บอกเลยว่าเป็นข่าวดีสำหรับสาวกที่ใช้งาน MatePad มายาวนาน รวมถึงผู้ใช้งานหน้าใหม่ที่กำลังมองหาแท็บเล็ตคุณสมบัติจัดจ้าน ซึ่งตอบโจทย์การทำงานรอบด้าน จนแทบไม่ต้องง้อ PC หรือ Laptop เพราะตอนนี้ HUAWEI ได้เปิดตัวรุ่นล่าสุดอย่าง MatePad 11.5” S อัพเกรดความสามารถเต็มกำลัง พร้อมตอบสนองความต้องการของคนทำงานอย่างเรา ๆ ได้เป็นอย่างดี และวันนี้เราจะชวนชาว UNLOCKMEN ไปดูพร้อมกันว่า HUAWEI MatePad 11.5” S เครื่องนี้ มีความสามารถเด็ด ๆ อะไรรอให้ทุกคนได้สัมผัสกันบ้าง เราขอเริ่มต้นกันที่ PaperMatte Display ของ HUAWEI MatePad 11.5”S หน้าจอคมชัดความละเอียดระดับ 2.8K แสดงผลลื่นไหลด้วยอัตรารีเฟรชเรท 144 Hz และมีคุณสมบัติป้องกันการสะท้อนแสงระดับนาโน ใช้งานได้ยาว ๆ สบายตา ตาไม่ล้า ที่สำคัญหน้าจอ PaperMatte Display ของ HUAWEI MatePad 11.5”S
ทรงดี บารมีชัดเจน 2025 BMW M5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วพร้อมตำแหน่ง “The most powerful M5 in history” ที่ทั้งแรงที่สุดและหนักที่สุดด้วยน้ำหนักตัวเกือบ 2.5 ตัน จากการใช้ขุมพลัง plug-in hybrid แบกแบตเตอรี่ 14.8 kWh เอาไว้ ดีไซน์ภายนอกแตกต่างจาก 5 series ปกติอย่างชัดเจนเพราะผ่านการดีไซน์เพิ่มความดุดันสัมผัสได้ถึงสมรรถนะทันที ความกว้างด้านหน้าของ M5 เพิ่มขึ้น 3 นิ้ว ด้านหลัง 1.9 นิ้ว เครื่องยนต์เป็นตัวเดียวกับใน XM ขุมพลัง twin-turbocharged 4.4-liter V8 พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวที่ติดตั้งไว้กับเกียร์ 8-speed ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 717 horsepower แรงบิด 738 lb-ft ทำเวลา 0-100 ใน 3.4 วินาที ขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทาง 40
ในปี 2022 MB&F เปิดตัว Legacy Machine Sequential EVO ซึ่งเป็นนาฬิกาโครโนกราฟคู่ที่เปิดประตูสู่การพัฒนากลไกโครโนกราฟให้เหนือระดับ กลไกอันล้ำสมัยได้สร้างนิยามใหม่ เข้าไปครองใจเหล่านักสะสม จนได้รับรางวัล GPHG ‘Aiguille d’Or’ ในปีเดียวกัน ผลงานของ Stephen McDonnell หนึ่งใน MB&F Friends ผู้อยู่เบื้องหลังผลงาน LM Perpetual ที่นำเสนอเมื่อปี 2015 โดย LM Sequential EVO เป็นหนึ่งในนาฬิกาที่มาพร้อมประสิทธิภาพการจับเวลาอย่างครบครัน จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมไม่มีใครเคยคิดถึงรูปแบบนี้มาก่อน ฟังก์ชันจับเวลาหลากหลายโหมดช่วยให้สามารถจับเวลาทุกอย่าง ตั้งแต่การแข่งขันของนักกีฬาสองคน หรือรอบจับเวลาติดต่อกันในสนามแข่ง หรือแม้แต่การจับเวลาในการปรุงอาหารสองจานที่แตกต่างกันในเตาอบ ไปจนถึงการใช้งานจับเวลาอย่างเป็นทางการ การประดับอัญมณีกันสึกภายในคลัตช์แนวตั้งเป็นสิ่งสำคัญของโครโนกราฟแบบ Sequential ทั้งหมด และระบบฟลายแบ็กใหม่ยังจำเป็นต้องมีการประดับอัญมณีกันสึกเช่นกัน หากไม่มีชิ้นส่วนนี้อาจทำงานได้ไม่เต็มที่ ระบบนี้เป็นระบบที่ละเอียดอ่อนมาก เพื่อลดแรงเสียดทานทั้งหมดให้เหลือน้อยที่สุด มีผลทำให้การตีกลับของเข็มไปยังเลขศูนย์ของกลไกฟลายแบ็กมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ McDonnell ได้บรรจุโรเลอร์อัญมณีเข้ากับกลไกฟลายแบ็ค ส่วนประกอบนี้ต้องสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ดังนั้นสำหรับนาฬิกาต้นแบบเรือนแรก ทาง McDonnell ได้สร้างโรเลอร์อัญมณีขึ้นเองเพื่อพิสูจน์แนวความคิดของกลไกอันล้ำสมัยนี้ (หนึ่งในห้าชิ้นส่วนประกอบที่ได้รับการจดสิทธิบัตร)
2025 BMW 1 Series F70 ลำดับที่ 4 เปิดตัวใหม่แบบ all-new แทนที่รหัส F40 หลังทำตลาดไปได้ราว 5 ปี เป็นโมเดลแรกที่ใช้ดีไซน์กระจังหน้าใหม่คล้ายใน neue klasse concept และเป็นโมเดลแรกที่ BMW เริ่มทิ้งตัวอักษร “i” จากชื่อรุ่นเพื่อไม่ให้สับสนกับรุ่นพลังงานไฟฟ้าในอนาคต ขนาดมิติของ 1 Series ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันเล็กน้อย ความยาวเพิ่มขึ้น 42mm สูงขึ้น 25mm แต่มีความกว้างและระยะฐานล้อเท่าเดิม กระจังหน้าของรุ่นปกติจะใช้การผสมระหว่างเส้นแนวตั้งและแนวขวางที่คล้ายเส้นจากสัญลักษณ์ ///M รวมเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนรุ่น M135 xDrive จะใช้กระจังหน้าแนวนอนเหมือนใน M2 ไฟหน้าใหม่ double arrows และไฟท้ายใหม่ดีไซน์เดียวกับใน X2 ภายในอัพเกรดเป็นแบบใหม่ควบคุมรถผ่านจอสัมผัส 10.7-inch ที่รวมอยู่ใน panel เดียวกับจอ 10.25-inch ของคนขับ ช่องแอร์แบบใหม่เหมือนใน 3 Series
ทุกคนคงจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดตัว Porsche 992.2 generation 911 ตามหน้าจอกันไปเยอะแล้ว เราจึงขอเน้นข้อมูลในรุ่นที่น่าสนใจที่สุด นั่นก็คือ Carrera GTS เพราะนอกจากจะได้เครื่องยนต์ใหม่รหัส 9A3 ความจุ 3.6-liter ที่มาพร้อม electric turbocharge แทนที่ 3.0-liter twin-turbo boxer engine ยังเป็นครั้งแรกที่ Porsche คิดค้นการใช้งานขุมพลัง “T-Hybrid” ใน 911 ซึ่งช่วยให้ GTS มี output รวมมากถึง 532 hp แรงบิด 609 Nm ระบบ T-Hybrid ของ Porsche นั้นแตกต่างจาก hybrid ทั่วไป ในขณะที่รถยนต์ปกติจะใช้หลักการผสมอากาศกับเชื้อเพลิงจำนวนมากขึ้นเพิ่อสมรรถนะที่แรงขึ้น แต่ก็มาพร้อมการสร้างมลพิษเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ระบบ T-Hybrid ของ Porsche ถูกคิดค้นใหม่ด้วยการรักษาอัตราส่วน air:fuel ratio เอาไว้เท่าเดิมเสมอที่
เรียกได้ว่าเป็นที่น่าจับตาตั้งแต่เปิดตัว สำหรับนาฬิกาอัจฉริยะอย่าง HUAWEI WATCH FIT 3 ซึ่งลบภาพจำเดิม ๆ ของ Smart Watch ทั่วไป ที่หลายคนมักคิดว่ามันคือไอเทมเหมาะกับผู้ใช้งานที่เน้นด้านออกกำลังกายเป็นหลัก เพราะ HUAWEI WATCH FIT 3 เรือนนี้ได้วาง Position ตัวเองเป็น Fashion Smart Watch ที่โดดเด่นทั้งงานดีไซน์ซึ่งพร้อมให้สวมใส่ในชีวิตประจำวัน ผสานด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ลงตัวกับไลฟ์สไตล์รอบด้าน แต่จะลงตัวแค่ไหน วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักความเจ๋งของ HUAWEI WATCH FIT 3 ให้มากขึ้น เริ่มต้นที่ประเด็นแรก บอกเลยว่าสะดุดตากับงานดีไซน์ตัวเรือนแบบใหม่ของ HUAWEI WATCH FIT 3 ที่เน้นรูปทรงสี่เหลี่ยมขอบโค้งมน เรียบหรูดูดี เข้ากันได้กับการแต่งตัวหลากสไตล์ พร้อมหน้าจอสัมผัสแบบ AMOLED ขนาด 1.82 นิ้ว สีสันสดใสคมชัด ใช้งานกลางแจ้งได้สบาย ๆ ด้วยความสว่างหน้าจอสูงสุด 1,500
เช่นเดียวกับ Porsche จะเล่น Carrera อย่างน้อยต้องมี S และหากจะเล่น BMW M ก็ต้องไปให้สุดทาง นี่คือโมเดลที่เหล่า M Lover เฝ้ารอ all-new BMW M4 CS รุ่นย่อยที่เหนือกว่า M4 Competition เป็นรองเพียงแค่ CSL ซึ่งทีม BMW เน้นว่า M4 CS รุ่นนี้ถูกพัฒนาให้มี driving experience ที่แตกต่างจาก M4 และ M4 Competition เน้นความรู้สึกและอารมณ์สปอร์ตที่เข้มข้นจัดจ้านแบบเต็มพิกัด และดีไซน์ที่ยกมาจาก CSL ในหลาย ๆ จุด หากใครจำรายละเอียดของ M3 CS ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ได้ อาจจะไม่ตื่นเต้นกับ M4 CS มากนัก ใต้ฝากระโปรงของ M4 CS ใช้เครื่องยนต์ S58
เอ็มบี แอนด์ เอฟ (MB&F) เชื่อมโยงความหลงใหลในโลกแห่งยานยนต์ นับตั้งแต่ปี 2012 ด้วยผลงาน HM5 ตามมาด้วย HMX ในปี 2015 และ HM8 ในปี 2016 ผลงานแต่ละรุ่นด้านข้างตัวเรือนสะท้อนความเท่ผ่านมาตรวัดความเร็วที่สามารถจดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น ชวนให้นึกถึงการออกแบบที่ท้าทายและล้ำสมัยของปี 1970 หนึ่งทศวรรษหลังจากเครื่องบอกเวลา MB&F ได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์ ทางแบรนด์ได้ต่อยอดด้วยการเปิดตัว HM8 Mark 2 ในปี 2023 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซุปเปอร์คาร์ หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวสองรุ่นในปี 2023 – ด้วยเคสตัวเรือนสีขาวหรือสีเขียว โดยรุ่นหลังผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน – ผลงาน HM8 Mark 2 กลับมาพร้อมกับรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นอีกครั้งในปี 2024 มาพร้อมตัวเรือนสีน้ำเงินเงาวาว ผลิตเพียง 33 เรือน เม็ดสีเมทัลลิกที่มีลักษณะเป็นวัสดุโปร่งแสง ตัวเรือนสีน้ำเงินชวนให้นึกถึงสีรถสุดหรูทั้งทางด้านเทคนิคและความสวยงาม นาฬิกา HM8 Mark 2 มีให้เลือกระหว่าง
Ferrari 12Cilindri ชื่อรุ่นใหม่มาจากภาษา Italian แปลว่า “12 cylinders” เป็นการตอกย้ำถึงเครื่องยนต์ 6.5 ลิตร NA V12 ที่ถูกเลือกมาอัพเกรดวางใต้ฝากระโปรงหน้าของ Super Grand Tourer โมเดลล่าสุดที่มาแทน 812 Superfast ให้พละกำลังแรงสะใจถึง 819 แรงม้า แรงบิด 678 นิวตันเมตร รอบจัดลากได้ถึง 9,500 rpm เครื่องยนต์ 6.5 ลิตร NA V12 ซึ่งเป็น flagship engine ของ Ferrari ผ่านการเปลี่ยนไส้ในด้วยวัสดุ titanium และ aliminum alloy เคลือบด้วยสาร Diamond-Like-Carbon coating ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่นมากขึ้น ลดน้ำหนักพร้อมเสริมความทนทานในระดับเดียวกับรถแข่ง Formula 1 นอกจากนี้ยังมีการเขียน software เรียก max torque
โมเดลที่ขายดีที่สุดของ Lamborghini Urus เปิดตัวขุมพลัง Plug-in Hybrid ที่ทั้งแรงและเร็วยิ่งขึ้นโดยไม่ลดไซส์เครื่องเล็กลง ยังคงเป็นเครื่องขนาด 4.0-liter V8 ทำงานร่วมกับ e-motor ให้กำลังรวมมากถึง 789 hp แรงบิด 701 lb-ft มาตั้งแต่ 1,750 rpm ทำเวลา 0-100 km/h ได้ 3.4 วินาที เร็วกว่า Urus S อยู่ 1 วินาที แต่ยังเป็นรอง Performante อยู่ 1 วินาทีเช่นกัน ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 310 km/h Lamborghini Urus SE ใช้แบตเตอรี่ความจุ 25.7 kWh ซ่อนอยู่ใต้ที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทาง 60 km ใน EV Mode ขับความเร็วสูงสุดได้
New Mercedes-Benz Electric G-Class ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ The Geländewagen ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ แทนที่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังคงความแกร่งพร้อมลุยเส้นทาง off-road ได้เหมือนเดิม ใช้ชื่อโมเดลว่า G580 with EQ Technology แทนที่ EQG ขุมพลัง quad-moto มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวครั้งแรกของ Mercedes-Benz ประกบสร้างพลังงานให้แต่ละล้อ ให้พละกำลังรวม 579 แรงม้า แรงบิดมากถึง 1,165 นิวตันเมตร แรงบิดมากกว่าตัว AMG G63 ถึง 315 นิวตันเมตร ทำเวลา 0-100 ใน 4.4 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 116.0-kWh เก็บอยู่ในเคสซึ่งรวมอยู่กับเฟรมของรถเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วยแผ่นปิดใต้รถผลิตจาก carbon-reinforced plastic ปกป้องจากเศษฝุ่นและน้ำ ช่องชาร์จอยู่ด้านหลังมาแทนที่ตำแหน่งล้ออะไหล่ของรุ่นปกติ ขับได้ระยะทางสูงสุด 384 กิโลเมตร ค่อนข้างน้อยไปหน่อยในยุคนี้ การชาร์จ
หากพูดถึงการก้าวข้ามผ่านเวลามากว่า 50 ปี คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับอายุของคนเรา แต่คงเร็วไปที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ผ่านเวลามานานขนาดนี้ จะต้องเป็นสิ่งที่ตกยุคเสมอไป เพราะทุกหน้าปฏิทินที่เปลี่ยนผ่าน ย่อมหมายถึงประสบการณ์ที่สั่งสม ยิ่งผสานด้วยการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง ยิ่งลบล้างภาพจำเรื่องความล้าสมัย แต่กลับเด่นชัดในมิติของความคลาสสิกที่อยู่เหนือกาลเวลา เปรียบได้กับ LAUREATO คอลเลกชันนาฬิการะดับไอคอนิกของ GIRARD-PERREGAUX ที่ปรากฎสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1975 เดิมทีมีชื่อเรียกว่า Quartz Chronometer ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกลไกควอตซ์ขนาดเล็ก ที่มีดีกรีเป็นกลไกควอตซ์แบบแรกของสวิส โดยงานดีไซน์แรกเริ่มจากฝีมือของสถาปนิกแห่งเมืองมิลาน ที่ตั้งใจออกแบบตัวเรือนให้มีลักษณะของขอบตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมผสานกับตัวเรือนทรงกลม ให้เหลือบเงาที่งดงามเมื่อกระทบกับแสงในมุมต่าง ๆ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น LAUREATO ซึ่งเป็นคำภาษาอิตาเลียน ที่มีความหมายถึงผู้สำเร็จการศึกษา สื่อถึงความสมบูรณ์แบบของนาฬิการุ่นนี้ อีกทั้งขอบตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมยังมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับมงกุฎลอเรล สำหรับประดับให้กับเหล่าผู้สำเร็จการศึกษาของอิตาลีในยุคนั้น จนกระทั่งในปี 1984 นาฬิกา LAUREATO ได้พัฒนาสู่กลไก Mechanical calibres และยังคงได้รับพัฒนาด้านวัสดุ กลไก และงานดีไซน์มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อตอกย้ำความเป็นเลิศของนาฬิกาที่ผสานศาสตร์ของกลไกบอกเวลาที่เที่ยงตรงแม่นยำ และงานดีไซน์ที่วิจิตรงดงามเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ลงตัวกับนาฬิกาที่เหมาะกับผู้คนในทุกยุคทุกสมัย ยืนยันได้จากนาฬิกา GIRARD-PERREGAUX LAUREATO CHRONOGRAPH Ti49 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง 49 ปี