Entertainment

GARAGE: “BOWKYLION”หญิงสาวที่เชื่อว่าการร้องเพลงเป็นทั้งอาชีพและสิ่งที่รัก

By: unlockmen June 10, 2019

เป็นอีกครั้งที่ UNLOCKMEN ได้แวะเวียนไปเยี่ยมชายคา What The Duck โดยที่ผ่านมาเรามีโอกาสพูดคุยกับศิลปินจากค่ายนี้มากมายหลายคน แต่คราวนี้คนที่อยู่ตรงหน้าคือศิลปินน้องใหม่ของค่ายอย่าง ‘BOWKYLION’ หรือ โบกี้-พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ หลายคนอาจติดตามเธอพร้อม ๆ กับผู้ติดตามอีกกว่า 5 แสน 2 หมื่นคนทาง YouTube หลายคนอาจรู้จักเธอผ่านการประกวด The Voice Thailand

จะว่าเราเป็นแฟนคลับเธอก็ไม่เชิงนัก เรียกว่าเติบโตมาด้วยกันดีกว่า ด้วยช่วงวัยที่ใกล้เคียงกัน เคยฟอร์มวงประกวด Hotwave Music Awards ต่างกันที่วงเธอเข้ารอบ วงเราตกรอบ เท่านั้นเอง แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของโบกี้ ทำให้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังจดจำเธอได้เป็นอย่างดี

ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สนทนากับเธอ เรื่องราวจากจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหลงรักการร้องเพลงจนถึงตอนนี้ เส้นทางที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและจะมุ่งไปทางไหนในอนาคต

เริ่มรู้ตัวตอนไหนว่าชอบร้องเพลง?

จริง ๆ ก็รู้ตัวตั้งแต่ตั้งแต่ยังไม่รู้ตัว เพราะว่าเริ่มร้องเพลงได้ตั้งแต่พูดได้ ในความรู้ตัวก็มีความไม่รู้ตัวอยู่ เอาจริง ๆ ก็จำไม่ได้แล้วว่าตอนไหน

เพราะเราได้รับอิทธิพลจากครอบครัวด้วยหรือเปล่าเพราะคุณแม่เป็นนักร้องเหมือนกัน

ถือว่ามีอิทธิพลมาจากครอบครัวเหมือนกันเพราะคุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่อุ้มท้องอยู่ก็ร้องเพลงตลอด อยากให้ลูกร้องเพลงได้

ตอนที่จะเรียนดนตรีที่มหิดลก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเลือกการร้องเพลงเป็นอาชีพเลยไหม?

จริง ๆ ตอนนั้นก็ไม่มั่นใจนะคะ เข้ามั่ว ๆ เลย ตอนแรกที่เข้ามหิดลก็คือ เห็นเขาบอกว่ามีเอก voice เราก็เข้าใจว่าเอก voice ก็คือน่าจะสอบโดยเราเข้าไปร้องเพลงแบบฟ้าถ้าไม่ส่งมาก็คงชิล ๆ แต่ปรากฏว่าพอไปสอบจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เเค่ร้องเพลง

แต่ร้องเพลงแบบ classical ร้อง opera ซึ่งเราไม่มีความรู้อะไรในหัวเลย เราร้องเพลงได้ทั่วไป แต่การจะเข้ามหิดลมันต้องใช้ภาษาอิตาเลียน เยอรมัน ฝรั่งเศส ลาติน สเปน ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเลย เหมือนไปสอบแบบฟลุค พอสอบได้ ชีวิตก็เปลี่ยนเลย

ตั้งแต่ประกวด Hotwave ตอนนั้นจนถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองเติบโตมาขนาดไหน เปลี่ยนแปลงไปเยอะไหม?

ช่วง Hotwave ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตมาก ต้องเล่าก่อนว่าตอนอยู่มหิดล ตอนนั้นเป็นช่วงมัธยมปลาย เราไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป เอาตรง ๆ คือเป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนเลย ไม่ได้เกเรนะ แต่มันมีจุดพลิกผันตรงที่พอเราเข้าม.4 ปุ๊ป เราก็รู้สึก เฮ้ย เราต้องมีพรสวรรค์อะไรสักอย่าง เราอยู่ในโรงเรียนดนตรี เราก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองว่า เฮ้ย เราเข้ามาที่นี่ได้มันเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่มันมีจุดเปลี่ยนตรงที่ตอนนั้นป่วย แล้วก็ไม่สามารถร้องเพลงได้ ในคอเป็นตุ่มหนองทำให้ต้องหยุดร้องเพลงประมาณปีนึง

ปรากฏว่าตอนนั้นมีรุ่นพี่คนนึงพูดกับเราว่าเอาตรง ๆ นะเสียงแบบนี้ ไม่มีใครเขาเอาหรอก พี่ว่าน้องลาออกไปเหอะ ไม่มีใครเขาอยากได้เสียงน้องหรอก น้องอย่าว่าหวังตัวเองจะได้เป็นนักร้องที่ดีได้ ไม่มีทางหลังจากฟังคำนั้นปุ๊ปก็ตัดสินใจไม่มาเรียน ไม่มาสอบเลย คือมาโรงเรียนทุกวัน มาหาเพื่อน แต่ไม่มาสอบ ทุกครั้งที่ได้ยินคนร้องเพลงก็จะร้องไห้เลย รู้สึกมีปมด้อยว่าเราแย่ขนาดนั้นเลยหรอวะ? ทำไมต้องด่าขนาดนั้นด้วย?

ตั้งแต่ ม.4 เทอม 2 เป็นต้นไปถึงช่วงก่อนประกวด Hotwave ก็คือไม่เรียนเลย มาโรงเรียนแต่ไม่เรียนไม่สอบ ทำให้ติด ร. ติด F ประมาณ 29 วิชาซึ่งก็คือแทบจะทั้งหมดเลย

ตอนนั้นเราก็คิดว่าอนาคตเรามันคงได้แค่นี้เเหละเราคงทำอะไรไม่ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว แต่สุดท้ายเราได้มาหาเพื่อนที่โรงเรียนทุกวันจนได้ฟอร์มวงไปประกวด Hotwave มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต โอเควงอาจจะติดหรือว่าเราก็อาจจะได้รางวัลอะไร ทุกอย่างตอนนั้นมันพิสูจน์ได้ว่าจริง ๆ แล้วเรารักการร้องเพลงมาก สุดท้ายเราก็กลับมารักษาสมบัติชิ้นเดียวที่คุณแม่ให้เราไว้คือการร้องเพลง กลับมาแก้ ร. ทุกตัวให้หมด จากนั้นก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ติด F อีก ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนยังไงก็ได้ไม่ให้มี F

ถ้ามีคนบอกว่าโบกี้ไลอ้อนเป็นเน็ตไอดอลมากกว่า  ไม่ใช่ศิลปิน ไม่ใช่นักร้อง รู้สึกอย่างไร?

ตอนแรกเราค่อนข้างแอนตี้กับเรื่องนี้มากปกติจะมีตัวตนทางโลกโซเชียลมากชอบอัปเดตเรื่องตัวเองให้เป็นอุทาหรณ์เสมอแต่ว่าทำไปทำมาแล้วรู้สึกว่าคนไปสนใจตรงนั้นมากกว่าแล้วสิ่งที่เราเล่าก็ไม่ได้รับการยอมรับในสังคมทั้งหมดเพราะเราก็ใช้คำที่ค่อนข้างหยาบบ้าง ทำให้ตัวเองอยากจะลดทำให้ตัวเองหยุด ก็หยุดตั้งสเตตัสไปพักนึงเลย เราไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจ แต่บางทีเราเจออะไรมาเราสามารถมาเล่าได้ในมุมตลก ๆ ก็อยากให้คนอ่าน

ตอนนี้ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับคำว่าเน็ตไอดอล ถ้าเป็นเมื่อก่อนค่อนข้างซีเรียส เราจะคิดว่าคนพวกนี้ที่พูดอะไรแบบนี้ออกมาอาจจะไม่ได้รู้จักเราว่าจริง ๆ เราไม่ใช่เน็ตไอดอลที่ทำอะไรแบน ๆ เราไม่ได้มีตัวตนแค่ในกรอบสี่เหลี่ยม เราทำอย่างอื่นได้นะ เราแต่งเพลงได้นะ เรารู้เรื่องดนตรีนะ เราไม่รู้เหมือนกันว่านิยามของเน็ตไอดอลในประเทศไทยแปลว่าอะไร แต่ปัจจุบันก็อาจจะหนีไม่พ้นการถูกมองว่าโชว์นมซึ่งจริง ๆ เราก็มีนมนะคะแต่ว่า เราไม่อยากโชว์

เรื่อง Auto-tune เราคือคนที่ยอมรับเลยใช่ไหมว่าชอบใช้?

เรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่าถึงกับไปปรึกษาจิตแพทย์เลย เอาเป็นว่าถ้ามีคนนึงจะเขียนจดหมายถึงอีกคน เขาก็ใช้แค่ปากกา กระดาษ ซองจดหมาย แต่ถ้าโบจะเขียนจดหมายถึงใครสักคน โบจะซื้อกระดาษมา 100 แผ่น ซองจดหมาย 100 ซอง ปากกา 10 ด้าม ซื้ออย่างนั้นจริง ๆ อย่างต่างหูที่ใส่อยู่มีแบบเดิมแบบเดียวกันประมาณ 10 คู่ไม่รู้มีทำไม

เป็นคนชอบทำอะไรสมบูรณ์แบบ เขียนจดหมายถ้าเขียนผิด แทนที่เราจะลบ เรากลับฉีกทิ้งไปเลย แล้วหยิบกระดาษแผ่นใหม่ จนกว่าจะเขียนได้ แล้วเราก็มาคิดว่าไอ้เรื่องนี้มันผิดปกติมั้ย? กางเกงตัวที่เรามี เราสั่งตัดมาก็แทนที่จะสั่งตัดตัวเดียว เรากลับสั่งตัดมา 5 ตัว  สีเดียวกันแบบเดียวกัน คนก็จะถามว่าเราใส่กางเกงไม่ซักเหรอ? จริง ๆ เรามีหลายตัว เราก็เริ่มคิดว่าทำไมเราเล่าให้คนอื่นฟังเเล้วเขาอ้ำอึ้งที่เรามีอะไรหลาย ๆ ชิ้น จากนั้นเลยไปปรึกษาจิตแพทย์

มันก็เชื่อมโยงกับการใช้ auto-tune ของโบ โบเรียนดนตรีมาทำให้เวลาพูดแล้วเสียงหลงเสียงแครก เราจะรู้สึกว่าไม่ได้เลยนะ เราร้องเพี้ยนนิดนึงคนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าเพี้ยน แต่เราเรียนดนตรีมารู้ว่ามันเพี้ยน แล้วถ้ามีคนอัดวิดิโอไว้ ความเพี้ยนเล็ก ๆ นี้มันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ทำให้โบตัดสินใจใช้ auto-tune จริง ๆ ก็ไม่ได้ร้องเพี้ยน 

ยอมรับว่าภูมิใจที่ใช้ auto-tune ของตัวเองเพราะมันทำให้มืออาชีพขึ้น ไม่ได้ใช้มากอะไรขนาดนั้น ใช้สักประมาณ 10%  ให้เสียงยังอยู่ในคีย์ ซึ่งถามว่าถ้าไม่ tune ร้องได้ไหมก็ร้องได้ แต่ว่าชอบ tune มากว่า

ถ้าวันนึงตื่นขึ้นมาไม่มีเสียงแล้วคิดว่าชีวิตจะเป็นยังไง?

อยู่ที่ว่าตอนนั้นเรามีเงินเท่าไร ถ้ามีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตต่อแล้วก็จะอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าไม่มีเงินเราก็ต้องหาหนทางหาเงินเพราะ

การร้องเพลงเป็นทั้งอาชีพ เป็นทั้งสิ่งที่รัก เป็นธุรกิจส่วนตัว

มีสิ่งอื่นที่เราสนใจรองลงมาจากการร้องเพลงไหม?

ชอบงาน creative งานศิลปะ สนใจการลำดับภาพ แต่ว่าไม่มีความรู้อะไร คิดว่าอาจไปเรียนเพิ่มแล้วทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบต่อไป

มองตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้าไว้แบบไหน?

อาจจะมี 2 แบบ เป็นตัวเองที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่หรือเป็นตัวเองที่ค้นหาตัวเองเจอแล้ว ก็อาจจะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง แต่แบบไหนยังคิดไม่ออก

จุดสูงสุดในชีวิตคืออะไร?

จุดที่สูงสุดในชีวิตไม่ใช่จุดที่ได้เป็นนักร้องอยู่คะ เเต่เป็นจุดที่อยู่บ้านเฉย ๆ อยู่กับหมามีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อันนั้นคือจุดที่สูงสุดที่สุด

คิดว่าการจะเป็นศิลปินที่ดีกว่าโบกี้ในตอนนี้ต้องพัฒนาด้านไหนอีกบ้าง?

การที่จะเป็นศิลปินที่ดีกว่าโบกี้เป็นโบกี้ที่ดีกว่านี้ต้องเอาแต่ใจให้น้อยลง มีความเป็นมืออาชีพให้มากกว่านี้ ใช้อารมณ์ให้น้อยกว่านี้ อารมณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าไปเหวี่ยงใครนะ แต่หมายถึงว่าอยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้าไม่มีอารมณ์จะทำก็ไม่ทำ ต้องใช้อารมณ์น้อยลง

พูดถึงเพลง “คนไข้”ที่เพิ่งปล่อยออกมา อยากรู้ว่า message หรือว่าสิ่งที่อยากบอกกับคนฟังคืออะไร และแรงบันดาลใจตอนแต่งคืออะไร?

ถ้าเล่าถึงแรงบันดาลใจมันไม่ได้มีไรเลยคะ แค่อยากเปรียบเทียบกับประสบการณ์ที่เคยเจอมา เป็นการโดนบอกเลิกทั้ง ๆ ที่เราไม่รู้เลยว่าเราทำอะไรผิด อยู่ ๆ ก็มาบอกเลิก มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าตอนนั้นรู้สึกยังไง จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก รู้สึกชา ๆ  รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย

แต่ในความเกี่ยวโยงก็มีเรื่องที่ตลกก็คือเพลงนี้ถ้าไม่ป่วยจริง ๆ ก็แต่งไม่ได้ มันเกิดขึ้นจากการที่ต้องส่งเพลงให้ค่ายแล้วแต่ว่ายังป่วยอัดเสียงไม่ได้ วันนั้นก็โทษตัวเองว่าทำไมไม่หายป่วยสักที ถ้าไม่หายป่วยแล้วเสียงมันจะอู้อี้อัดไม่ได้ สุดท้ายก็รู้สึกอีกแล้วว่าตัวเองเหมือนจะไม่สบาย เฮ้ย คำนี้แหละใช่ก็เลยเอามาใส่ในเพลง ท่อนฮุคของเพลงก็มาจากการป่วยจริง ๆ ส่วนเพลงที่อัดไปเสียงตอนนั้นก็ป่วยจริง ๆ เป็นไข้หวัดใหญ่

ผลงานที่อยากชวนให้ติดตามช่วงนี้มีอะไรบ้าง?

ฝากผลงานเพลงคนไข้สามารถติดตามได้ใน youtube ช่อง what the duck เร็ว ๆ นี้กำลังจะมีเพลงใหม่ชื่อเพลง.ควายติดตามได้ใน what the duck เหมือนกัน และสามารถติดตามโบได้ใน facebook fanpage, youtube, ig ชื่อ bowkylion ค่ะ

กว่าจะมาถึงวันที่ BOWKYLION เชื่อว่าการร้องเพลงเป็นทั้งอาชีพและสิ่งที่รักได้ เธอเริ่มร้องเพลงไล่ ๆ กับการเริ่มพูด ก่อนที่คำสบประมาทจากใครบางคนจะพาเธอดิ่งวูบไม่เชื่อในความสามารถของตัวเองจนแค่ได้ยินคนร้องเพลงก็อยากเบือนหน้าหนี แต่ทั้งหมดของความเจ็บปวดประกอบร่างสร้างเธอขึ้นใหม่ให้กลายเป็นเธออย่างที่เธอเป็นวันนี้ ไม่ว่าเธอจะเชื่อว่าตัวเองสมบูรณ์แบบหรือไม่ก็ตาม แต่ว่าเสียงร้องและความเป็นเธอมีความงดงามในแบบของตัวเองแล้ว

 

INTERVIEWER: PERLE
PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line