MUSIC

100 gecs วงดนตรีดูโอ้ตัวมีม ศาสดาความปั่นแห่งโลกอินเทอร์เน็ต

By: GEESUCH June 10, 2023

ย้อนเวลากลับไป 1 เดือนก่อนหน้านี้ (ในความทรงจำนะไม่ใช่ไทม์แมชชีน) ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงชื่อ 100 gecs เลย จริง ๆ ต้องบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อวงมาก่อนด้วยซ้ำ อาจจะเพราะว่าเพิ่งผ่านมา 1 เดือน ผมจึงจำวันแรกที่รู้จักคู่หู Laura Les กับ Dylan Brady สองสมาชิกของวงได้ไม่มีทางลืม มันเป็นวันที่หาเพลงฟังจากคอลัมน์ Albums Review ของเว็บไซต์ Pitchfork ซึ่งในตอนนั้นเอง อัลบั้มที่ใช้ชื่อแปลก ๆ ว่า 10,000 gecs ติดโผ Best Album ได้คะแนนรีวิวสูงถึง 8.2 แหน่ะ ! ผมก็เลยกดฟังอัลบั้มนี้ผ่าน Spotify โดยไม่อ่านรีวิวทันที แต่คะแนนไม่ได้เป็นเหตุผลหลัก แล้วเหตุผลหลักเป็นเพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะปกอัลบั้มไง ถ้าจะให้เขียนอธิบายเหตุผลคงยากเกินไปที่จะบอกความรู้สึก ดูภาพประกอบข้างล่างเอาเลยง่ายกว่า

10,000 gecs (2023)

เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมถึงกดฟัง เชื่อว่าคุณก็ต้องกดฟังกันแล้วล่ะ มีใครไปตามดูเอ็มวีแล้วอ้วกบ้างรึยังครับ 555 เมื่อใช้เวลา 26 นาที 53 วิฟังจบทั้งอัลบั้ม การตามหาว่าทั้งคู่เป็นใครก็เริ่มขึ้น สิ่งที่ไม่ได้คิดล่วงหน้าคือเรื่องราวของ 100 gecs ที่มันน่าจะวายป่วง 100% กลับมีความจริงจังคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เข้มข้นตลอดการเดินทาง พวกเขาเป็นวงที่หลาย ๆ สื่อต่างประเทศจีบขอสัมภาษณ์ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เขียนชมถึงขนาดว่าเป็นวงที่สร้างแนวขึ้นจากการรวมความฮิตของดนตรีเพลง pop สมัยนิยมเอาไว้ด้วยกัน เป็นวงที่ประกอบขึ้นจากวัฒนธรรมมีม (meme) และเป็นศาสดาคนสำคัญของวัฒนธรรมนั้นอีก … เราไม่ขอเสียเวลาเกริ่นอีกสักบรรทัด แต่จะเริ่มเรื่องราวของพวกเขาในบรรทัดถัดไปกันเลย


The Birth Of 100 gecs

100 gecs (Dylan Brady & Laura Les)

เฉกเช่นเดียวกับสูตรสำเร็จ (ที่กำหนดล่วงหน้าไม่ได้) ของวงระดับตำนานทั่วโลก Dylan Brady กับ Laura Les รู้จักกันครั้งแรกตอนปี 2010 มันคือตอนที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็กไฮสคูลอยู่ที่เมืองบ้านเกิดเซนต์หลุย (St.Louis) รัฐมิสซูรี (Missouri) ซึ่งช่วงเวลานั้นยังไม่มีเรื่องของวงดนตรีเข้ามาเกี่ยว แต่มีเรื่องของรสนิยมการฟังเพลงมาเกี่ยวแน่นอน พวกเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าตอนรู้จักกันใหม่ ๆ คือแนวดนตรีที่ฟังต่างกันสุดขั้วมาก ๆ ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่เคมีความชอบทุกอย่างไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี ไม่เกี่ยวว่าเลสเป็นคนช่างพูด และแบรดี้เป็นคนพูดน้อย

100 gecs เริ่มต้นขึ้นในอีก 5 ปีหลังจากนั้น (2015) หลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบไฮสคูล ถึงแม้ว่าเลสจะตัดสินใจไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ Chicago ในขณะที่แบรดี้เลือกจะอยู่ที่บ้านเกิด แต่ความเจ๋งคือพวกเขาต่างเลือกทางเดินสายเดียวกันเป๊ะ โดยการศึกษาต่อโดยตรง Audio Engineering เหมือนกัน ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เลสลงเริ่มทำเพลงของตัวเองในโปรเจคต์เดี่ยวชื่อ osno1 สไตล์เพลงแบบ Nightcore (ซับชองของดนตรี electronic ที่นิยมเร่ง tempo เพลง และสร้างอารมณ์เพลงแบบหม่นหมอง) ของเธอจะเป็นหัวเชื้อให้กับดนตรีของ 100 gecs ในช่วงเวลาเดียวกันแบรดี้ก็ไม่น้อยหน้า ทำเพลงสุดเกรี้ยวกราดของตัวเองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลงของ Kanye West แบบเต็ม ๆ สิ่งที่ต้องรู้คือ ก่อนที่วันหนึ่งพวกเขาจะนัดเจอกันที่มหาวิทยาลัยของเลสในชิคาโกเพื่อเริ่มต้นทำ E.P ในฐานะวงดนตรี พวกเขาก็เป็นแฟนคลับเพลงของกันและกันมาก่อนแล้ว

“ชื่อวง 100 gecs นั้นไม่มีที่มาที่ไปที่แท้จริง อ้าว ! หลังจากทั้งคู่เริ่มมีชื่อเสียงและถูกสื่อถามคำถามนี้ทุกครั้งที่สัมภาษณ์ ก็เลยปั่นด้วย 2 เหตุผลให้คนไปเลือกเชื่อเอา บ้างก็ว่ามีที่มาจากวันหนึ่งเลสสั่งของออนไลน์มาที่บ้าน ปรากฎว่าได้รับตุ๊กแก (Geckos) มา 100 ตัวแทน หรือจริง ๆ แล้วมันมาจากว่าเลสบังเอิญไปเห็นสเปรย์พ่นคำว่า ‘100 gecs’ อยู่ข้างอพาร์ตเมนต์ของเธอ ก็เลยเอาชื่อนั้นมาตั้งเลย คิดว่าอันไหนเรื่องจริง อันไหนจ้อจี้ ?”

เขียนมาถึงตรงนี้ ถ้าลองไปฟังเพลงของ 100 gecs ดู จะพบว่ามันจำกัดแนวดนตรีได้ยากมาก แต่ทั้งคู่ก็มักจะบอกว่าพวกเขาคือวงแนว Hyperpop มันคือแนวดนตรีที่เกิดขึ้นช่วงกลางของยุค 2010s จะเรียกว่าเป็นแนวดนตรีโลกเสมือนก็ได้นะ เพราะมักจะนิยมใส่ auto tune มีการ bit-rate ให้เพลงคีย์เพี้ยน เพื่อสร้างความหลอนหูแบบ earworm ให้คนฟัง โดยตัววงได้ขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจจากแนวดนตรี Nightcore ที่พูดถึงก่อนหน้านี้เต็ม ๆ และเล่นกับวัฒนธรรมมีมอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างชัด ๆ ได้เยอะมาก ทั้งการที่แบรดี้เคยแต่งตัวเป็น Jim Carrey จากหนังเรื่อง The Mask ในเอ็มวีเพลงของวง / มีการใส่เอฟเฟกต์เสียงเปิดเกม ps1 พร้อมกับใส่เสียงระเบิดต๊อง ๆ จากเกม 8-bit อย่าง Contra / การทำเอ็มวีให้เหมือนถ่ายกล้องแฮนดิแคมคุณภาพต่ำจัด ๆ / ไปจนถึงการใช้เสียง auto tune แหลมเปี๊ยบ ซึ่งเลสบอกว่าเธอรัก Crazy Frog และมันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเธอ


The Impact Of ‘1000 gecs’

ตัดภาพกันไว ๆ มาที่เดือนพฤษภาคมปี 2019 ปฎิทินโลกดนตรีต้องปักหมุดวันสำคัญเอาไว้ เพราะมันคือวันที่ 100 gecs เดบิวต์อัลบั้มแรกของวงที่ชื่อ ‘1000 gecs’ และมันทำให้ชีวิตของทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แบรดี้มองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนในฐานะของโปรดิวเซอร์ เขาเริ่มสนุกมือกับการทำดนตรีแบบเข้าเส้น สังเกตุได้เลยว่าอัลบั้มแรกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความไฮป์ (Hype)’ แบบเอ่อล้นมาก ๆ มันเหมือนเบรดี้ได้ของเล่นใหม่ เขาพัฒนาแนวดนตรีอิเล็คทรอนิกส์ของตัวเองไปอีกขั้น มีการใช้ Dub Step ที่ซับซ้อน แถมยังผสมคามเป็น Metal เข้าไปได้อย่างลงตัว แต่สิ่งที่เจ๋งที่สุดคือเขารู้ว่าเลสเป็นใคร อะไรคือ Nightcore ในแบบของเธอ แล้วจะพรีเซนต์ให้เป็น 100 gecs อย่างไรโดยไม่ให้ตัวตนของเพื่อนสนิทหายไป นี่ต่างหากคือสิ่งที่เบรดี้ประสบความสำเร็จของจริง

อัลบั้มแรกที่ทั้งคู่ลงมือทำกันเองส่งผลให้ชื่อของ 100 gecs กลายเป็นที่โด่งดังในโลกใต้ดิน หรือจะเรียกว่าคนนิยมเพลงนอกกระแสก็ได้ แต่วันคืนที่อยู่เพียงแต่ในโลกใต้ดินก็เป็นแค่เวลาสั้น ๆ เพราะในปี 2020 วง 100 gecs ได้เซ็นสัญญากับ Atlantic Record พร้อมกับสัญญาที่ว่าจะต้องทำให้อีกหลายอัลบั้ม

1000 gecs (2020)

จากความสำเร็จของอัลบั้มแรก ทางค่ายอยากให้ 100 gecs ต่อยอดทำเพลง Remix ทั้งชุด เพราะเล็งเห็นถึงความเหมาะสมของแนวดนตรี และเชื่อมือมาก ๆ เพราะตอนที่ทั้งคู่ทำโปรเจคต์เดี่ยวของตัวเองตอนเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาก็ทำรีมิกซ์เพลงมาตลอดด้วยอยู่แล้ว เอ้า ๆ ค่ายใหญ่สนับสนุนทั้งที คราวนี้เลสกับแบรดี้เลยจัดเต็มเลือกทีมงานของตัวเองแบบไม่มีกั๊ก

“ในฐานะศิลปินถ้าเรารักเพลงสักเพลงหนึ่งเราก็อยากที่จะรีมิกซ์มัน” 

– Laura Les

อัลบั้มรีมิกซ์ของ 100 gecs ใช้ชื่อว่า ‘1000 Gecs and the Tree of Clues’ ส่วนเครดิตคนร่วมงานจัดว่าโหดเหี้ยมของจริง เริ่มจาก Pete Wentz มือเบสและโปรดิวเซอร์คนเก่งแห่ง Fall Out Boy ซึ่งพีทยกให้ความสามารถของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกับ Nirvana, Metallica, Lady Gaga และ Skrillex เลยทีเดียว ไม่เท่านั้น ทั้งคู่ยังได้ศิลปินร่วมงานอีกหลากหลายทั้ง AG Cook, Rico Nasty, Kero Kero Bonito มาร่วมทำงานด้วยกัน และมีเพลงนึงที่ชื่อว่า ‘Ring Tone’ ซึ่งได้เสียงของ Charli XCX ที่เธอเป็นแฟนคลับตัวยงของ 100 gecs ถึงขนาดว่าขอร่วมทำอัลบั้มนี้ และจ้างให้แบรดี้ไปทำรีมิกซ์เพลงชื่อ Click ของเธอเองด้วย

“มันเหมือนกับว่าคุณกำลังพยายามปริ๊นท์ภาพจากคอมพิวเตอร์ของพ่อแม่ แต่กลายเป็นว่าภาพพิกเซลที่ออกมากลายเป็นตัวเลขหมดเลย แทนที่จะเป็นภาพ”

– Pete Wentz

เอาจริง ๆ ตัว Art Work ปกอัลบั้มของ 100 gecs นี่มันหมือนเป็น Clickbait เหมือนกันนะ อยากกดเข้าไปฟังทันทีทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกับอะไร ด้วยความพิเศษแบบแปลก ๆ นั้นผสมกับดนตรีของทั้งคู่ เราอยากจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลให้ปกของอัลบั้ม 1000 gecs ที่เป็นทั้งคู่ยืนจมใส่ต้นสนสุดปั่นนี้ ได้กลายเป็นกระแสบนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง จนพวกเขากลายเป็นเสมือนศาสดาของหนึ่งในลัทธิมีมอันสำคัญ โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบนี้

1000 gecs and the Tree of Clues (2020)

ก่อนจะอ่านบรรทัดนี้ต่อ ให้เปิด Google Map ปักไปที่เมือง Des Plaines ในรัฐ Illinois ด้วยคำว่า ‘100 gecs tree’ ดู แล้วคุณจะพบต้นสนของจริงที่ใช้ถ่ายปกอัลบั้มที่ซึ่งเลสกับแบรดี้เคยยื่นอยู่ ในช่วงเวลาปี 2019-2020 เหล่าแฟนคลับของ 100 gecs ต่างพร้อมใจไปที่นั่น เพื่อเอาของต่าง ๆ ไปวางที่ต้นไม้นั้น ไม่ว่าจะเป็นฮูล่าฮูบ , กระดูก , ภาพวาดจากหนังสือเรื่อง Diary Of Wimply Kid , ไม้กางเขนสีรุ้ง , เลโก้ พร้อมกับยืนซึมซับช่วงเวลา เหล่านี้เองถูกเรียกว่าการสักการะ จนสื่อขนานนามต้นสนนี้ว่า Place of Worship พอเหตุการณ์นี้ที่เผยแพร่บนโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้นล่ะ ความไวรัลก็กระจายไปทั่ว มันไปถึงขนาดว่ามีการทำ Parody ขึ้นมาในเกม Mine Craft เลย

แต่ต้องบอกว่าแฟนคลับของวงเขาไม่ได้ไปเล่น ๆ นะ (หรืออาจจะมีปั่น ๆ บ้างล่ะ) เสียงจากแฟนคลับหลาย ๆ คนบอกว่าการได้ไปใช้เวลาได้อยู่กับเพื่อนที่นั่น ทำให้อินกับเพลงของ 100 gecs มากขึ้นไปอีก บางคนถึงกับบอกว่าเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้ !     

“มันคือประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่พิเศษมาก ๆ พวกเราวิ่งไปทั่วไปพร้อม ๆ กับเปิดมือถือเทียบต้นไม้กับหน้าปกอัลบั้มเพื่อหาต้นสนที่ถูกต้อง และ Tik Tok ทำหน้าที่เป็น GPS ให้กับพวกเรา” 

– Bridget Lynch (เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัย ที่มุ่งหน้าสักการะ ‘100 gecs tree’ พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน)


In To The 10,000 gecs

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน 2023 หลังจากเดินทางผ่านช่วงเวลาแห่งต้นสนแห่งความไฮป์ได้ 3 ปี ระหว่างทางนั้น 100 gecs ไม่ได้มีเพลง Official ของตัวเองออกมาเลย ! แต่ก็มีผลงานเพลงรีมิกซ์ออกมาเรื่อย ๆ ทั้งการนำ ‘One Step Closer’ ของ Linkin Park มาทำใหม่เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีของอัลบั้ม Hybrid Theory และก็มีไปทำอีพีร่วมกับตำนานดนตรี Dub Step อย่าง Skrillrex อีกด้วย  

แต่ช่วงเวลาที่เลสกับแบรดี้หายไปพวกเขาไม่ได้แค่หาไปเฉย ๆ มันคือการวางแผนครั้งใหญ่ที่จะเดบิวต์เปิดตัวครั้งแรกในฐานะศิลปินของ Atlantic Record ด้วยอัลบั้มที่ชื่อว่า 10,000 gecs อัลบั้มชุดเดียวกันที่ทำให้เราเขียนถึงพวกเขา

การถือกำเนิดของอัลบั้มชุดล่าสุด คือภาพของการทำงานหนักตั้งแต่ปี 2021 ที่ทั้งคู่ทำเดโม่ไปกว่า 4,000 เพลง ! แต่แล้วก็ตัดสินใจทิ้งเกือบจะทั้งหมดไปแล้วเริ่มต้นกันใหม่ ซึ่งเลสให้เหตุผลว่า “มันไม่ใช่ว่าเพลงไม่แข็งแรงพอนะ แต่มันแค่รู้สึกว่ายังไม่จริงใจ” แต่ด้วยความสามารถของเธอกับแบรดี้ที่เราจะเรียกว่าอัจฉริยะก็คงไม่ผิด เพียงเวลา 2 สัปดาห์ต่อจากนั้น เดโม่ใหม่ที่ใช้ได้ก็พร้อม ซึ่งต่อดยอดไปไกลให้กลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้จากอัลบั้มแรก 

“ถ้าเราจะทำเพลงที่ต่างจากอัลบั้ม 1000 gecs พวกเราก็สามารถทำได้เว้ย ! แต่เราต้องการที่จะเติบโตขึ้น พัฒนาศักยภาพให้มากขึ้น อะไรจะดีไปกว่าสิ่งนั้น”

– Dylan Brady

พวกเขาให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของอัลบั้มที่ 2 ว่ามันคือการลองผิดลองถูก และเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เข้มข้นขึ้นไปอีกระดับ จากตอนแรกที่ส่งไฟล์ไปมากันทำผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะอยู่ห่างไกลกัน เลสตัดสินใจย้ายจากชิคาโกมามาอยู่ที่ลอสแอลเจงลิสกับสามีของเธอ เพื่อให้สามารถทำงานเพลงกับแบรดี้ได้แบบเรียลไทม์ และอัลบั้มนี้ต้องดีกว่าอัลบั้มก่อนถึง 10 เท่า ซึ่งส่วนตัวเราว่าก็จริง เพราะถ้าคิดว่าอัลบั้มแรกจำกัดแนวเพลงยากแล้ว ในอัลบั้มที่สองมันไปไกลยิ่งกว่ามาก มีแนวดนตรีหลากหลายไปหมดในเพลงป๊อปของ 100 gecs อาจจะดูเป็นเหมือนภาพคอลลาจมั่ว ๆ ในการฟังครั้งแรก แต่เมื่อไหร่ที่ตั้งใจฟังดี ๆ จะพบว่ามันผ่านกระบวนการคิดอย่างดีมาหมดแล้ว มันลงตัวไปหมดจริง ๆ (อวยสุด ๆ)

ความยิ่งใหญ่คืออัลบั้มนี้คือการที่ได้ Josh Freese มือกลองระดับตำนานผู้เคยอยู่วง The Perfect Circle,  Guns N’ Roses , Nine Inch Nails , Katy Perry และล่าสุดเป็นมือกลองคนปัจจุบันให้กับ Foo Figther เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งมันยกระดับแนวเพลง Hyper Pop ของพวกเขาไปอีกระดับ 

เพื่อเป็นการบันทึกช่วงเวลาแสนเข้มข้นที่ทั้งคู่อุทิศให้กับ 10,000 gecs และเพื่อใช้เป็นภาพสำหรับปกของอัลบั้ม เลสกับแบรดี้จึงจับมือกันไปสักบนหน้าท้องเป็นที่ระลึกเอาไว้ .. แบรดี้เลือกสักโน้ตขเบ็ต 1 ชั้น 2 ตัว ที่ยาวและใหญ่มากกก ซึ่งใช้เวลาสักถึง 7 ชั่วโมงเต็ม ! มันยาวตั้งแต่หน้าอกลงไปถึงสะดือเลย ส่วนเลสเลือกสักดาว 5 แฉก 2 จุด จบ. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเลสเป็นคนสักก่อน และเมื่อเธอเห็นแบรดี้สักก็ใจไม่ดีเลย (แหงสิ) “สัญชาติญานของฉันบอกว่า มึงหยุดเลยแบรดี้ หยุดเดี๋ยวนี้ !”


ท่ามกลางเรื่องราวสุดปั่นมากมาย เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า 100 gecs เป็นวงที่มีคุณภาพจาการทำงานที่หนักหน่วง และเคมีที่เพียงใครสักคนบนโลกนี้ที่เหมือนกัน น่าสนใจว่าหลังจากนี้ 2 ขบถแห่งวงการจะฉีกกรอบแนวดนตรีไปได้ไกลอีกแค่ไหนกัน

SOURCE : 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line