถนา ไว้ได้ครบถ้วนหมดแล้ว แต่จะมีความหมายอะไรถ้าเราไม่ได้พูดคุยกับอุทิศ เหมะมูล นักเขียนซีไรต์ ปี พ.ศ. 2552 และศิลปินผู้วาดภาพ ก่อนที่นิทรรศการจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (19 สิงหาคม) โดยเฉพาะมุมมองเรื่องเซ็กส์ การเอากัน ความหื่นกาม ภาพโป๊ ภาพเปลือย ศีลธรรม และศิลปะ นี่จึงไม่ต่างจากการพูดคุยเพื่อเล้าโลมให้พร้อมกระโจนเข้าเสพนิทรรศการภาพโป๊ ภาพเปลือย ภาพศิลปะ หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก เป็นการอุ่นเครื่องให้เร่าร้อนสมกับที่อุทิศรังสรรค์มันขึ้นมาอย่างร้อนเร่าไม่แพ้กัน ร่างของปรารถนาที่มาของ ‘ภาพ’ ร่างของปรารถนา “จริง ๆ เล่มนี้คิดไว้ตั้งนานแล้ว” คือคำตอบของอุทิศเมื่อเราถามถึงจุดเริ่มต้นแรกสุดของนิยายซึ่งเป็นที่มาของนิทรรศการภาพโป๊ (?) ‘ร่างของปรารถนา’ ครั้งนี้ โดยระยะเวลานานที่เขาพูดถึงคือระยะเวลา 9 ปีนับตั้งแต่เริ่มคิด กว่าจะออกมาเป็นนิยายร่างของปรารถนาเล่มสมบูรณ์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน หลังจากเขียน ‘ลับแล แก่งคอย’ นิยายที่ได้รางวัลซีไรต์เสร็จ เขาก็วางแผนเขียนนิยายหลายสไตล์ต่อ “คิดไว้ว่าอยากมีนิยายที่เราจะทยอยเขียน ก็จะมีหนังสือที่เขียนถึงพ่อ เขียนถึงงานศพของพ่อ อีกเล่มก็อยากเขียนถึงความรักของผู้ชายต่างวัย เรื่องของชายมีอายุที่หลงรักเด็กหนุ่ม”