หลังจากก่อนหน้านี้เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับภาคต่อของหนัง Sci-Fi ที่คนทั่วโลกรู้จักอย่าง The Matrix ว่าจะสร้างภาคต่อหลังจากห่างหายไปนานถึง 20 ปี หลายสำนักข่าวคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนเกิดข่าวลือว่าจะมีตัวละครเอกเป็นชายผิวสีบ้าง หรือข่าวว่าสองพี่น้อง Wachoski จะกลับมาเขียนบทและกำกับอีกครั้งจนทำให้แฟน ๆ The Matrix ทั่วโลกหัวหมุนไปตาม ๆ กันว่าอะไรคือความจริงกันแน่ ท้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยันกันเสียทีว่า The Matrix ภาค 4 จะถูกสร้างอย่างแน่นอนในปี 2022 แถมยังมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่พระเอกของเรื่องอย่าง Keanu Reeves กลับมารับบทเป็น Neo อีกครั้ง และในตอนนี้โรงภาพยนตร์ของประเทศไทยก็นำหนังเรื่องนี้กลับเข้ามาฉายอีกครั้งด้วยความชัดระดับ 4K ทำให้ UNLOCKMEN ไม่พลาดหยิบแฟชั่นจากเรื่อง The Matrix มาเล่าสู่กันฟังเผื่อหนุ่ม ๆ คนไหนอยากจะแต่งตัวสไตล์นี้ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ THE MATRIX’S STYLE The Matrix ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี
ย้อนไปวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุดลง Georges Schaeren (จอร์จ แชเรน) ก่อตั้งแบรนด์ Mido ขึ้นมาและถือเป็นวันสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและเปี่ยมด้วยความกล้าแกร่งของผู้นำในการมองไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ จนกระทั่งปี 2018 นับเป็นปีสุดพิเศษที่ Mido มีอายุครบ 100 ปี ที่ยังคงเดินหน้านำเสนอเรือนเวลาที่เป็นคอลเล็กชันใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ซึ่งแต่ละรุ่นจะยังคงคุณค่าที่มีอยู่ใน DNA ของแบรนด์ Mido ตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของการออกแบบที่อยู่เหนือกาลเวลา การเลือกใช้วัสดุที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ และนวัตกรรมทางด้านเทคนิค ปรัชญาของ Mido ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดในการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม การสร้างสรรค์ และประโยชน์ในการใช้งานที่ถูกหล่อหลอมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดย Mido ได้นำเสนอถึงคุณค่าเหล่านี้ผ่านทางงานออกแบบในนาฬิกาแต่ละคอลเล็กชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของโลกแต่ละแห่งซึ่งมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือแม้แต่ในโลกใต้น้ำ ซึ่ง Mido Ocean Star กับสัญลักษณ์ปลาดาว ได้พิสูจน์ความสำเร็จของเทคโนโลยีชั้นสูง ในราคาที่สมเหตุผมที่สุดเท่าที่เราจะหาซื้อได้ ซึ่งถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลากว่า 75 ปี และการฉลองครั้งนี้ก็ยิ่งใหญ่สมกับความเป็น Mido เพราะได้ร่วมมือกับ
ถ้าพูดถึงโมเดลรองเท้าตัวแทนจาก Adidas Original ชื่อของ Stan Smith คงเป็นโมเดลที่หลายคนนึกถึง เพราะนี่คือรองเท้าที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันค่ายสามขีดให้ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน และทุกวันนี้ผู้คนยังนิยมอยู่เสมอจากความสวยงามที่แสนคลาสสิกของมัน แม้จะวางขายมานานกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันเมื่อยุคสมัยและทิศทางของตลาดรองเท้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไป Adidas ก็เริ่มปรับเปลี่ยนและพัฒนา Stan Smith ให้เข้ากับกระแสความนิยม รวมถึงทำเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยมากขึ้น โดยพวกเขาหวนกลับไปทำงานกับแบรนด์เสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันของวัสดุและเทคโนโลยีอย่าง GORE-TEX หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จร่วมกันเมื่อครั้งทำ Stan Smith GORE-TEX ในปี 2017 ด้วยการนำโมเดลเดียวกันนี้ มาเคลือบนวัตกรรมกันน้ำในรองเท้า จนขายหมดทุกสต็อก วันนี้ทั้งสองค่ายกลับมาร่วมงานอีกครั้งกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่าเดิม แถมยังเลือก Back to Basic ด้วยการใช้ Stan Smith สี OG อย่างขาว-เขียวมา ส่วนงานออกแบบปรับดีไซน์เล็กน้อย โดยตรงส่วนลิ้นจะไม่มีรูปคุณปู่แสตนในรุ่นนี้ รวมถึง Heel Tap สีเขียวซึ่งจะไม่มีโลโก้ Adidas Original แต่ด้านข้างก็มีตราพิมพ์แบบยุบลงไปของ GORE-TEX และป้ายที่เขียนถึง GORE-TEX Infimium เย็บติดเอาไว้
‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเมืองเกาะที่เป็นดินแดนในฝันของผู้ชายหลายคน ห้อมล้อมอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติตั้งแต่ภูเขายันท้องทะเล มีอาหารเลิศรสและจารีตประเพณีงดงามทรงเสน่ห์ ทั้งยังผู้คนที่มีระเบียบ ใส่ใจรายละเอียด และขยันขันแข็งกับแทบทุกเรื่องในชีวิต หากคุณเคยไปเยือนประเทศญี่ปุ่นมาบ้าง คงจะพอคุ้นชินกับเหตุการณ์หยุดรถไฟกะทันหัน เนื่องจากมีคนกระโดดลงรางรถไฟความเร็วสูงเพื่อปลิดชีพ และมันเป็นอีกวิธีฆ่าตัวตายยอดนิยมของคนที่นี่ จริง ๆ แล้วการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่สมัยหลังสงคราม เนื่องด้วยชาวญี่ปุ่นต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและไม่อาจทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกนี้ได้ จึงตัดสินใจยุติลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยวิธีการฆ่าตัวตายในรูปแบบต่าง ๆ การผูกคอตายครองแชมป์มาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยการกระโดดลงรางรถไฟ และการปล่อยให้ร่างกายซึมซับแก๊สพิษตามลำดับ สาเหตุการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นก็หนีไม่พ้นเรื่องการทำงานที่เคร่งเครียด ปัญหาทางเศรษฐกิจ อาการเจ็บป่วยที่ไม่อยากเป็นภาระให้ลูกหลาน หรือแม้แต่ปัญหาชีวิตวุ่น ๆ ของเหล่าวัยรุ่น Kenji Chiga ช่างภาพหนุ่มชาวญี่ปุ่นจึงถ่ายทอดเรื่องราวการฆ่าตัวตายของคนในประเทศตนด้วยคอลเลกชันภาพถ่ายที่แฝงความโศกเศร้าไร้ทางออก และมีเพียง ‘การฆ่าตัวตาย’ เท่านั้นที่อาจทำให้ใคร (บางคน) พ้นจากความทุกข์ได้จริง ๆ การฆ่าตัวตาย อาจเปรียบดั่งโรคติดต่อของคนในประเทศนี้ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวไวรัสจากสมองของคนหนึ่งไปสู่สมองอีกคน บางครั้งผู้ตายอาจไม่ได้มองหาความตายเสมอไป หากมองหาการปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจที่ถูกพันธนาการ ความตายจึงเป็นวิธีปลดปล่อยอย่างง่ายและชัดเจนที่สุด ยิ่งในช่วงที่สื่อและเทคโนโลยีผลัดกันนำเสนอเรื่องราวของคนตาย ไวรัสที่ชื่อ ‘Werther Effect’ ก็ค่อย ๆ รุนแรงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังมียาต้านไวรัสที่จะสร้างขึ้นเมื่อคุณ เขา เธอ หรือใครก็ตามเห็นคุณค่าของชีวิตและคนรอบตัวมากพอ นำความรักและการเห็นคุณค่านั้นหล่อเลี้ยงความคิดเพื่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นคำตอบสำหรับบางคน
ผู้ชายอินดี้สุดเท่ ใจกล้าขาลุย หรือผู้ชาย classy แบบสุขุมนุ่มลึก ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายสไตล์ไหนก็คงต้องเคยเจอกับปัญหาผมขาดหลุดร่วงกันมาบ้าง แม้มันจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่คงต้องบอกว่าปัญหาผมร่วงและผมบางนั้นสร้างความรำคาญใจให้ผู้ชายเราได้เสมอ แถมยังทำให้วิตกกังวลและเสียความมั่นใจแทบทุกครั้งเวลาต้องอยู่ต่อหน้าสาว ๆ ความเครียด พันธุกรรม อายุที่เพิ่มขึ้น ความไม่สมดุลของฮอร์โมน หรือแม้แต่สารเคมีตกค้างจากผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัญหาผมขาดหลุดร่วงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะให้เราไปเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมหรือปรับฮอร์โมนให้สมดุลก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จะปล่อยปัญหาผมขาดร่วงไปก็คงจะทำไม่ได้เหมือนกัน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ไม่ต้องกังวลไป! เพราะวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำเซรั่มบำรุงเส้นผมจากธรรมชาติ ที่นำความพิเศษของน้ำมันโอเมก้าจากไขมันจระเข้ มาเป็นตัวช่วยทำให้หนังศีรษะและผมของคุณกลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง จากความมหัศจรรย์ของจระเข้ สู่เซรั่มบำรุงเส้นผมทรงประสิทธิภาพ จระเข้ถือว่าเป็นสัตว์ที่มีความโดดเด่นทางสรีรวิทยา แถมยังอาศัยอยู่บนโลกมายาวนานมากกว่า 230 ล้านปี ในอดีตการใช้น้ำมันสกัดจากเนื้อเยื่อไขมันจระเข้เพื่อป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บมีมาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์และจีนโบราณ นอกจากนั้นในกล้ามเนื้อของจระเข้ก็มีฮีโมโกลบิน-อะมิโน แอซิด ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้สัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้หายใจใต้น้ำได้นานกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ หลายเท่า นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าจระเข้นั้นเป็นสัตว์ที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงที่สุดในโลก เนื่องด้วยผิวหนังของพวกมันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ไม่แปลกถ้าเรื่องราวของ ‘จระเข้’ จะได้รับความสนใจจากวงการแพทย์ผิวหนัง จนนำมาสู่การต่อยอดและสร้างเซรั่มบำรุงเส้นผมที่ทรงประสิทธิภาพได้ ‘4MEGA’ นวัตกรรมป้องกันผมหลุดร่วง ด้วยน้ำมันโอเมก้าจากไขมันจระเข้ 4MEGA เป็นเซรั่มที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยลดผมขาดหลุดร่วงและแก้ไขปัญหาผมบางที่หนุ่ม ๆ หลายคนเป็นกังวล
บ่อยครั้งที่โลกของแฟชั่นนิยมหยิบตัวแทนของศาสนาอย่างศาสดามาอยู่บนไอเทมแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นสไตล์หรูหราแบบชนชั้นสูงไปจนถึงแฟชั่นของเหล่าวัยรุ่นชาวสตรีต และตอนนี้ก็มีคนนำ ‘จีซัส’ หรือหลายคนรู้จักในนามของ ‘พระเยซู’ มาอยู่บนแฟชั่นคูล ๆ ของชาว Hiphop อีกครั้ง ดีไซเนอร์ผู้เอาจีซัสมาอยู่บนไอเทมแฟชั่นที่ว่าก็คือ Kanye West นักร้องนักแต่งเพลงและดีไซเนอร์ที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขา ล่าสุดเขากำลังจะออกอัลบั้มใหม่ชื่อว่า Jesus is King พร้อมกับรายชื่อเพลงที่เกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดอย่าง God is, Baptized, Sunday หรือ Sweet Jesus แต่ก่อนจะปล่อยเพลงเขาก็ปล่อยแฟชั่นไอเทมเรียกน้ำย่อยเหล่าสาวกกันก่อน คอลเลกชันเครื่องแต่งกาย Jesus is king ของ Kanye West ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะคริสเตียนหรือ Christian art ภาพวาดในโบสถ์คาทอลิกต่าง ๆ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูจากพันธสัญญาใหม่ ศิลปะทรงคุณค่าที่ข้ามผ่านกาลเวลาพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์และหัวใจของการวาดภาพเรื่องราวของเทพเจ้าและพระเยซู West จดจำศิลปะที่พบเห็นจากโบสถ์ต่าง ๆ กลับมาประยุกต์ด้วยลายเส้นและสไตล์ของตัวเอง จนในที่สุดก็เกิดคอลเลกชันเสื้อผ้าเท่ ๆ ชื่อว่า Jesus is king โดยไอเทมจะมีทั้งเสื้อยืดสีพื้นอย่างขาว
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพกำแพงเมืองจีนที่ใช้โครงสร้างอิฐก้อนใหญ่ถมทับด้วยดินเหลืองและเศษหินความยาว 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศแดนมังกร และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ในอดีตกำแพงอิฐที่ทอดยาวนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานดินแดน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันล้ำค่า ที่เป็นรากฐานให้งานออกแบบชนิดอื่น ๆ นอกจากไม้ที่เป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมจีน การออกแบบพื้นที่ให้กว้างขวางก็เป็นอีกเอกลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทีมสถาปนิกของ Zaha Hadid Architects จึงหยิบโครงสร้างสถาปัตยกรรมจีนโบราณผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ จนออกมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง-ต้าซิง ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลงตัว แม้อาคารผู้โดยสารขนาด 700,000 ตารางเมตร จะดีไซน์ออกมาให้กะทัดรัด แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 72 ล้านคนต่อปี โครงสร้างของอาคารผู้โดยสารถูกล้อมด้วยหลังคากระจกที่เป็นเหมือนสกายไลต์ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติ พร้อมสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ให้กับเหล่านักท่องเที่ยว ที่นี่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ระบบดูดความร้อนจากชั้นพื้นดิน ทั้งยังออกแบบช่องทางลำเลียงน้ำฝนและมีระบบจัดการน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การออกแบบภายในถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่เน้นหนักในการจัดพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้แบบ open plan จากจุดศูนย์กลางของท่าอากาศยานผู้โดยสารสามารถเดินเชื่อมไปยังเครื่องบินโดยตรงผ่านประตูทั้ง 79 แห่ง เมื่อมองจากมุมสูงท่าอากาศยานแห่งนี้จะมีรูปทรงคล้าย ๆ ปลาดาว 5 แฉก ที่ไม่เพียงสวยงามแปลกตา
ผู้ชายหลายคนในโลกนี้มีความคิดว่า สรีระของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายเป็นความสวยงามทางธรรมชาติ น่ามอง และเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ภายใต้ทรวงอกที่ใครหลายคนหลงใหลก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans ขอเป็นตัวแทนบอกเล่าปัญหาดังกล่าวในแบบของตัวเอง ไอเทมแฟชั่นคอลเลกชันนี้ของ Vans ที่ว่าด้วยหน้าอกของหญิงสาว ไอเดียดังกล่าวเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ Vans กับ CoppaFeel! องค์กรของประเทศอังกฤษ เพื่อให้ชายหญิงตระหนักถึงปัญหามะเร็งเต้านมที่ใครหลายคนมองข้าม แต่ถ้าจะมานั่งเล่าให้ผู้ชายพาแฟนไปตรวจหน้าอกที่โรงพยาบาลก็คงจะน่าเบื่อจนไม่มีใครฟัง Vans จึงทำให้ผู้คนตระหนักด้วยศิลปะอาร์ต ๆ บนเครื่องแต่งกายแทน คอลเลกชันหน้าอกของหญิงสาวจาก Vans บอกเล่าผ่านศิลปะบนไอเทมหลากหลาย เช่น รองเท้า 3 แบบของแบรนด์ทั้ง Sk8-Hi, Slip-On, Era รองเท้าแตะ เสื้อเชิ้ต ฮู้ด เสื้อยืด หมวก และกระเป๋าเป้สะพายหลัง โดยจะใช้ลายกราฟิกหน้าอกของผู้หญิงแต่งแต้มอยู่ในไอเทมต่าง ๆ รองเท้าหุ้มข้อสีดำตัวชูโรงของคอลเลกชัน ประทับลวดลายของหญิงสาวสัญชาติต่าง ๆ ทั้งสาวผิวขาวผมทอง สาวผิวแทนผมดำ สาวเอเชีย และผู้หญิงผิวสีเพื่อความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ หญิงสาวทุกคนในภาพจะเปลือยอก บางคนก็เอามือมาปิดป้องหน้าอกบ้าง เพื่อเน้นย้ำถึงคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมที่เท่แถมยังไม่น่าเบื่อ รองเท้าผ้าใบอีกสามคู่ทั้งก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันลวดลายเท่ ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างรองเท้าจะเป็นช่องสี่เหลี่ยมสีครีมและสีส้มแดง คล้ายกับว่าสี่เหลี่ยมทั้งหมดบนรองเท้าคือการเบลอเพื่อเซนเซอร์หน้าอกของผู้หญิง
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์สายลับเราจะนึกถึงใครจากเรื่องอะไรบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งชื่อที่จะต้องถูกยกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อพูดถึงสายลับก็คือ James Bond เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษรหัส 007 ที่ใครหลายคนยกให้เป็นต้นแบบของความเท่สไตล์สุภาพบุรุษ James Bond เป็นตัวละครโคตรเท่โลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษจากงานเขียนของ Ian Fleming ก่อนจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายภาคด้วยกัน และตอนนี้ก็มีภาคหนึ่งที่มีอายุถึง 50 ปีแล้ว ภาคที่ว่าคือ On Her Majesty’s Secret Service (1963) นวนิยายลำดับที่ 10 จากหนังสือชุดของ James Bond วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1963 และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันว่า On Her Majesty’s Secret Service (1969) โดยได้ George Lazenby รับบทเป็นสายลับสุดเท่ ซึ่งตอนนี้เรื่องราวของหนังสายลับฉบับภาพยนตร์ On Her Majesty’s Secret Service ก็ครบรอบ 50 ปี ในปี 2019 จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่กับ James
กว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะผ่านกระบวนการผลิตจนนำมาฉายให้เราได้ชมกันล้วนต้องผ่านขั้นตอนมากมายที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือพัฒนาบท การแคสติ้งนักแสดง ไปจนถึงการเตรียมงานโปรดักชัน สร้างเอฟเฟกต์พิเศษทำให้หนังบางเรื่องต้องให้เวลาผลิตหลายปี แม้จะเป็นเพียงขั้นตอนการเตรียมตัวถ่ายทำเท่านั้น นอกจากบทภาพยนตร์ที่เตรียมไว้ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายทำในแต่ละฉากสามารถเล่าภาพในหัวที่ผู้สร้างต้องการออกมา อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทีมงานสามารถลำดับภาพของหนังให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือสตอรี่บอร์ด (Storyboard) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เฉพาะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เท่านั้น แต่รวมถึงการทำโฆษณา ไปจนถึงงานประเภท Motion Picture และ Animation ด้วย ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องเลือกใช้ศิลปินฝีมือดีมาช่วยสร้างสตอรี่บอร์ดสำหรับการถ่ายทำ วันนี้ UNLOCKMEN อยากพาชมความสวยงามของ 23 สตอรี่บอร์ดของ 23 ภาพยนตร์ดังที่รวมไว้ทั้งยุคสมัยเก่าและใหม่ สตอรี่บอร์ดของหนังแต่ละเรื่องจะถูกสร้างออกมาสวยงามและมีเอกลักษณ์แค่ไหน มาชมไปพร้อมกันเลย Alien (1979): Storyboards by Ridley Scott Jurassic Park (1993) Storyboards by David Lowery Transformers (2007) Storyboards by Ed Natividad There Will
ตลาดรองเท้าที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกระตุ้นให้แบรนด์ต่าง ๆ คลอดรองเท้าโมเดลใหม่ ๆ ออกมาเพื่อหวังผลกำไร แต่เมื่อแบรนด์มีกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ก็ต้องใช้วัสดุเพิ่มขึ้นซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ค่ายรองเท้าสุดคลาสสิกอย่าง Converse เล็งเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ออกคอลเลกชันรองเท้าสุดรักษ์โลกอย่าง Renew Denim และ Renew Panel Denim โดยคราวนี้เลือกใช้โมเดลรองเท้าสุดเก๋าอย่าง Converse Chuck Taylor ‘70 Converse Chuck Taylor ’70 “Renew Denim” เป็น 1 จาก 3 คอลเลกชันในโปรเจกต์ Converse Renew ที่ประกอบไปด้วย Renew Canvas ที่ใช้วัสดุผ้าใบต่อด้วย Renew Cotton ที่ใช้ส่วนประกอบของผ้าฝ้ายและสุดท้ายคือ Renew Denim ที่มีรองเท้าผ้าทั้งหมด 3 คู่ด้วยกันประกอบไปด้วยโมเดล Chuck Taylor ’70 Low ที่มาพร้อมกับอัปเปอร์จากผ้ายีนรีไซเคิลสีอ่อนและสีเข้มอย่างละ 1
หนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนรองเท้าค่าย Nike โดยเฉพาะโมเดลยอดฮิตตลอดกาลอย่าง Air Max 90 คงกำลังตั้งตารอคอยคอลแลปส์คอลเลกชันอย่าง Nike Air Max 90 x UNDEFEATED ที่ก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะวางขายในวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว แต่รอแล้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรออกมา ข่าวล่าสุดประกาศว่าเตรียมวางขายในเดือนตุลาคม พร้อมกับสีใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวออกมา ปีนี้ Nike และ UNDFTD ร่วมงานกันไปแล้วในโปรเจกต์รองเท้าบาส UNDEFEATED x Nike Kobe 4 Protro “Black Mamba” และก่อนจะมาจับรองเท้าโมเดล Air Max 90 ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยประสบความสำเร็จด้วยกันมาแล้วใน UNDFTD x Nike Air Max 97 ที่สวยถูกใจหลายคน จนราคารีเซลพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแม้จะทำออกมาเพียงแค่ 2 สีก็ตาม มาวันนี้คอลเลกชัน Nike Air Max 90 x