Entertainment

GARAGE: ‘เป้ อารักษ์’ แม้จะเดินมาไกลสักเพียงใด ชีวิตชายคนนี้ จะกลับมาสู่ถนนสายดนตรีเสมอ

By: Synthkid August 22, 2019

หากเอ่ยชื่อ ‘เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ’ หลายคนจดจำเขาในฐานะศิลปิน บ้างก็ในฐานะนักแสดง หรือหากติดตามกันมาอย่างยาวนาน คุณอาจจดจำเขาในฐานะ ‘เป้ Slur’ จากมือกีตาร์ขาเดฟหัวฟูในวันนั้น สู่ชายผู้เรียกได้ว่าหยิบจับมาแล้วแทบจะทุกอย่าง เป็นได้ทุกสิ่งที่วงการบันเทิงจะให้เขาเป็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีครั้งไหนที่เป้จะทอดทิ้งความรักที่มีต่อเสียงดนตรี เขายังคงเดินหน้าผลิตงานเพลงใหม่ ๆ และดำรงฐานะ ‘ศิลปิน’ ของตัวเองไว้โดยเสมอมา แม้การฉายเดี่ยวของเขาจะทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย และความตั้งใจก็ถูกจู่โจมด้วยความคิดเห็นเชิงลบ อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เขาคนนี้ไม่ท้อ และไม่เคยถอดใจ?

แม้ชีวิตจะของเป้ อารักษ์จะดำเนินไปในเส้นทางไหน ยาวไกลเพียงใด เขาก็พร้อมจะตีวงเลี้ยว เพื่อนำตัวเองกลับเข้าสู่ถนนสายดนตรีอยู่เสมอ วันนี้เราจะขอเชิญชาว UNLOCKMEN มารับฟังบทสนทนาสบาย ๆ ที่แสนตรงไปตรงมาจากปากผู้ชายคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน

ยินดีต้อนรับเป้สู่การทำเพลงอีกครั้ง! สำหรับชีวิตบนเส้นทางสายดนตรี เข้าปีที่เท่าไหร่แล้ว

เป้: คิดว่าน่าจะราว ๆ 14 ปี ประมาณนั้น ถ้านับจากอัลบั้มที่ออกสู่สายตาประชาชนชุดแรก (ในฐานะมือกีตาร์ Slur ) ผมอายุ 21 แต่ถ้าเอาแบบเริ่มทำ Slur จริง ๆ ผมเพิ่งจะ 19-20 เองตอนนั้น ปัจจุบันผมอายุ 34 แล้ว

จากมือกีตาร์ Slur ในวันนั้น สู่ เป้ อารักษ์ ในวันนี้ คิดว่าตัวเองโตขึ้นขนาดไหน

เป้: โตขึ้นเยอะครับ ทั้งในแง่ดีและไม่ดี (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงแง่ดนตรีอย่างเดียว ตอนทำ Slur หรือแม้แต่อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก ผมจะไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง ไม่สนว่าจะมีกรอบอะไรบ้างในโลกใบนี้

พอเริ่มโตขึ้น ผมก็อาจจะไม่ได้กล้าเท่าเดิม แต่คิดว่าผลงานที่ออกมามันก็มีความเหมาะสม และกลมกล่อมมากขึ้นครับ

ช่วงที่ทำเป็นวงกับฉายเดี่ยวแตกต่างกันมากไหม

เป้: ตอนทำ Slur มีความสุข สนุก และตลกมาก ๆ ครับ! เย่ (นักร้องนำ วง Slur) เคยบอกว่า การทำวงของพวกเราเหมือนไปเที่ยว เพราะทำงานแค่ชั่วโมงเดียวเอง ชีวิตช่วงนั้นก็คือ ตื่นเช้า นั่งเครื่องบิน พอถึงที่หมาย ก็เข้าร้านซาวด์เช็ก กินข้าว นอน เล่นโชว์ ปาร์ตี้ต่อ นั่งรถตู้ย้ายจังหวัด ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ทุกวัน เหมือนเป็นชีวิตในฝันของเด็กวัยรุ่น

ทุกวันนี้นอกจากผมจะไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตเยอะขนาดนั้นแล้ว (ถึงแม้จะอยากไป) เวลาไปโชว์ทีมันยังเหมือนไปทำงานจริง ๆ มากกว่าด้วยครับ อาจจะด้วยชื่อเสียง อายุ และความที่ผมระวังตัวมากขึ้น เลยไม่สามารถสุดเหวี่ยงได้เท่าเมื่อก่อนแล้ว

แล้ว ‘เล่นกับวง’ กับ ‘เล่นคนเดียว’ คิดว่าแบบไหนสบายกว่า

เป้: ตอนเล่นกับเพื่อนสบายกว่าเยอะครับ เพราะผมไม่ได้ร้องเอง แค่เล่นกีตาร์จะใช้ร่างกายหนักแค่ไหนก็ได้ แต่เสียงร้องเนี่ย มันต้องถนอมครับ 

ตอนนั้นตั้งเป้าหมายไว้ไหมว่าวงต้องไปได้ไกลแค่ไหน

เป้: ตอนนั้นเราวางไว้แค่วันพรุ่งนี้เลยครับ คิดแค่ว่าเราจะทำดนตรีกัน ต้องสนุกแน่เลย! ไม่ได้วางอะไรไกลเลย แต่พวกเราโชคดีที่มีเย่ ซึ่งเขาแต่งเพลงได้ และเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ ยุคที่เราตระเวนเล่นตามมหา’ลัย และตามปาร์ตี้ต่าง ๆ ก็เลยมีโอกาสได้เล่นเพลงวงตัวเอง ตอนนั้นหลายวงเขาก็ยังเล่นแต่เพลง Cover กันอยู่ พอเราเคยฝึกยาก ๆ กันมา การมาเล่นแบบนี้เลยถือว่าไม่ได้ยากเท่าไหร่ครับ อีกทั้งพี่เอม (มือกลอง วง Slur) ก็ตีกลองเก่งมาก ส่วนบู้เอง (มือเบส วง Slur) ก็เล่นเบสเก่งมากเช่นกัน

แชร์ประสบการณ์ช่วงนั้นให้ฟังหน่อย

เป้: ช่วงนั้นไม่ได้เล่นร้านไหนตายตัวครับ เหมือนถ้าใครจัดปาร์ตี้ เขาก็จะเอาเราไปเล่นให้เท่านั้นเอง ตอนนั้น Slur เป็นแค่วงเล็ก ๆ ทุกคนก็จะแบบวงนี้เล่นเพลงอะไรไม่รู้แหละ แต่ทุกคนต้องใส่ขาเดฟและหัวฟู (หัวเราะ) ส่วนบู้ก็จะแต่งตัวเหมือนพี่ป๊อดเวอร์ชันย่อส่วน มีงานนึงที่ผมจำได้ดีคืองานที่พี่ตุลย์ วงอพาร์ตเมนต์คุณป้าเป็นคนจัด เขาเอาเราไปเล่นกับวงเมทัลคอร์ที่ชื่อ Outro ได้ค่าตัว 800 บาท แต่ค่าจอดรถ 700 บาท! ดันไปจอดผิดที่ (หัวเราะ) ชีวิตมันก็แบบนั้นแหละครับ บางงานแบกของไปซะไกล เขาปิดร้านใส่หน้าเลยก็มี ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องกลับบ้าน มีโมโหบ้าง มีบ่นบ้าง แต่ก็แค่นั้นแหละครับ 

เป็นสายรหัสภูมิ วิภูริศ?

เป้: ไม่เชิงสายรหัสครับ ผมไม่รู้จักสายรหัส (หัวเราะ) ผมเป็นรุ่นพี่เขา 8 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น ผมรหัส 468 ส่วนภูมิรหัสเลข 5 กว่าโน่น ผมเป็นต้นสายของ Music Club เป็นรุ่นที่ 2 ครับ ยุคนั้นผมทำ Cover วง Yeah Yeah Yeahs ด้วยนะ เสียดายที่มันไม่มีวิดีโอถ่ายเก็บไว้เลย

แล้วตอนที่เข้าสมอลล์รูมแล้วล่ะ

เป้: พอไปอยู่สมอลล์รูมก็เริ่มยืดได้หน่อย (ยิ้ม) แต่กว่าจะหากินกับเพลงได้จริง ๆ คืออัลบั้ม 3 เลยนะ (อัลบั้ม Boong) อัลบั้มแรก (อัลบั้ม Boo!) เรายังเรียนกันอยู่ ช่วงชุด 2 (อัลบั้ม bum) มันอยู่ได้เพราะผมไปเล่นละครเรื่องแจ๋วใจร้ายกับนายเทวดาก็เลยเริ่มมีชื่อเสียง แต่ไม่มีเพลงที่ดังมากพอจะทำให้เราดำรงอาชีพกันได้ 

ตอนอัลบั้ม Boong เริ่มประสบความสำเร็จ ชีวิตเปลี่ยนไหม

เป้: เปลี่ยนครับ พอเพลงเซโรงังมันเกิดดังขึ้นมาจริง ๆ กลายเป็นว่าความโด่งดังในอาชีพของผม กับความดังของวง Slur มันขัดกัน เพราะงานของ เป้ อารักษ์ กับงานของ Slur มันดันเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กัน พอติดนู่นติดนี่มาก ๆ เข้า ทางค่ายเขาก็แนะนำว่าให้แยกจากกันดีกว่า

แล้วด้านการแสดง โดยรวมเป็นอย่างไรบ้าง

เป้: หนังบางเรื่องมันก็จัดเป็นงานประจำสำหรับผมนะ คือหนังมันจะสั้นและโฟกัสง่ายกว่า เพราะผมสมาธิสั้นประมาณนึง แต่ถ้าเป็นละครมันจะมีบางช่วงที่คิดว่าอยู่ตัว ความท้าทายมันจะมีบ้างช่วงที่เริ่มต้นตัวละคร หรือบางซีนที่ยากจริง ๆ แต่บางช่วงมันจะเหมือนทางเรียบ ๆ เลยไม่สามารถเรียกได้ว่าสนุกทั้งหมด ดนตรีก็เช่นกัน แต่ดนตรีจะขรุขระกว่า แถมจนกว่าด้วยครับ (หัวเราะ)

ความชอบระหว่างการแสดงกับการทำเพลง สำหรับเรามันเรียกว่าไปด้วยกันได้ไหม

เป้: จริง ๆ ผมคิด เรื่องนี้มานานมากว่ามีวงดนตรีหลายวงที่เขาต้องเลิกทำไป เช่น Goose หรือ อัศจรรย์จักรวาล ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม

ผมเนี่ยถือว่าโชคดี ที่มีงานแสดงมารองรับจนสามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้ แถมยังเกื้อกูลกับงานดนตรีที่ผมรักด้วย

กองละครบางกองก็สนุกมากเลยเหมือนไปพักผ่อน หรือบางกองก็อาจทำให้เราได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง อย่างผมไปเล่นขุนพันธ์เรื่องเดียว ผมควงปืนคล่องเลยนะ ขี่ม้าได้ เล่นกล้ามเป็น ละครบางเรื่องทำให้ผมตัดผมเป็น เล่นยูโดเป็น จนไปถึงทำอาหารเป็น! ถ้าไม่ได้ทำอาชีพนักแสดง ผมคงไม่มีวันได้ทำสิ่งเหล่านี้ ถามว่ารักไหม ผมก็รักด้วยแหละ ผมโชคดี (ยิ้ม)

ทำเพลงเองไม่เคยถูกใครสั่ง แต่พอเป็นนักแสดงต้องโดนผู้กำกับสั่ง รู้สึกอย่างไรบ้าง

เป้: มันเลยสมดุลกันไงครับ จริง ๆ เคยมีคนมาขอให้ผมเพลงทำเพลง ‘ไก่’ ไปประกอบครีมทารักแร้ เขาขอให้ผมแต่งท่อนใหม่ที่เกี่ยวกับรักแร้ขึ้นมา ซึ่งผมทำไม่ได้นะ ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแต่งเพลงตามโจทย์ไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าการทำเพลงมันเป็นพื้นที่ของเรา แต่อย่างหนังเรื่องดาวคะนองก็มีเอาเพลงที่ผมแต่งไว้ไปใช้ แล้วก็มีเพลง ‘เสือ’ ที่ผมแต่งให้หนังเรื่องขุนพันธ์ 2 แต่ผมก็อินกับมันจริง ๆ เลยแต่งออกมาได้ ถือว่าไม่เคยมีการบังคับเกิดขึ้นเลยในการทำเพลงของผม แต่พอต้องไปเจอผู้กำกับสั่งเนี่ยผมดันชอบว่ะ! ผมเคยโดนสั่งให้จูบกับผู้ชาย ผมตอบว่า ‘เอาดิ ผมก็ชอบผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน’ (ยิ้ม) ตอนเล่นหนังเรื่องขุนพันธ์ กลับมาบ้านแทนที่จะได้พักผ่อน ดันต้องออกไปเล่นกล้าม ผมว่ามันก็ดีนะ เป็นการรับผิดชอบอีกแบบหนึ่งเขาไม่ได้สั่งให้เราไปทำอะไรเกินมนุษย์ ผมมองว่ามันสนุกนะ 

อิสระจนเคยตัวไม่ดีเสมอไป?

บางคนอิสระอาจจะเป็นเรื่องดี… แต่ไม่เสมอไป มีคำนึงที่พี่ฮิวโก้สอนผมมา จริงๆ เป็นเพลงของเขาที่ผมชอบมาก เขาทำไว้แต่ไม่ได้ปล่อยออกมา ชื่อเพลงว่า ‘Freedom Long Chain’

คำว่าอิสระความจริงมันก็คือโซ่ที่ยาวหน่อยเท่านั้นแหละ ไม่มีใครอิสระที่สุดหรอก เหมือนการทำเพลง สุดท้ายเราก็ต้องทำให้คนอื่นฟัง เพียงแต่ถ้าเป็นหนังละครโซ่มันอาจจะสั้นหน่อย 

ถ้ากลับไปในอดีตได้ คุณจะแก้ไขอะไรบ้าง

เป้: ผมคิดว่าบางปัญหาต่อให้กลับไปผมก็คงจะแก้ไม่ได้ เช่นเรื่องที่ทำให้ผมไม่ได้อยู่ Slur แต่อาจจะทำตัวให้มีวินัยมากขึ้นมั้งครับ ผมเคยทำให้เพื่อนตกเครื่องทั้งวงเพราะอยู่กับแฟนนานไปหน่อย เลยอยากจะแก้เรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ผมไม่ได้อยู่ Slur ผมคงทำอะไรกับมันไม่ได้ เพราะเป็นทั้งจุดเริ่มต้น จุดเติบโต และจุดจบ เป็นส่วนประกอบเดียวกันครับ

อ้อ! ผมคิดได้เรื่อง ถ้าผมย้อนอดีตได้ผมจะดึงขาตัวเองแล้วบอกว่า ‘เป้ไปเรียนร้องเพลงก่อนแล้วค่อยออกอัลบั้ม!‘ จริง ๆ ตอนนั้นเรียนแล้ว แต่รู้สึกไม่เป็นตัวเองเลยไม่เรียนต่อ คือผมเห็นว่า Bob Dylan ตอนเขาทำเพลงโฟล์ก เขาอยากร้องแบบไหนก็ร้องได้ ผมคิดแค่ว่าเอาล่ะ ผมจะทำเพลงเล่าเรื่องเหมือน Bob Dylan ปรากฏว่ามันไม่ใช่ ถ้าผมได้กลับไปร้องเพลงชุดเก่าด้วยฝีมือที่ถูกพัฒนาแล้ว ผมน่าจะมั่นใจกว่านี้ และทำให้คนฟังได้สุนทรีย์มากกว่านี้

มีงานไหนที่เคยทำไว้ในอดีต แล้วอยากกลับไปสานต่อในปัจจุบัน

เป้: ผมเคยทำวงชื่อ Let Me Be Your Love Kamikaze ครับ เป็นวงดนตรีมหา’ลัยกับเพื่อนที่มหิดล ปัจจุบันสมาชิกทุกคนต่างคนต่างแยกย้าย แต่ผมอยากทำโปรเจกต์แบบนั้นอีกครั้ง เป็นโปรเจกต์ที่มีกีตาร์ตัวเดียว มีกลอง แล้วก็มีนักร้องเพลงร็อกเสียงสูง ๆ คล้าย ๆ The Black Keys กับ Royal Blood ยุคนี้ไม่ค่อยมีคนทำแล้ว แต่ผมยังอยากทำกับนักร้องคนนั้นอยู่นะ ปัจจุบันเขากลายเป็นโปรเล่นเซิร์ฟไปแล้ว 

เคยทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบจริง ๆ บ้างไหม

เป้: ตอนผมไปออกรายการต่อยมวย 10 Fight 10 ช่วง 3 เดือนนั้นผมเหมือนไม่มีชีวิตเลยนะ ผมมีทั้งถ่ายละครเป็นหลัก ทั้งถ่ายหนังลงทีวีอีกช่อง ซึ่งถ่ายพร้อมกัน เรื่องกินข้าวกับพ่อแม่หรือจีบสาวนี่ตัดไปได้เลย มีออกไปเล่นคอนเสิร์ตบ้างประปราย ช่วงนั้นผมเหมือนถือศีล ใครชวนไปเที่ยวกลางคืนผมไม่ไป ผมเคยสูบบุหรี่ผมก็เลิก ผมเลยคิดว่าจะไม่รับอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ หรือรับบทที่ตัวเองไม่แน่ใจอีกแล้ว จริง ๆ เคยบอกว่าตัวเองจะไม่ติสท์ ต่อแต่นี้ก็คงต้องยอมติสท์มากขึ้น เพราะผมไม่อยากจะเข้าใกล้ความเหนื่อยระดับนั้นอีกแล้ว 

 

มีที่ไหนในโลกที่อยากกลับไปอีกครั้งไหม

เป้: มันจะมี 2 ประเภท ที่ ๆ ผมอยากกลับไปเล่นเซิร์ฟอย่างเดียว มี บาหลี ฮาวาย และภูเก็ต การเล่นเซิร์ฟเป็นกีฬาที่สนุกที่สุดสำหรับผมแล้ว แต่ผมไปไม่บ่อย เพราะไม่มีเวลา ที่กรุงเทพก็ดันไม่มีให้ไป ส่วนประเทศที่อยากกลับไปบ่อย ๆ ได้ ผมอาจจะเลือกประเทศแถบเอเชีย เพราะช่วงหลัง ๆ ยุโรปอันตรายขึ้นมากเลยครับ แต่ตอนไปมาดริดกับไปอังกฤษ ผมก็สนุกมากเลยแฮะ (ครุ่นคิด)

เห็นงานเยอะเลยสงสัยว่าได้ไปดูคอนเสิร์ตวงที่ชอบบ้างหรือเปล่า

เป้: ล่าสุดไป Coachella ส่วนก่อนหน้านั้นประมาณปีที่แล้วผมได้ไป Mad Cool Festival ทุกคนต้องอิจฉาแน่นอน ผมไม่รู้จะอวดยังไงเลย ผมได้ดูทั้ง Justice, Jack White, Arctic Monkeys, Queens of the Stone Age, Pearl Jam, Nine Inch Nails มันอยู่งานเดียวกันหมดเลยครับ เป็นไปได้ยังไง! ขนาด Dua Lipa ยังไปเลย

ถ้าเลือกได้อยากกลับไปดูวงอะไร

เป้: อาจจะทรยศชาวร็อกนิดนึงนะครับ แต่ผมอยากกลับไปดู Justice ว่ะ (หัวเราะ) เพราะผมได้ที่ไม่ค่อยดีอ่ะตอนนั้น ผมเจอคนฉี่ใส่ขวดเบียร์แล้วพยายามสาดขึ้นฟ้าด้วย ผมเลยแบบอยู่ไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)

แล้วตัวเองล่ะ อยากขึ้นคอนเสิร์ต หรือมีทัวร์แบบเขาบ้างไหม

เป้: ผมอยากมีทัวร์ครับ ผมพร้อมมาก วงผมก็พร้อมมาก! รบกวน UNLOCKMEN บอกต่อด้วยนะครับว่าจ้างได้ ไม่ดังแต่แพง เอ๊ย! ไม่ใช่ ไม่แพง! (หัวเราะ) อัลบั้ม Aragochina เนี่ย กว่าเราจะทำมันจนสำเร็จ เราซ้อมกันจริงจังมาก ตอนนี้เราเล่นได้ทุกเพลงแล้วนะครับ เล่นได้ก่อนจะปล่อยอัลบั้มอีก เสียอย่างเดียว ยังไม่มีใครจ้างไปโชว์เต็มแบนด์สักที (หัวเราะ) ตอนนี้ออกไปร้องเพลง ‘สอนใคร’ ผมก็ต้องเล่นแบบอะคูสติก

อีพี Aragochina กลายเป็นเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์ ไปได้แรงบันดาลใจอะไรมา ถึงเริ่มทำแนวนี้

เป้: หลังจากอัลบั้มเหล็กกับไม้ ผมก็แต่งเพลงออกมาเรื่อย ๆ ครับ แล้วก็มีโอกาสได้เข้าไปเจอ ‘พี่เล็ก ฮิวโก้’ เวลาเข้าไปเจอแกมันเหมือนผมได้รับเลคเชอร์ ได้รับพลังงาน เหมือนผมได้คุยกับเพื่อน ครู และผู้ปกครองในคน ๆ เดียวกัน ผมบอกพี่เล็กว่าผมอยากทำเพลง R&B เพราะช่วงหลัง ๆ มานี้ ไม่มีเพลงร็อกใหม่ ๆ เพลงไหนเลยที่ผมรู้สึกชอบจริง ๆ นอกจาก Arctic Monkeys ผมดันมาชอบ The Weeknd, Bruno Mars, Joji หรือว่า… (เงียบไปพักหนึ่ง) Justin Bieber! อัลบั้มล่าสุดมันก็ต้องยอมเขาจริง ๆ ครับ แล้วผมก็ชอบ Taylor Swift อัลบั้ม 1989 มาก ผมก็เลยเอ๊ะ! ทำไมฉันต้องมาทำเพลงร็อกหรือโฟล์กที่ในรอบ 2 ปีนี้ฉันแทบไม่ได้ฟังเลย

ช่วงนั้นพี่เล็กเองก็กำลังอินอยู่กับอัลบั้ม Daytona ของ Pusha T พอดี ผมก็นั่งฟังอัลบั้มนั้นกับเขา ซึ่งมันกลายเป็นอัลบั้มที่ผมชอบที่สุดในรอบปีเลย พี่เล็กเองก็บอกว่าถ้าอยากทำ R&B ต้องทำแบบนี้ ๆ เดี๋ยวเขาช่วยทำครับ 

ก็เลยเดินหน้าทำอิเล็กทรอนิกส์เต็มกำลัง?

เป้: ตอนนั้นผมปล่อยจอย อยากให้พี่เล็กเขาลองลงมือดู ต่อมาก็ตามหาโปรดิวเซอร์อีกคนมาช่วย เลยได้ Machina เข้ามา ตอนนี้แหละที่กลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์เต็มตัวเลย ไม่สนแล้วว่าจะใช้เครื่องดนตรีอะไร ต้องเล่นกีตาร์ไหม หรือจะเล่นสดอย่างไร ตอนนั้นไม่มีความคิดพวกนี้อยู่ในหัวเลย

จะกลับมาทำงานเพลงแบบนี้ ต้องเคลียร์ตัวเองก่อนไหม

เป้: ผมเรียกตัวเองว่าเป็นฟรีแลนซ์นะ อาชีพนักแสดงฟรีแลนซ์มันเลือกได้ว่าเราอยากจะทำหรือไม่ทำงานช่วงไหนได้บ้าง อาจจะมีบ้างที่งานมันล่าช้า จนไหลมากองรวมกันเป็นภูเขา ช่วงปลายปีก่อนมีช่วงที่ผมหยุดพัก รอเปิดโปรเจกต์ใหม่อีกทีต้นปี ผมก็เข้าไปทำเพลงกับพี่เล็กช่วงนั้นแหละครับ แต่ก็ไม่ได้ทำติด ๆ กันนะ ทำอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ไม่ก็เว้นสองอาทิตย์ แต่ที่พี่เล็กอยู่ช่วยไม่น่าจะเกิน 5-6 วัน

งานเยอะขนาดนี้ บาลานซ์ชีวิตได้เหรอ?

เป้: ไม่ค่อยได้ครับ แต่ช่วงนี้ก็อาจจะเรียกว่าบาลานซ์ได้ แต่มันจะมีบางช่วงที่อัดทุกอย่างเข้าพร้อม ๆ กันจนต้องวิ่งวุ่น บางครั้งมันก็ทำให้ผมกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวประมาณนึง คือใครจะมาเอาเวลาของผมไปไม่ได้! ครอบครัวผมอาจจะเข้าใจ แต่กับสุภาพสตรีเนี่ย…(เงียบ) บางทีชีวิตส่วนตัวมันก็ต้องแลกมากับสิ่งนี้จริง ๆ แต่ช่วงนี้ก็มีเวลาให้ตัวเองเยอะขึ้น เพราะเคลียร์จบไปหลายอย่างแล้วครับ

เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบากบ้างไหม ที่ต้องทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน

เป้: ผมเพิ่งไปดูหนังเรื่อง Parasite (ชนชั้นปรสิต) มา ผมรู้สึกว่าไอ้สิ่งที่ผมทำอยู่มันง่ายกว่าการหาเลี้ยงปากท้องของคนบางคนเยอะมาก เพราะฉะนั้นในแง่ของศิลปะ ผมถือว่าผมก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเทียบเป็นความยากลำบาก หรือความทนทุกข์ทรมาน ชีวิตคนอื่นน่าจะเหนื่อยกว่าผมมาก ผมเลยคิดว่ามันไม่ได้ยากเกินไป ใครๆ ก็ทำได้ ผมอาจจะมีช่วงที่เศร้า แต่ไม่เคยลำบากเท่ากับคนอื่นครับ ผมเคยท้อใจเรื่องงาน เรื่องแฟน หรือเรื่องการยอมรับ บางครั้งมีการเข้าใจผิดที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี แต่พอมองไปที่ปัญหาคนอื่น ผมก็รู้สึกว่าผมยังสบายอยู่

จัดการความรู้สึกเวลาได้รับความคิดเห็นเชิงลบอย่างไร

เป้: ถ้าเป็นงานแสดง ผมว่าผมไม่ค่อยโดนแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นนะ แต่กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยโดนใครว่าแล้ว อาจจะเป็นเพราะชินกับเราในฐานะนักแสดงด้วย แต่หลายครั้งกลับไปดูงานที่ตัวเองเล่นอย่าง ‘สุดเขตเสลดเป็ด’ หรือ ‘เฉือน’ ผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเล่นได้แบบนั้นอีกแล้ว ตอนนี้เลยต้องรับเล่นแต่บทบาทใหม่ ๆ จะซ้ำเดิมไม่ได้ แต่เรื่องเพลงเนี่ย… (เงียบไปสักพัก) ก็ต้องยอมรับว่าเราห่วยจริง ๆ อย่างที่ผมบอกว่าผมอยากย้อนเวลาไปเรียนร้องเพลง

เพราะพองานที่ออกมามันต่ำกว่ามาตรฐานเนี่ย ทางเดียวที่จะแก้ได้คือการอย่าหยุดทำ ผมต้องสร้างงานใหม่ ๆ ยังต้องต่อสู้กับคอมเมนต์อยู่ในทุก ๆ วัน

มันฟังดูเท่นะ แต่ในความจริงมันยากมาก เทรนด์เพลงมันเปลี่ยนไป ส่วนชื่อของผมในฐานะศิลปินก็ไม่ได้รับการชำระศีลบาปนี้สักที หวังว่าวันนึงมันจะได้รับการชำระครับ 

ไม่ว่าอย่างไรเป้ อารักษ์ก็จะกลับมาบนถนนสายดนตรีเสมอ?

เป้: ผมไม่เคยหายครับ ผมนับด้วยความภูมิใจกับตัวเองตลอดว่า ‘ฉันมีผลงานมา 6 อัลบั้มครึ่งแล้ว’ ทั้งของ Slur และของตัวเอง เพลงผมคนเดียวก็เกิน 50 เพลงแล้ว ถือว่าเป็นหลักไมล์ที่ยอดเยี่ยมมาก หวังว่าวันหนึ่งจะไปแข่งกับคาราบาวได้ มีตั้งพันกว่าเพลง (หัวเราะ) ส่วนคนที่คิดถึงเพลงโฟล์ก จริงๆ ผมมีเพลงโฟล์กเหลือนะ แต่อาจจะยังไม่หยิบมาทำตอนนี้ ผมอยากทำอะไรที่ท้าทาย และต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่ายมากขึ้น ถ้าเป็นเพลงโฟล์กผมทำเองจบเองได้ แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมมีแรงเหลืออยู่ เลยอยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ลองฟังกันดูนะครับ ก่อนที่ผมจะ Back To Basic 

ฝากผลงานหน่อย กลับมาครั้งนี้มีอะไรมาฝากแฟนเพลงบ้าง 

เป้: เพลงใหม่ครับ (หัวเราะ) แต่เป็นเพลงใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม ลืมภาพเดิม ๆ กันไปได้เลย อัลบั้มนี้อาจจะไม่ได้เรื่องเล่าเยอะเท่าอัลบั้มแรก ๆ ผมตั้งใจให้เป็นความบันเทิง สุนทรีย์! สมัยก่อนปล่อยเพลงออกมารู้สึกคนฟังกันง่ายและเร็วกว่านี้ ตอนนี้แอบยากที่จะทำให้คนได้ฟัง หรืออาจจะเป็นเพราะชื่อของผมที่ถูกบั่นทอนชื่อเสียงทางด้านดนตรีไป ผมหวังว่าเขาจะได้ฟังอัลบั้มชุดใหม่นี้กัน แต่ผมก็รู้นะว่ามีบางคนที่ชอบ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากเลย อ้อ! แล้วผมก็ชอบเช็กเรตติ้งด้วยครับ ถึงผมจะชอบทำเก๊กไม่ได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ แต่ผมอ่านตลอดนะ

และบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและเสียงหัวเราะของผู้ชายที่ชื่อ เป้ อารักษ์ ก็จบลง ก่อนที่เขาจะหยิบกีตาร์ขึ้นมาบรรเลงเพลง ‘สอนใคร’ แบบอะคูสติกนุ่ม ๆ ให้พวกเราได้ฟัง หากให้อยากรับชม สามารถติดตามได้ที่เพจ UNLOCKMEN เร็ว ๆ นี้ครับ

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line