ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ลึกซึ้งเรื่องการตามเสียงเครื่องยนต์ กลไก กับดีไซน์เฉียบ หล่อ ๆ ของรถยนต์สายสปอร์ตเหนือระดับสัญชาติเยอรมันระดับตำนานอย่าง Porsche ชนิดเลือดสูบฉีดทุกครั้งที่เห็น เราอยากให้คุณมาลองพิสูจน์สัญชาติญาณดูว่า เมื่อ Porsche ไม่ใช่รถ แต่ไปร่วมดีไซน์โปรดักซ์อื่นจะออกมาเป็นแบบไหน สร้าง First impression ให้กับพวกเราชาว UNLOCKMEN ได้ไหม หรือกระตุกแบงค์ในกระเป๋ากับบัตรให้สั่นไหวได้ขนาดไหน มากพอให้ไปตามครบคอลเลคชั่นเลยหรือเปล่า พร้อมแล้วไปดูสิ่งที่ทาง Porsche design เขาคัดมาให้เป็นไฮไลต์ประจำเดือนนี้กัน Porsche X Huawei Mate 10 นาทีนี้ต้องยกให้ชิ้นนี้เลย สะเทือนวงการสมาร์ทโฟนและติดโผเรือธง เพราะ Porsche เลือกจับมือกับ Android สัญชาติจีนที่ติดลมบนในวงการมือถือสายกล้อง leica สเปคไม่เป็นรองใครอย่าง Huawei ในรุ่นอัปเดตล่าสุดคือรุ่น Mate 10 ซึ่งตรงตามธรรมเนียมว่าติดฉลาก Porsche ทุกชิ้นต้องพรีเมี่ยมเท่านั้น ดังนั้นสเปคความแรงของเครื่องและวัตถุดิบเลยเป็นเรื่องที่ไม่ต้องโฆษณามาก แค่จอใหญ่ 6 นิ้ว Kirin 970 processor เปรียบเทียบตัวเครื่องทนเหมือนการคัดเลือกวัสดุตัวถังรถ
ปัจจุบันไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปหากเราจะเจอการ crossover ระหว่างแบรนด์แฟชั่นกับสินค้าประเภทต่าง ๆ เพราะต้องยอมรับในจุดหนึ่งว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของดีไซน์มากกว่าฟังก์ชั่นเสียแล้ว ดังเช่นเรื่องที่ทีมงาน UNLOCKMEN จะนำเสนอนี้ ซึ่งเป็นการร่วมงานระหว่างแบรนด์หูฟังและสตรีทแฟชั่น โดยถ้าให้บอกชื่อแบรนด์หูฟังยอดนิยมสักแบรนด์ ชื่อของ Beats ต้องแล่นเข้ามาในหัวเป็นชื่อแรก ๆ อย่างแน่นอน เพราะด้วยดีไซน์ที่ดูทันสมัยพรีเมี่ยมและมีสีสันดึงดูดถูกใจวัยโจ๋ ทำให้ Beast กลาย เป็นหูฟังยอดนิยมของบรรดาเซเลปดารานักร้องรวมถึงนักกีฬาทั่วโลกที่ใช้ออกสื่อกันอย่างมากมาย จนเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง Beats ก็ได้ออกชุดหูฟังและลำโพงพกพาตัวใหม่ที่เป็นการจับมือกับแบรนด์สตรีทชื่อดังแฟชั่นอย่าง UNDEFEATED การ Collab ของ Beats และ UNDEFEATED ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันมาแล้วเมื่อปี 2013 ซึ่งก็โดนใจขายเกลี้ยงราคาพุ่งกระฉูดตามสไตล์สินค้า Limited Edition และสำหรับคอลเลคชั่นชุดใหม่นี้ต้องบอกว่าถูกใจสายสตรีทแฟชั่นหรือคนชอบเก็บสะสมหัวฟังอย่างแน่นอน เพราะว่าในเซ็ตประกอบไปด้วยลำโพงพกพาไร้สายอย่าง Beats Pill และหูฟัง wireless อย่าง Beats X ที่ตกแต่งด้วยลายพรางสีโทนเข้ม ตัดด้วยโลโก้แบรนด์สีส้มสด แถมโฆษณาก็ทำได้อย่างน่าสนใจเพราะดึงนักบาสเก็ตบอลจากทีม Philadelphia 76ers อย่าง Ben Simmons
ทุกวันนี้ Drone ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็ซื้อไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ เช่นเหล่า Travel Blogger หรือชาวคณะ Production ซื้อไปถ่ายทำ Footage สวย ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร ซื้อไปใช้สอดส่องความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัยในชีวิต หรือแม้แต่ StartUp หัวใสในประเทศสงคราม ที่ริเริ่มใช้ Drone ในการส่งเลือดไปปฐมพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงและยากต่อการเข้าถึง แต่ก็มีเจ้าของ Drone บางคนที่อาจจะไม่รู้กาลเทศะ ใช้ Drone บินไปในพื้นที่ต้องห้าม ในสนามบิน หรือใช้แอบถ่ายชาวบ้านชาวช่อง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจนน่ารำคาญ มันจึงเป็นที่มาของบริษัท DroneShield ผู้เชี่ยวชาญด้านปืนพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ผลิตมาทำหน้าที่สอย Drone จากคนกลุ่มหลังโดยเฉพาะ แม้ก่อนหน้านี้จะมีแต่ปืนขนาดใหญ่เกินชาวบ้านอย่างเราจะใช้ได้สะดวก แต่ DroneGun Tactical รุ่นล่าสุดที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังเรื่อง Star Wars เท่จนเราอยากได้มาครอบครอง แม้จะไม่มี Drone ให้ยิงสอยลงมาก็ตามที วิธีใช้งาน DroneGun Tactical ก็ตรงตัวเหมือนปืนทั่วไป แค่ชี้ไปทาง Drone
“เรากำลังฝากชีวิตไว้บนใยแก้ว” คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงฝุ่นผงในจักรวาลกว้าง ๆ ของเครือข่ายโลกดิจิทัล และคิดว่าในห่วงโซ่สังคมเสมือนนี้เราจะไม่ใช่คนโชคร้ายที่สุด ข้อมูลของเราคงไม่มีใครต้องการ แต่ความจริง Data เล็กน้อยที่คุณกรอกลงไปไม่ว่าจะผ่านช่องทางไหนก็ตาม มันมีมูลค่า ซื้อขายได้ และเพิ่มความเสี่ยงให้คุณกลายเป็นผู้โชคร้ายตกเป็นเหยื่อทางโจรกรรมชนิดที่พร้อมจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งเสมอ เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ ชาว UNLOCKMEN ลองมาเช็กกันดูว่าเรื่องราวเหล่านี้คุณเคยรู้แล้วหรือยัง หากรู้แล้ววิธีป้องกันที่มีอยู่ดีพอหรือเปล่า ขายใคร ราคาเท่าไร? ข้อมูลของเราเขาเอาไปขายใคร? สำหรับคนที่เคยสงสัย เราขอให้คุณย้อนกลับมาคิดดูว่าคุณเคยรับโทรศัพท์สายแปลกเพื่อเสนอขายประกันบ้างไหม หรือมีหน่วยงานไหนติดตามข้อมูลการเข้าสำรวจเว็บไซต์ของคุณแล้วโทรมาเสนอให้บริจาคในองค์กรและมูลนิธิบ้างหรือเปล่า กระทั่งการรับ SMS ที่ไม่ได้สมัครก็ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการนำข้อมูลของคุณมาหาประโยชน์ บริษัทจอมตื๊อนี่ล่ะที่อยากซื้อข้อมูลของคุณ ส่วนราคาซื้อขายในตลาดก็ถูกมากจนเสียจนอยากจะจ่ายไปวาร์ปหาสาว ๆ เลย “สำหรับเบอร์ที่ขายกันนั้น จะขายกันทีเป็นร้อย ๆ เบอร์ ราคาเบอร์ที่ได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงว่า จะซื้อกันในราคาเบอร์ละเท่าไร 1 บาท 5 บาท 10 บาท ถ้าเบอร์ของพวกเศรษฐีมีสตางค์หน่อย ก็จะแพงขึ้นมาอีก” เผื่อคนที่ยังไม่รู้ ข้อมูลที่คุณไม่ได้ยินยอมส่งต่อ เขาซื้อขายจากแหล่งที่คุณยินยอมพร้อมใจให้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินที่คุณไปกรอกข้อมูลไว้ หรือการตอบแบบสอบถามที่ไหนสักที่ที่ใช้ของฟรีล่อใจคุณตอบ จากนี้คุณจึงควรอ่านเอกสารให้ละเอียด โดยเฉพาะเมื่อเจอคำที่ระบุในเอกสารว่า “ขออนุญาตเปิดเผยข้อมูล” ก็ให้หยุดอ่านให้ดีอย่าเพิ่งอนุญาตไปสุ่มสี่สุ่มห้า
ในวันนี้ถ้าเหนื่อย ถ้าเบื่อ เราสามารถหนีจากการเป็นตัวเองได้ โดยที่ตัวเองไม่ได้หายไปไหน! ทำยังไงล่ะ? ก็ให้คนอื่นมาเป็นเราแทนน่ะสิ! “ลาออกจากการเป็นตัวเอง” มันจะไม่ใช่วลีเอาเท่ในสเตตัส บน FACEBOOK อีกต่อไป UNLOCKMEN ขอเสนอนวัตกรรมที่โคตรล้ำ ที่ไม่รู้จะยิ้มหรือจะเบ้ปากกับมันดี อย่าง “Human Uber” มาดูกันว่ามันจะช่วยให้คนอื่นกลายเป็นตัวเราได้ยังไง เจ้าเครื่องนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Jun Rekimoto นักพัฒนาชาวญี่ปุ่น เปิดตัวในอาทิตย์นี้ที่ The EmTech Conference โดยตัวเครื่องจะเป็นจอที่แสดงผลออกมาเป็นหน้าเรา แล้วไปใช้ชีวิตแทนเรา ด้วยการให้เราจ้างใครสักคนนึง มาใส่ไอ้เครื่องนี้แล้วก็แต่งตัวเป็นเรา ไปทำเรื่องสุดน่าเบื่อแทนเรา แนวคิดนี้มาจากการติดต่อสื่อสารทางไกลบวกกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ คือเหมือนใช้เครื่องนี้ออกไปพบเจอผู้คนแทนเรา โดยที่เรายังพูดคุยด้วยเสียงของเราเอง แสดงสีหน้า ความรู้สึกด้วยใบหน้าของเราเองทั้งหมดได้ ผ่านเครื่องนี้แหละ โดยที่เราอาจจะนอนแอ้งแม้งอยู่บ้านก็ได้ ไม่ต้องอาศัยหุ่นยนต์แทนตัวเราเองด้วย พอจะนึกภาพออกแล้วสินะว่ามันทำงานยังไง มันอาจดูไร้สาระ ดูบ้าบอ แต่มันแสดงให้เห็นบางอย่างว่าชีวิตคนเราบางทีมันเหนื่อยแสนเหนื่อย ไม่ได้เหนื่อยจนอยู่ไม่ได้ แต่มันถึงจุดที่อยากนอนเฉย ๆ แล้วก็ F*ck The World ไม่ต้องสนใจอะไรบ้าง ทิ้งภาระไว้ข้างหลังบ้าง แต่ด้วยชีวิตมันต้องดำเนินต่อ เลยไม่อาจทำได้ จนมันสะท้อนออกมาในรูปอินโนเวชั่น
หากไม่ได้เห็นหน้า แค่เพียงเอ่ยถึงชื่อของ ‘มอร์-วสุพล เกรียงประภากิจ’ หลายคนอาจไม่คุ้นกับชื่อนี้มากนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อของ ‘มอร์-Ten to Twelve’ ภาพของหนุ่มมาดเซอร์นักร้อง, นักแต่งเพลงจากวง Ten to Twelve นั้นคงชัดเจนขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับมอร์มาแล้วถึง 2 ครั้งโดยแต่ละครั้งของการพูดคุย สิ่งที่เราสัมผัสได้คือความสามารถที่ล้นเหลือ และพลังงานในการสร้างสรรค์ที่เข้มข้นจากผู้ชายคนนี้ วันนี้จึงถือเป็นโอกาสดี เพราะเรามีนัดพูดคุยกับเขาอีกครั้งที่ LHONG 1919 กับการอัพเดทเรื่องราวชีวิตในขวบปีนี้ของ ‘มอร์-Ten to Twelve’ พร้อมทำความรู้จัก ‘มอร์’ ในมุมมองใหม่ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ กับความหลงใหลในการถ่ายรูป และสไตล์การถ่ายรูปในแบบฉบับเฉพาะตัว จนทำให้เขาได้มีโอกาสรับหน้าที่เป็น Brand Ambassador ของ FUJIFILM ซึ่งถือเป็นอีกบทบาทใหม่จากอีกหลากหลายบทบาทในชีวิตของเขา และเราจะล้วงลึกเข้าไปปลดล็อคที่มาของแรงบันดาลใจซึ่งดูเหมือนจะไร้ขีดจำกัดของผู้ชายคนนี้ ว่าทำไมมันยังดูเหมือนเป็นพลังที่ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา มันมีหมดบ้างมั้ย แล้วอะไรที่ทำให้เขายังคงควบหน้าที่หลายบทบาท ตั้งใจสร้างงานทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่าชีวิตของมอร์มีหลายบทบาทเหลือเกิน ช่วยอัพเดทให้เราฟังหน่อยว่า ตอนนี้กำลังเน้นหนักไปที่บทบาทไหนเป็นพิเศษ ? หลัก ๆ ตอนนี้เราก็ทำผู้กำกับ เป็นผู้กำกับหนังโฆษณา
Yohji Yamamoto สุดยอดดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น ผู้ซึ่งมีจุดเด่นในการออกแบบคอลเลคชั่นเสื้อผ้า Oversize และเลือกใช้สีดำกับชิ้นงานของเขาเป็นหลัก จนกลายเป็นลายเซ็นบนเส้นทางอาชีพดีไซน์เนอร์ที่ผู้คนจดจำมาตลอด 30 กว่าปี เคยให้คำกล่าวถึง ‘สีดำ’ ที่เขาหลงใหลเอาไว้ว่า “Black is modest and arrogant at the same time. Black is lazy and easy – but mysterious. But above all black says this: “I don’t bother you – don’t bother me”.” ที่ตีความได้ว่า “สีดำนั้นช่างถ่อมตน แต่ในขณะเดียวกันมันคือสีที่เย่อหยิ่ง สีดำดูเป็นสีที่เข้าถึงได้ง่าย ๆ สบาย ๆ แต่เต็มไปด้วยความลึกลับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สีดำอยากบอกว่า เราไม่เคยก่อกวนคุณ ฉะนั้นอย่ามาทำให้เรารำคาญก็แล้วกัน”
ถ้าหากย้อนไปก่อนหน้านี้สัก 10 ปี เราคงเถียงสุดตัวเวลาที่ใครสักคนบอกกับเราว่า เขาสามารถใช้กล้องที่ฝังอยู่ในโทรศัพท์มือถือมาทำการถ่ายทำ VDO เจ๋ง ๆ หรือแม้กระทั่งนำมาใช้ถ่ายหนังกันเลยก็ยังมี แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และดูทีท่าแล้ว คงจะไม่มีใครยอมหยุดพัฒนาความทันสมัยที่ขายได้ตังค์เหล่านี้อย่างแน่นอน และสุดท้ายก็ทำให้การถ่าย VDO เจ๋ง ๆ จากมือถือเกิดขึ้นได้จริง แต่มันก็ไม่ใช่เพราะว่า เหล่าผู้ผลิต Smartphone เพียงอย่างเดียว ที่สมควรจะได้รับเครดิตในการผลิตโทรศัพท์มือถือที่สามารถถ่าย VDO ได้อย่างคมชัดจนหลายคนเอามาทำเป็นหนังได้ เพราะมันยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ โทรศัพท์มือถือ หรือ Smartphone ในสมัยนี้ บันทึกความทรงจำเป็นภาพเคลื่อนไหวได้อย่างไร้ที่ติ เพราะไม่ว่าจะเป็นกล้อง หรือโทรศัพท์มือถือเอง ต่างก็ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มความเจ๋งให้กับมันมากขึ้นกันทั้งนั้น อย่างเช่น ไมค์โครโฟน, เลนส์, โปรแกรมแต่งภาพต่าง ๆ ซึ่งจะว่าไปสิ่งเหล่านี้ ทั้งกล้อง และ Smartphone ส่วนใหญ่ก็มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวทั้งนั้น แต่มันก็อาจจะดีไม่เท่า กับสิ่งที่ถูกตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งของตัวมันเองโดยเฉพาะ ทำให้เรามักจะเห็นว่า มีอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ (Rig) วางขายอยู่มากมายในท้องตลาดตอนนี้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพการถ่าย VDO ของ โทรศัพท์ Smartphone
สายคอนโซลยังต้องอ้าปากเหวอ เมื่อเจอคลิป NINTENDO ออกมาเปิดวงการการเล่นถอยกลับไปวัยเด็ก ฉีกความล้ำนำเทรนด์ด้วยการใช้กระดาษลังล้วนมาสร้างเป็นเกม ทำเอาเราอดคิดถึงของเล่นวัยเด็กอย่างการประกอบโมเดลบ้านกระดาษจาจาไม่ได้ แต่จาจามันแค่กระดาษแผ่นบาง ๆ อยากจับให้สมจริงเป็นชิ้นเป็นก็ใช้กระดาษลังนี่แหละ รีไซเคิลได้ด้วยง่ายดี NINTENDO LABO เป็น Episode 2 ไว้ขยายการเล่นของ NINTENDO Switch ที่ออกมาวางขายเรียกความคิดถึงยุค 90s เมื่อปีที่แล้ว ด้วยนวัตกรรมล้ำ เฉียบ ฉบับเกมคอนโซล portable ในฝัน ที่สามารถใช้งานทั้งการถอดและเสียบจอยคอนฯ ทั้ง 2 ข้างได้แบบโดน ๆ ซิงค์ร่วมกับอุปกรณ์เสริมอย่างอื่นทั้งที่พอรวมร่างจะเจ๋งขึ้น เช่น จากจอยเล็กในมือสองข้างจะกลายเป็นจอยคอนฯ ชิ้นใหญ่, ใช้สำหรับติดที่จับเสริมสำหรับเล่นเกมออกโมชันการขยับตัวได้เท่ พร้อมทั้งสามารถต่อจอเล็กสู่จอใหญ่ โชว์แสดงผลในหน้าจอทีวีเหมือนตระกูล playstation ก็ได้ โดยคอนเซ็ปต์ “MAKE PLAY DISCOVER” ของ NINTENDO LABO ที่ปู่นินปลุกความเป็นชายสายประดิษฐ์เราให้ลุกโชนมาสร้างเกมเอาเอง ทันทีที่เปิดกล่องมาเราจะเจอกระดาษไดคัตเป็นชิ้นพร้อมปรุให้เรามาประกอบ แบ่งเป็น 2 ชุด คือ Variety Kit
แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกที่สร้างชื่อเสียงจากการผลิตนาฬิกาชั้นนำมาตั้งแต่แรกเริ่มอย่าง ลองจินส์ (Longines) สำหรับหลายคนอาจยังไม่ทราบประวัติความเป็นมาของ แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกนี้ ลองจินส์ (Longines) แบรนด์นาฬิการะดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นที่เมือง แซงต์ อิมิเยร์ เมื่อปีค.ศ. 1832 เชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาที่มีดีไซน์ สง่างาม เปี่ยมไปด้วยมาตรฐานด้านคุณภาพ และการทำงานทรงประสิทธิภาพ นับตั้งแต่อดีต ลองจินส์ได้รับเลือกให้เป็นผู้จับเวลาการแข่งขันกีฬาระดับโลกมากมาย รวมถึงเป็นพันธมิตรกับสมาพันธ์กีฬานานาชาติ ทำให้ชื่อของลองจินส์เป็นส่วนหนึ่งของโลกกีฬามาโดยตลอด นอกจากนี้ ลองจินส์ ยังเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท สวอทช์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำระดับโลก ที่โดดเด่นในด้านการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความสง่างาม ดังตราสัญลักษณ์รูปนาฬิกาทรายพร้อมปีกสยายของแบรนด์ที่ยืนยงมานานกว่า 150 ปี และยังคงเป็นแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับความไว้วางใจและคงอยู่ในกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง Longines Master Collection คือภาพสะท้อนของความร่วมสมัยของแบรนด์ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005 ผสมผสานความสง่างามแบบคลาสสิกและความเป็นเลิศในการผลิต ซึ่งล่าสุดลองจินส์ได้นำเสนอ Longines Master Collection หน้าปัดเฉดสีใหม่เพิ่มเติม นั่นคือ เฉดสีน้ำเงิน เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่หลงใหลในนาฬิกาคุณภาพได้เลือกกัน นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2005 Longines Master Collection ก็กลายเป็นคอลเลกชั่นขายดีของแบรนด์ โดยประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายและครองความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผลิตนาฬิกาคุณภาพของลองจินส์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาลองจินส์ได้เพิ่มตัวเรือนขนาดต่าง
ต้องบอกว่าเทคโนโลยีเสมือนจริงในยุคปัจจุบัน นับวันมันยิ่งเหมือนโลกแห่งความจริงเข้าไปทุกที ล่าสุด HTC VIVE™ บริษัทผู้พัฒนาระบบเทคโนโลยีเวอร์ชวลเรียลลิตี้โลกเสมือนจริงแบบ Room-scale ที่ก้าวล้ำที่สุด ประกาศเปิดตัวแว่นเสมือนจริงตัวอัพเกรดล่าสุดรุ่น Vive Pro และรุ่น Vive Wireless กับสุดยอดประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR) เหนือระดับสุดพรีเมี่ยมแก่พวกเรา พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์ม Viveport VR และ Vive Video รูปแบบใหม่สำหรับใช้ในการค้นหาและเลือกซื้อคอนเทนต์ VR ต่าง ๆ ที่เพิ่มความสะดวกและเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานให้ง่ายและตอบโจทย์ผู้ใช้มากยิ่งขึ้น Vive Pro (ไวฝ์ โปร) Vive Pro ตัวแว่นเสมือนจริงที่ได้ทำการอัพเกรดตัวจอป้อนภาพ (Head-Mounted Display หรือ HMD) มอบประสิทธิภาพการแสดงผลและระบบเสียงที่สมบูรณ์แบบ ด้วยหน้าจอแสดงผล OLED ขนาด 3.5 นิ้วเพื่อมุมมองที่กว้างเป็นพิเศษ และมีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลสูงถึง 615 ppi พิกเซลเพิ่มมากกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 37 เปอร์เซ็นต์ ออกแบบเฉพาะสำหรับเหล่าเกมเมอร์และลูกค้าองค์กรธุรกิจ
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า นอกจากเจนีวาแล้ว เมืองเบียล ก็เป็นอีกต้นกำเนิดแห่งวิถีประเพณีดั้งเดิมแห่งการประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตเรือนเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ก้าวแรกของแบรนด์นาฬิกาอิสระอย่าง Azimuth ก็เริ่มต้นขึ้นที่นี่เช่นกัน ด้วยคอนเซ็ปต์ในการเป็นนาฬิการูปแบบเฉพาะตัวที่ผสานดีไซน์อันยอดเยี่ยม นวัตกรรมอันทันสมัย และประเพณีดั้งเดิมแห่งการประดิษฐ์เรือนเวลาของสวิส เข้าด้วยกันอย่างลงตัว สำหรับใครที่รู้สึกว่าชื่อแบรนด์ไม่ค่อยคุ้นหู ที่จริงแล้วเรือนเวลาแบรนด์นี้มีประวัติและเทคโนโลยีการผลิตที่ละเอียดอ่อนไม่แพ้แบรนด์ไหนในโลก แม้จะเป็นนาฬิกาสวิส แต่ผู้ให้กำเนิดแบรนด์และก่อตั้งโรงงานผลิตนาฬิกา Azimuth ขึ้นที่เมือง เบียล ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 เป็นต้นมานั้น ไม่ใช่ชาวสวิส แต่เป็นชายผู้หลงใหลในเครื่องบอกเวลาชาวเอเชีย 2 ท่าน Alvin Lye กับ Christopher Long ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้คร่ำหวอดมากประสบการณ์ในวงการนาฬิกา ทั้งในแง่ของการสะสม และการเป็นผู้จำหน่าย ซึ่งไม่เพียงพอสนองความต้องการที่แท้จริงของเขาทั้งคู่ได้ เพราะทั้งสองต่างประสงค์ที่จะสร้างนาฬิกาในอุดมคติขึ้นมาเอง ด้วยความที่ไม่มีนาฬิกาแบรนด์ใดตอบโจทย์คุณสมบัติที่พวกเขาต้องการให้มีได้ โปรเจ็คต์การก่อตั้งแบรนด์และโรงงานนาฬิกาของพวกเขาจึงก่อกำเนิดขึ้นโดยเลือกคำว่า Azimuth ซึ่งเป็นชื่อเรียกระยะคำนวณของเส้นขอบฟ้าจากตำแหน่งใด ๆ บนโลก มาเป็นชื่อแบรนด์ ด้วยเป็นความหมายแห่งการแสวงหาความรู้ทางปัญญาของมนุษย์ อีกทั้งคำนี้ยังมาจากรากศัพท์ภาษาอารบิก ที่หมายถึงเส้นทางที่นักเดินทางข้ามผ่านซึ่งก็เป็นความหมายที่โดนใจพวกเขาเช่นกัน ส่วนโลโก้ของแบรนด์มาจากลักษณะของแฮร์สปริง ที่เปรียบได้กับการเต้นของหัวใจแห่งกลไกจักรกล ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในการผลิตแต่เพียงนาฬิกาจักรกลได้อย่างตรงประเด็นที่สุด ความต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่างนั้น คือวัตถุประสงค์หลักในการสร้างนาฬิกา Azimuth ดังนั้นนาฬิกาจาก Azimuth จึงแตกต่างจากนาฬิกาที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป พวกเขาให้อิสระกับทีมออกแบบ