Entertainment

GARAGE: กว่า 22 ปีที่ผงาดง้ำค้ำบนโลกดนตรี PARADOX ยังคงสดใหม่ พร้อมใส่ลูกบ้าที่ไม่มีวันหมด

By: Synthkid January 3, 2020

‘วงดนตรียิ่งอยู่นาน ๆ พลังยิ่งหมด’ วลีนี้อาจไม่จริงเสมอไป เพราะในโลกดนตรีอันแสนกว้างใหญ่ยังมีวงดนตรีอีกมากที่ ‘ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า’ ยิ่งอายุมากประสบการณ์ก็มากตาม และถ้าจะพูดถึงวงดนตรีแถวหน้าสักวงในไทยที่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เราเชื่อว่า Paradox อาจเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ช่วงชีวิตของใครหลายคน อาจเคยมีบทเพลงของพวกเขาเป็นซาวด์แทร็กประกอบ ผลงานของพวกเขามีตั้งแต่เพลงรักหวานซึ้ง จนไปถึงบ้าระห่ำสุดขั้ว ราวกับพจนานุกรมของวง Paradox ไม่มีคำว่าจำเจ

วันนี้เราจะพาทุกคนไปล้วงลึกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของวง Paradox จากปากสมาชิกทั้งสี่ ต้า (ร้องนำ), สอง (มือเบส), บิ๊ก (มือกีตาร์) และโจอี้ (มือกลอง) ตัวจริงเสียงจริง อะไรที่ทำให้พวกเขายังผงาดง้ำค้ำโลก รักษาความสดใหม่ พร้อมจะยิงมุกใส่แฟนเพลงได้ราวกับกระสุนที่ไม่เคยหมดแม็ก ตบท้ายด้วยไฮไลต์เด็ดที่ทุกคนอยากรู้ ‘เคล็ดลับซื้อหวยอย่างไรให้ถูก’ จาก สอง Paradox!

บิ๊ก ต้า สอง และโจอี้ (เรียงจากซ้าย-ขวา)

เข้าปีที่เท่าไหร่แล้วสำหรับวง Paradox

สอง: 22 ปีแล้วครับ ผมขอนับตั้งแต่อัลบั้มแรกวางแผง ไม่ได้นับตั้งแต่ตอนตั้งวงละกัน เพราะเดี๋ยวมันจะแก่ไปกว่านี้ (หัวเราะ)

จากเพลง ‘ฤดูร้อน’ ถึงเพลง ‘ฤดูฝน’ การเดินทางของวง เป็นอย่างไรบ้าง 

ต้า: จริง ๆ วงเรามีความเป็นลูปเหมือนกันนะฮะ ช่วงแรกจะค่อนข้างดุดัน มีความทดลองหน่อย ๆ ช่วงกลางก็จะเป็นนุ่มๆ ใสๆ ผู้หญิงน่าจะชอบ ตอนนี้ก็กลับมาเป็นช่วงทดลองอีกครั้ง เพลงส่วนใหญ่ที่ปล่อยไปจะมีความเป็นร็อกมากขึ้น มีความแผลง ๆ ดุ ๆ แฟนเพลงเลยเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นมีผู้ชายมายืนหน้าเวทีมากขึ้น อันนี้ก็เป็นเรื่องตลกดีเหมือนกัน

ยังจำกันได้ไหมว่า ช่วงที่เริ่มมีชื่อเสียงใหม่ ๆ รู้สึกอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ต้า: ช่วงที่คนเริ่มจำได้ น่าจะเป็นช่วงเข้ามาแกรมมี่มาแล้ว ตอนอัลบั้ม Summer ครับ ตอนนั้นเรามีเพลงโปรโมตคือเพลงน้องเปิ้ลน่ารัก อันนี้คนยังพอรู้จักบ้าง แต่เพลงที่คนเริ่มรู้จักจริง ๆ น่าจะเป็นเพลง LOVE ตอนนั้น ฤดูร้อน ไม่ใช่เพลงโปรโมตด้วยซ้ำครับ คนเขาก็เริ่มรู้จักตามสื่อ อาจจะเห็นจากโปรโมตต่าง ๆ ประมาณนี้ด้วยครับ

สอง: ฤดูร้อนนี่จริง ๆ ไม่ใช่ซิงเกิล เป็นเพลงที่สี่ ไม่มีมิวสิกวิดีโอ ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าเรื่องชื่อเสียง ช่วงนั้นก็ดีขึ้นครับ เรียกว่าสนุกดีมากกว่า ระบบวงดนตรีทุกวงก็เหมือนกัน ตั้งวง ซ้อมกับเพื่อน ทำเดโม่ส่งค่าย แล้วพอเพลงได้เปิด ก็เริ่มมีมิวสิกวิดีโอ คนก็จะเริ่มรู้จัก เหมือนมันค่อยๆ ไปทีละขั้น สำเร็จไปทีละขั้น

ต้า: ตอนนั้นแบบ ‘โห ถ้าใครได้อยู่แกรมมี่นี่สุดยอดเลย!’ แค่นี้ก็ชีวิตเปลี่ยนแล้ว

สอง: เป็นเป้าหมายเลยว่าตั้งวงกันแล้วอยากจะได้ออกเทปกับแกรมมี่

ต้า: จัดขบวนแห่รอบหมู่บ้านได้ (หัวเราะ) เอาไปโม้ได้เลยครับ ส่วนตัวรู้สึกว่าชีวิตเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนั้น แต่ไอ้ความดังมันก็ยังปกติ ไม่ได้โด่งดังอะไรมาก เดินไปคนก็ยังไม่ได้รู้จัก จะเริ่มเท่คือตอนอยู่มหาวิทยาลัย เดินเข้ารั้วมหาลัยแฟนเพลงกลุ่มอินดี้ก็จะเริ่มจำพวกเราได้

บิ๊ก: ของผมชีวิตเปลี่ยนตั้งแต่ตอนเจอพวกนี้ครับ (ชี้เพื่อนในวง) ตอนนี้ก็ยังไม่มีคนรู้จักอยู่ดี (หัวเราะ)

โจอี้: ผมก็ชีวิตก็ปกติครับ แต่ว่ามันเหมือนมีเรื่องคุยกับเพื่อน ๆมากขึ้น แล้วก็ได้เล่นดนตรีเยอะขึ้นครับ

‘แกรมมี่’ คือเป้าหมายหลักตั้งแต่แรก?

ต้า: เคยโม้ไว้! ผมจำได้เลยว่าอัดวิดีโอกันเล่น ๆ เตรียมไปซ้อมงาน Freshy Night แล้วสองเนี่ยแหละบอกว่า ‘เดี๋ยววันนึงอยู่แกรมมี่ก็ขำกันก๊าก’ เพราะมันเป็นไปได้ยากมาก เป็นเรื่องที่เฮฮาปาร์ตี้ แซวกันเองครับ เพราะสมัยก่อนวงดนตรีถ้าเข้ามาทำค่ายก็ต้องเป็นมืออาชีพมาก พวกเรานี่ไม่ได้เป็นสายมืออาชีพเลย ฟอร์มวงกันจากมหาวิทยาลัยด้วยโปรเจกต์เล่นขำ ๆ ดูเป็นความฝันที่ไกลตัว

แล้วเป็นไงมาไงถึงได้เข้าแกรมมี่จริง ๆ

ต้า: ครับ มันก็ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอนนะครับ ตอนแรกไม่ได้อยู่แกรมมี่ เราก็ไปส่งเดโม่ ตอนแรกว่าจะทำเพลงกันขำๆ ยุคนั้นเป็นยุคอัลเทอร์เนทีฟ วง Moderndog เริ่มดัง เป็นตัวแทนพวกเราว่าวงอินดี้ก็สามารถทำอัลบั้ม ออกเทปได้ ความเชื่อก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

จากที่ว่าจะต้องมีค่ายเท่านั้น เราก็เริ่มคิดอยากจะทำอัลบั้มขายกันเอง บริษัทปั๊มเทปก็เริ่มเปิดกว้าง ของย่อย ๆ ตอนนั้นก็มีไอเดียแค่ว่าจะไปฝากวางขาย แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ห้องอัดบางทีมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ‘พี่อ้อ วงซับใน’ เขาเลยบอกให้เอาเดโม่ไปส่งค่าย Eastern Sky ปรากฏว่าเอาไปส่งวันที่วงพราวเขาปิดอัลบั้มเลี้ยงฉลองล้านตลับพอดี เลยไม่มีใครอยู่ค่ายเลย เขาไปฉลองกันหมด (หัวเราะ) เราก็เลยทิ้งเทปเอาไว้

สอง: วางไว้ตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์ เพราะเขากลับกันหมด แล้วตอนกลางคืนพี่แก๊ป วงทีโบน เขาลืมของเลยขับรถกลับมาเอาที่ออฟฟิศ ตอนนั้นพวกผมกลับกันไปหมดเลย พี่แก๊ปแกมาเก็บของ ปรากฏเห็นมีเทปเดโม่วางอยู่ เลยหยิบไปฟังเล่น ๆ ใส่เทปรถแก ระหว่างกลับบ้านแกก็ฟังห้าเพลงนั้น อีกวันนึงก็โทรมาเลย แต่ว่าเดี๋ยวเขาก็จะช่วยโปรดิวซ์ให้ มาทำเทปเดี๋ยวเขาก็จะช่วย

ต้า: แล้วก็จับเซ็นสัญญาเลย ภายในหนึ่งคืน ชีวิตเปลี่ยน!

บอกได้ไหมว่าใน ‘เดโม่’ นั้นมีอะไร ทำไมพาเรามาไกลขนาดนี้

ต้า: พวกเพลงแบบ ไก่ หรือ นักมายากล เพลงขม ๆ พวกนั้นครับ

สอง: โรตีที่รัก, เสือไบ, ลา ลา ลา

 

แสดงว่าจุดเริ่มต้นแรกไม่ใช่ค่ายใหญ่?

ต้า: ตอนแรกอยู่กับค่าย Eastern Sky ครับ เป็นค่ายอินดี้ วงดังก็คือวงพราว เราทำกับค่ายนี้ได้หนึ่งอัลบั้ม ชื่อว่า Lunatic Planet หน้าปกเป็นรูปมนุษย์ต่างดาวสีม่วง ๆ ช่วงนั้นก็ยังขม ๆ อยู่ พอจบจากอัลบั้มนี้ เราก็ออกอัลบั้มใต้ดินมาอีกหนึ่ง ทำเล่น ๆ ทำเองขายเอง ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนเพลงมันดันไปถึงหูป๋าเต็ด ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นดีเจอยู่คลื่น Hot Wave ป๋าเขาก็เลยมีไอเดียว่าให้ลองมาเสนอค่ายจีนี่เรคคอร์ดที่แกรมมี่ ซึ่งตอนนั้นจีนี่เรคคอร์ดเพิ่งเปิดค่ายเลย เราเลยมีโอกาสทำเป็นอัลบั้มย่อย ๆ ก่อน

ตอนแรกก็รู้สึกกลัว เป็นความเชื่อที่คนจะกลัวว่าถ้าอยู่ค่ายเดี๋ยวจะโดนจับเปลี่ยนแปลง โชคดีมีอัลบั้มทดลองคือ Intro 2000 ปี 2000 จำได้เลย ก็ทดลองไปก่อนเพลงนึง หลังจากนั้นปล่อยมาอีกเพลงชื่อเพลงท่ามกลาง ทดลองไปมา เฮ้ย เวิร์กดี! ทางจีนี่เริ่มสนใจอยากให้เราออกเป็นอัลบั้มครับ ก็เลยได้ออกอัลบั้ม Summer ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่เราทำกับทางจีนี่ครับ

แอบเห็นความหลากหลายในเพลง Paradox เลยอยากถามถึงรสนิยมทางดนตรีของแต่ละคน

ต้า: จริงๆ คนละแนวเลย ตอนนั้นผมชอบเพลงเพื่อชีวิต อย่างพี่ปู พงศ์สิทธิ์ คัมภีร์ นี่ขวัญใจเลย แล้วก็ไปเจอคุณสองตอนปีหนึ่ง ชั่วโมงเรียนคอมพิวเตอร์เราถูกจับมานั่งประกบกันพอดี ผมไม่รู้จะทำอะไร พอมองไปเห็นเขามีซาวน์อเบ๊าท์ เลยเปิดบทสนทนาแบบฟังเพลงอะไร? คราวนี้คุณสองก็เริ่มเล่าเรื่องเพลงยุคอัลเทอร์เนทีฟที่เขาชอบ พวก Nirvana, Guns and Roses อะไรพวกนี้

สอง: ตอนนี้ก็คนละแนว

ต้า: ก็คนละแนว (หัวเราะ) ของบิ๊กนี่ก็น่าจะเป็นแนวหนัก ๆ

บิ๊ก: เฮฟวี่เมทัลอะไรงี้ครับ

โจอี้: ของผมก่อนจะเล่นดนตรีก็ซึมซับพวกเพลงมาดอนน่าอะไรงี้ คือฟังเพลงสบาย ๆ ไม่ได้เน้นร็อก จนพอมารู้จักกับเพื่อน ๆ ได้เล่นดนตรีด้วยกันก็เริ่มมาเข้าสายอัลเทอร์เนทีฟมากขึ้น

หรือความชอบที่หลากหลาย จะกลายเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของเพลง Paradox?

ต้า: ใช่ครับ ข้อดีของการที่ชอบคนละสไตล์กัน มันจะดีมากก็ตอนที่ผมขึ้นเดโม่มา อาจจะวางโครงไว้คร่าว ๆ สมมติว่ามีกีตาร์เล่นคลอ ๆ ไป ผมก็จะคิดว่าดนตรีมันออกมาน่าเบื่อไหม เพลงจะแบน ๆ หรือเปล่า ผมสามารถส่งไปให้สอง โจอี้ หรือคุณบิ๊ก พวกเขาก็จะใส่ลูกเล่นของตัวเองเข้ามา คราวนี้เพลงก็ไม่น่าเบื่อแล้วเพราะมีสีสันอย่างอื่นเข้ามาผสม เป็นความลงตัวในการทำเพลง หรือบางครั้งอาจจะสร้างแรงบันดาลใจใหม่ไปเลย เพิ่มความสนุกมากขึ้นไปอีก

จริง ๆ มันก็เป็นเสน่ห์นะ เพราะถ้าวงอื่นเขาเล่นแนวไหนก็จะเป็นอย่างนั้นทั้งอัลบั้ม

แต่สำหรับเราทุกอัลบั้มจะไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งแต่ละเพลงในอัลบั้มก็ยังไม่เหมือนกัน

– สอง Paradox

พูดถึงจุดกำเนิดของ ‘โจ๊กเกอร์’ และ ‘ว้ากเกอร์’ กันหน่อย

ต้า: จุดกำเนิดของโจ๊กเกอร์นี่นึกว่าหนัง (หัวเราะ) คำว่าว้ากเกอร์เนี่ยหมายถึงเป็นพวกตะโกน ตะคอก บนเวทีให้มันโหด ๆ ครับ เราจะมีสองคนที่เป็นหลัก ถ้าเป็นวงดนตรีก็เหมือนว่าเขาเป็นคอรัสของวงเรา แต่แค่มาในโทนแบบพี่ว้าก ซึ่งพี่ว้ากเขาจะมีคาแรกเตอร์คนนึง อ้วน ๆ ท้วม ๆ หน่อย ชื่อคุณอ๊อฟ กับอีกคนที่ไม่ได้เสียงโหด แต่ว่ามีลูกเล่น มากระโดดโลดเต้น มาสร้างสีสัน แต่ถ้าเรียกคำเดียวกันมันจะสับสน

เขาก็จะเรียกกันเองในทีมงาน ผมก็ไม่รู้คำนี้มาจากไหนนะครับ แต่พอเขาเห็นอีกคนเต้นอย่างเดียวหรือทำท่าดูเปรี้ยว ๆ ก็ถูกเรียกว่าโจ๊กเกอร์ เหมือนตัวฮาหรืออะไรก็ว่าไป สีสัน (ยิ้ม)

สอง: มีอีกคนที่มาเป็นแดนเซอร์คือเขาก็จัดระบบกันเอง

ต้า: มันเป็นคำที่ค่อย ๆ มา แต่ว่าจุดเริ่มต้นจริง ๆ มีหกคนที่มาช่วยกันเสริมนะครับ ก็คืออัลบั้ม Summer นั่นแหละ ตอนนั้นคุณอ๊อฟกับคุณเก่งยังเป็นเพื่อนกันอยู่ จากนั้นก็มีเพลงสองเพลงที่เปลี่ยนชีวิตเขาทั้งสองคน เพลงแรกก็คือ น้องเปิ้ลน่ารัก เป็นเพลงที่มีความเป็นพี่ว้ากอยู่ จุดเริ่มต้นเพลงนี้มันมาจากพวกเราอยู่ในช่วงรับน้องพอดี แล้วเราก็ไม่มีอะไรทำ เลยไปร้องกันเล่น ๆ มันมีหลายน้องมากเลยตอนนั้น

แต่จุดประสงค์เราคือเพลงมันจะมีความปลดปล่อยอยู่ ตะโกนอ๊าก ๆ เหมือนคนโรคจิตอะไรแบบนี้ ก็นึกไปถึงอ๊อฟเพราะเขาเป็นพี่ว้าก เลยชวนมาลองอัดเสียงเพลงนี้ดู ส่วนอีกคนก็คือคุณเก่ง โจ๊กเกอร์ คนนี้เขาจะมาในเพลง รด.แดนซ์ ตอนนั้นผมนึกอะไรไม่ออกอยากจะทำเพลงเล่น ๆ เลยโทรไปถามคุณเก่ง เขาเป็นพวกเรียน รด. แล้วจำมุกต่าง ๆ ได้ เราเลยขอยืมมุกฝึก รด. ของเขามา

แล้ววันนั้นรู้สึกจะเป็น 7 สีคอนเสิร์ต เรามีกันอยู่ 5 คน ซึ่งคุณอ๊อฟไปในฐานะที่เป็นนักร้องว้ากเพลงน้องเปิ้ล ส่วนคุณเก่งยังไม่มีบทบาทเลยท้าไปเล่น ๆ ว่า ถ้าเล่นเพลง รด. จะกล้าขึ้นมาแต่งเป็นครูฝึกไหม (หัวเราะ) เอาแค่นั้นเอง กะเอาฮา ปรากฏว่าคุณเก่งกล้ารับคำท้าแล้วก็แต่งเป็นครูฝึกขึ้นมาเล่นจริง ๆ ยุคนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่มากในวงการ เพื่อนผมก็โทรมาบอกว่า ‘เฮ้ย นี่ออกรายการนี่ใช่ไหม? ไปดูเพลง รด. เห็นครูฝึกมาปุ๊บ มันรีบวิ่งไปซื้อเทปเราเลย ถูกใจมาก’ (หัวเราะ) ผมก็รู้สึกว่าสิ่งนี้เข้าท่าดี

ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มมีตัวละครอื่น ๆ เข้ามา

ต้า: วงเราสบาย ๆ กับการขึ้นมาเล่นด้วยกันนะครับ เราจะสนุกเวลามีเพื่อน บางคนก็เป็นคาแรกเตอร์เหนียม ๆ เรียบร้อย แต่เขาก็อ้อมแอ้มอยากจะขึ้นเวที เราก็จะบอกดึงมือให้ขึ้นมาด้วยเลย แล้วก็จะบอกว่า ‘เฮ้ย ไม่มีหน้ากาก’

สอง: เดี๋ยวซื้อให้

ต้า: เตรียมไว้ให้แล้ว (หัวเราะ) ไม่รู้เอาหน้ากากมาจากไหน พกกันมาทำไมก็ไม่รู้นะครับ พวกเราก็จับคลุมหัวแล้วดันขึ้นเวทีไปเลย มันก็เลยมีว้ากเกอร์มาเรื่อย ๆ มีแดนเซอร์เปลี่ยนไปเป็นยุคสมัย มีพ่นไฟได้ มีควงกระบอง แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคนครับ

ปกติตอนแต่งเพลงทุกคนในวงมีส่วนร่วมไหม

ต้า: ก็แล้วแต่กรณีเลยครับ เราจะแบ่งหน้าที่กัน อย่างคุณสองนี่บางทีเขาก็มีเพลงแต่งมาเองเลยหรือบางครั้งก็มีไอเดียนำเสนอกันเอง แล้วผมนำไปต่อยอดอะไรงี้ ถ้าเป็นคุณบิ๊กก็จะมีลูกเล่นกีตาร์โผล่ขึ้นมาเอง แล้วก็ไปต่อยอดของโจอี้

สอง: แต่ส่วนใหญ่ต้าจะเอาเดโม่มา เอาทำนอง เนื้อเพลง มาโยนให้ทุกคน ทุกคนก็จะช่วยกันเรียบเรียง แต่ว่าไม่ได้เครียดนะครับ สมมติต้ามาปุ๊บทุกคนก็ลุยเลย หรือใครคิดอะไรออกก็ลองโยนไปให้ต้าดู

อยากรู้เคล็ดลับที่ทำให้เพลงของ Paradox ไม่เคยหมดมุก

ต้า: แรงบันดาลใจส่วนใหญ่เริ่มมาจากการอยากจะดูปฏิกิริยาของคนที่รับฟังไปครับ คล้าย ๆ กับตอนที่คุณเก่งมาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตที่เป็นการถ่ายทอดสด มันก็จะมีอาการอยากทดลอง อยากแกล้งคนดู ซึ่งผมยังมีความรู้สึกนั้นมาโดยตลอด มันยังชอบดูว่าเวลาเล่นแบบนี้เป็นอย่างไร

การแต่งเพลงเหมือนกัน มันก็จะมีความทดลองว่าถ้าเพลงมีมุกแบบนี้ คนฟังจะฟีดแบ็กเรายังไง มันก็เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจ

– ต้า Paradox

สมมติเราเป็นคนขี้แกล้ง เราจะมีมุกให้แกล้งคนไปได้เรื่อย ๆ มันก็คล้าย ๆ กับดนตรี เราก็ชอบทดลอง ชอบจะเห็นปฏิกิริยา เคยมีเคสนึง ที่คนเขามาแซวมาถามว่า ทำไมพี่ชอบแนวเพลงแบบมึน ๆ เนื้อเพลงอ่านแล้วมันงง หรือว่าฟังไม่รู้เรื่อง เราเลยมีความรู้สึกว่า จริงเหรอเนี่ย! คนเขาฟังไม่รู้เรื่องเหรอ อยู่ดี ๆ ก็ปิ๊งเลย งั้นเรามาทำเพลงที่ยิ่งไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ ดูซิว่าจะเป็นยังไง (ยิ้ม)

เพลงไหนที่จงใจให้ไม่รู้เรื่อง

ต้า: มีเพลงนึงครับ เป็นเพลงทดลอง ซึ่งมันเป็นเพลงที่ดีมากเลย มันจุดกระแส มันคือเพลงที่ชื่อว่า หลุมศพปลาวาฬ คือเราได้ไอเดียว่าคนเวลาฟังเพลงชอบตีความ สัจธรรมคนเราเวลาฟังเรื่องต่าง ๆ สุดท้ายก็จะตีความเพื่อให้ตัวเองเข้าใจ หรือเพื่อให้สื่อสารกับคนอื่นได้ เราเลยทดลองจับคำมาร้อยกัน ทั้งที่จริง ๆ เนื้อเพลงนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยเหมือนภาพตัดแปะ

สอง: ความหมายไม่เกี่ยวกันเลย

ต้า: ประโยคต่าง ๆ ที่มันย้อนแย้งแล้วเอามาเรียง ๆ เราชงนิด ๆ หน่อย ๆ ให้มันดูเหมือนรู้เรื่อง เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ว่าจริง ๆ มันไม่เกี่ยวข้องกัน จากนั้นก็ทดลองปล่อยให้แฟนเพลงฟัง ปรากฏว่าเขาก็แบบ ‘โอ้โห สัจธรรมชีวิต’ (หัวเราะ) อาจจะประมาณ 80% เป็นเพลง อีก 20% เป็นเรื่องที่ตอนนั้นคนฟังกำลังคิดถึงอยู่ไง มันก็เหมือนงาน Abstract บางคนอกหักพอฟังแล้วก็คิดว่าพูดถึงความรัก บางคนบอกว่าพูดถึงการเมืองหรือเปล่า? ร้อยคนก็ร้อยเรื่องราว มันเป็นเรื่องสนุกมากในการทำอะไรแปลก ๆ มันเลยไม่เคยตันในการทำเพลง อีกทั้งเพลงมันจะประมวลผลกับตัวคนฟังเอง

อยากให้เล่าเรื่องพีค ๆ บนเวทีคอนเสิร์ตให้ฟังหน่อย มีงานไหนบ้างที่จำไม่ลืมเลย

ต้า: พีคส่วนใหญ่จะเป็นอาการชุลมุนบนเวทีจากคนดูมากกว่า เคยไปเล่นโรงเรียนแคมปัสทัวร์เนี่ยจะสนุกมาก เพราะว่าถ้าเป็นมัธยมมันก็จะมีโรงเรียนที่เด็กน่าจะซนมั้งครับ มาถึงก็นั่งดูนะ เราก็คิดว่า บิวด์ยากละ นั่งดูกันเรียบร้อยแบบนี้ แล้วมันก็จะเขินทั้งคนดูทั้งคนเล่นครับ

พื้นฐานทุกวงอะถ้าคนดูนิ่งเราก็จะเขิน ๆ แต่พอเล่นไปมันดันมีเด็กวัยรุ่นค่อย ๆ ลุกขึ้นเต้น แล้วพอลุกขึ้นเต้นบรรยากาศก็เหมือนจะเทไปข้างนึง อาจารย์เริ่มวิ่งเข้ามาห้ามให้นั่ง มันชุลมุนคล้าย ๆ ในหนังเลย สักพักเริ่มห้ามไม่อยู่ เหมือนหนังซอมบี้ เละตุ้มเป๊ะ! แล้วก็เริ่มปีนป่ายขึ้นมาบนเวที

สอง: งัดเก้าอี้โยน

ต้า: ขึ้นมากระโดดบนเวที ขึ้น ๆ ลง ๆ อาจารย์ก็เริ่มทนไม่ได้ เดี๋ยวเสียชื่อเสียงโรงเรียน

สอง: ถือไม้ไล่ตี (ยิ้ม)

ต้า: สุดท้าย หวดไม้เรียวขึ้นมาเลย! เด็กยืนกระโดดเหมือนเล่นเซิร์ฟอ่ะครับ อาจารย์ผู้หญิงเขาก็ทนไม่ไหว ระหว่างที่เราร้องเขาก็เริ่มไล่หวดทีละคน ผ่านหน้าผมไป แล้วก็จะมีบรรยากาศแบบนี้จนจบโชว์ แล้วก็เคยมีอยู่แมตช์นึง รู้สึกประทับใจ ไปเล่นที่หาดใหญ่วันปีใหม่ ปิดถนนกลางสี่แยกเลย มีพวกการ์ดที่เขาจะคอยดูความปลอดภัย เขาก็จะเป็นห่วง เพราะว่ามันชุลมุน กลายเป็นว่าผมเล่นอยู่ในดงที่แบบ…

สอง: แต่ละคนมีการ์ดยืนประกบสองคน ผมเดินไปไหนการ์ดก็เดินตาม

ต้า: จนบังกันเอง มีแต่การ์ดยืนหน้ากระดาน แล้วผมก็จะหายไป แล้วมันจะตลกมากคือ เพลง รด.เนี่ย มันเป็นเพลงแนวทหาร เหมือนเขามาเป็นพร็อพให้เลย เหมือนมีแดนเซอร์เพิ่มมาเพื่อเพลงนี้โดยเฉพาะ แล้วระหว่างเล่นก็จะมีความชุลมุน มีคนปีนรั้ว เหล็กที่เขากันไว้เป็นเหล็กแหลม ๆ งอ ๆ แล้วก็มีคนเอาหมาพุดเดิ้ลมาโยน! ตอนแรกนึกว่าใครโยนเซิร์ฟอะไร นึกว่าเป็นเด็กหัวหยิก ๆ พอกลับมาที่ห้องมันถ่ายทอดสดแบบย้อนหลังดูได้ เลยได้เห็นว่าที่ลอย ๆ หน้าเวทีเป็นหมาพุดเดิ้ล ทำหน้าตาเหรอหราเพราะถูกโยน

 เวลามีวงรุ่นใหม่ ๆ บอกว่าเขามี Paradox เป็นไอดอล รู้สึกอย่างไร

ต้า: เวลามีวงรุ่นใหม่บอกว่ามีวงเราเป็นไอดอลนะครับ ผมอ่ะลึก ๆ เลยแวบแรก ‘โม้’ (คุณสองหัวเราะ) จะไม่ค่อยเชื่อ เพราะเคยเปิดห้องซ้อมดนตรี ไม่ค่อยมีคนเล่นวงเรานะ เล่นไปก็ล่ม ๆ แต่ถ้าเป็นอย่างวงอื่นไรเงี้ย โอ้โห!

สอง: แกะเป๊ะ แกะทุกเม็ดเลย

ต้า: อย่างเพลงยาพิษนี่เป๊ะเลย (เลียนเสียงโซโล่กลองเพลงยาพิษ) แบบว่าสิบเม็ดในรัวนั้นอะ เป๊ะ! แต่พอเป็น Paradox ปุ๊บ จะเล่นผ่าน ๆ แล้วล่มกลางเพลง ผมเลยไม่ค่อยได้เชื่ออะไรมากแต่ก็เป็นความรู้สึกดีอยู่แล้ว ถ้ามีคนมาชอบมันจะไปออกทางเรื่องของสะสมหรือซีดีอะไรแบบนี้ครับ บางคนก็เล่นของสะสมราคาสูง เลยรู้สึกว่าอันนั้นอาจจะน่าเชื่อถือจริง ๆ เป็นคนที่ยอมรับในระยะยาว เคยคุยเล่นกับเพื่อนว่า ‘อีกสิบปีค่อยดัง’ อีกสิบปีคนค่อยรู้เรื่องอะไรแบบนี้ เออก็ขำดี

 

อยากออกไปเล่นคอนเสิร์ตที่แปลก ๆ กันบ้างไหม

ต้า: พี่สองนี่ชอบอยากจะไปต่างประเทศตลอดเวลา

สอง: แต่เพื่อนไม่ค่อยไปกัน (หัวเราะ) จริง ๆ ก็เคยไปแค่แบบ ญี่ปุ่น ออสเตรเลียครับ ในประเทศมันทัวร์เยอะอยู่แล้ว คือพอปีแรก ๆ รู้สึกว่าเออได้ทัวร์ละ เหมือนสมัยก่อนที่เราดูในหนังเลย วงร็อกจะทำเพลงเดโม่ส่งค่าย ออกเทปชุดแรกแล้วก็ทัวร์คอนเสิร์ตสนุกสนาน แต่พอสมมติถ้าเล่นทัวร์ทุกวัน ออกต่างจังหวัดทุกวัน ๆ 22 ปี มันก็จะเริ่มแบบ…สนุกดีตอนเล่น แต่ว่าเวลาเดินทางหรือไปเที่ยวเรารู้สึกเริ่มเหนื่อยละ ให้นึกภาพว่าต้องเดินทางไกลๆ ก็ไม่ค่อยละ เลยนิ่ง ๆ ไป แต่ว่าถ้าไปก็สนุกดี น่าจะเป็นประสบการณ์ ทัวร์ในนี้แหละ สนุกดี

ต้า: จริง ๆ ทัวร์ในประเทศไทยบรรยากาศมันเปลี่ยนไปตามสถานที่เลยครับ แล้วก็สิ่งนึงที่ผมว่าไม่เหมือนเมืองนอก คือร้านที่ประเทศไทยมันจะเป็นในเชิงไปสร้างบรรยากาศ มันจะไม่ได้เป็นทัวร์ หรือโชว์แบบต้องยกไปทั้งเซตที่คนมาดูคือมาดูโชว์จริง ๆ อยากมาดูเพลงแปลก ๆ มาดูศิลปิน

มันกึ่ง ๆ ไปทางสร้างบรรยากาศให้กับร้านหรือผับ มันก็จะสนุกไปอีกแบบ แต่บางครั้งเราไปเล่นเพลงแปลก ๆ หรือเพลงที่โชว์อะไรมาก ๆ ก็จะเขินเอง จะแกล้งคนดูก็เหมือนแกล้งตัวเอง มันจะขม ๆ หน่อย ออกนอกปริมณฑลนี่จะเริ่มขมละ ต้องเลือกเพลงที่ค่อนข้างสร้างบรรยากาศให้มันสนุกมากกว่ามาโชว์อะไรแผลง ๆ ถ้าเราไปเล่นเพลงยากบรรยากาศมันจะสะดุด เราก็เลยจะแยกส่วนที่เป็นเพลงอัลบั้มก็ให้ฟังในอัลบั้ม ส่วนโชว์นี่ก็จะยกเป็นอีกส่วนที่สนุก คึกคัก เน้นจังหวะ

ขอเคล็ดลับการ Refresh ตัวเองของแต่ละคนหน่อย

สอง: ก็เหมือนเดิมฮะ รู้สึกสนุกกับมันเหมือนวันแรก ตอนนั้นออกใต้ดินเราก็ไม่ได้เครียดว่าเราจะไปถึงไหนอะไรยังไง คือเหมือนมุกขำ ๆ ว่าเดี๋ยวจะดัง เดี๋ยวจะออกเทป ออกเทปมาห้าชุดแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่า เดี๋ยวทำเพลงใหม่กัน สนุกกัน ออกไปทัวร์กับเพื่อนกลุ่มเดิม ขึ้นรถตู้ก็นั่งที่เดิม แม้กระทั่งเมื่อวานซืนเพิ่งเล่นไปก็ยังรู้สึกแบบนี้อยู่ ไม่ต้องคิดว่าจะไปถึงไหน จะหยุดวันไหน แค่นี้ก็ Fresh แล้ว

โจอี้: มันอาจจะเป็นธรรมชาติของผมอยู่แล้ว เราเริ่มต้นมาด้วยความอยากเล่นสนุกตั้งแต่แรก ทุกวันนี้มันเลยยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เหมือนเป็นธรรมชาติของเราไปแล้ว

บิ๊ก: Refresh ตัวเอง นอนครับ นอนเยอะ ๆ แล้วก็ทำอะไรที่ไม่เคยทำบ่อย ๆ

ความไม่สมบูรณ์แบบหรือไม่ได้ประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์

มันจะมีช่องว่างให้เราได้รู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ มันก็เลยสนุก

– ต้า Paradox

ต้า: เช่นการดูปฏิกิริยาคนดู จังหวัดนี้ไม่เหมือนกัน ทำไมคนดูถึงไม่ค่อยรู้จักเพลงนี้ หรือว่าทำไมโปรโมตไปแล้วมันเงียบ ๆ เราเลยรู้สึกท้าทายอยู่ตลอดว่า ถ้าครั้งหน้าเอาเพลงแบบนี้มาแทรก คิวนั้นคิวนี้ เราจะหมั่นทดลองอยู่เสมอ มันก็เลยได้ Refresh ตัวเอง พยายามพัฒนาไปเรื่อย ๆ

อยากรู้เคล็ดลับการซื้อหวยให้ถูกของพี่สอง

สอง: (หัวเราะ) เอ่อ ไม่ยากฮะ ถือว่าบอกเป็นที่แรก ไม่เคยบอกเคล็ดลับที่ไหน ง่าย ๆ เลยก็เดินไปเรื่อย ๆ ครับ หน้าตลาด ปั๊มน้ำมัน เซเว่นไรเงี้ยเดินไปเหอะ มันจะมีแผงหวยขายอยู่ตามนี้ ตามหน้าโรงเรียน ตามป้ายรถเมล์ ลองเดินไป ถ้าเจ้าไหนกวักมือเรียก ‘หนู ๆ น้อง ๆ ช่วยซื้อหน่อย’ ค่อยเข้าไปเจ้านั้น ถ้าเขาไม่เรียกเราก็เดินผ่านไปเลย ถ้าเขาเรียกค่อยเดินเข้าไป แล้วให้เขาหยิบให้ หยิบอะไรก็ได้ แค่นั้นเอง เหมือนเขาเอาโชคมาให้

บิ๊ก: แล้วถ้าเขาเรียกทุกเจ้าเลยล่ะ

สอง: ก็ต้องซื้อทุกเจ้า! มันเป็นสูตร ถ้าเขาหยิบใบนึงเราก็ต้องซื้อ ถ้าเขาหยิบสิบห้าใบเราก็ต้องซื้อ

ต้า: ถ้าเขาหยิบให้เป็นปึก เราก็ต้องซื้ออย่างนั้นเลยเหรอครับ

สอง: ต้องซื้ออย่างนั้น หรือเขาจะหยิบเป็นเลขท้ายสองตัวงวดที่แล้วซ้ำก็ต้องซื้อ (หัวเราะ)

ต้า: แล้วถ้าเขาหยิบเลข 00 มาให้?

สอง: ก็ซื้อ ตามสูตร มีเจ็บน้อยเจ็บมาก รวยบ้างก็มีสลับกันไป แต่ว่าสูตรนี้ใช้ได้ดีฮะ

เคยนับไหมว่าถูกมากี่ครั้งแล้ว

สอง: จริง ๆ เฉลี่ยก็งวดเง้นงวด แต่บางทีสามเดือนไม่ถูกเลยก็มี พอถูกก็จะถูกติด ๆ กัน

ต้า: เคยติดกันมากที่สุดกี่งวดครับ

สอง: เจ็ดงวด สบายเลยตอนนั้น ซื้อนู่นซื้อนี่เลี้ยงเพื่อน ส่วนมากผมไม่ได้ถูกรางวัลใหญ่เยอะ เคยถูกรางวัลที่ห้าครั้งเดียว แต่นอกนั้นก็คือ สองตัว สามตัวหน้า มันจะมีจังหวะพีคที่ถูกสามตัวหน้าและสามตัวหลัง ถูกสองตัวพร้อมกัน! แล้วก็ซื้อเยอะด้วยเพราะตอนนั้นแม่ค้าหยิบให้เป็นปึก สนุกเลย แต่งวดที่แล้วไม่ค่อยสนุกเท่าไร (หัวเราะ)

อนาคตอยากจะอัดไอเดียใหม่ ๆ ใส่ผลงานอีกไหม

ต้า: มีอีกหลายอย่างมากที่เราอยากจะทดลองครับ เช่น มุกใหม่ ๆ หรือว่าสัดส่วนดนตรี สมมติว่าเราทำเพลงที่มันไม่ตรงจังหวะเลย แบบกำลังจะเข้าท่อนส่ง 1-2-3-4 เราอาจจะตัดจังหวะ หรือว่าตัดท่อนตัดคำอะไรพวกนี้ มันก็จะเป็นการทดลองที่ต่อเนื่องไป แต่ภาพรวมคืออยากจะเล่นอะไรกับรูปแบบของการทำเพลงที่มันพิสดารขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยแนวความคิด อันนี้ก็เป็นไอเดียที่น่าจะสนุกในอนาคตครับ

ต้า: ใช่ครับ อยากจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ทุกคนมางาน Chang Music Connection presents GENIE FEST 2020 : Rock Mountain ในครั้งนี้ ที่เรากำลังจะไปจัดกันที่ Jolly Land เขาค้อ เพชรบูรณ์ น่าสนใจมากเพราะเขาบอกว่าช่วงเวลานั้นอากาศจะเย็นแล้ว ผมว่าการไปดูคอนเสิร์ตในช่วงบรรยากาศหนาวมันดีไปหมดเลย ไม่ว่าจะไปเบียดกับคนก็ยังไม่รู้สึกอบอ้าว แถมยังได้ไออุ่น ไปกับคนรักก็สบาย เหมือนไปผจญภัย (หัวเราะ)

สอง: ใช้คำว่าผจญภัยเหรอ

ต้า: ไปผจญภัย ไปเรียนรู้

สอง: ไปเรียนรู้อะไรครับผม

ต้า: ก็เรียนรู้นิสัยกันอะไรงี้! มันเป็นช่วงเวลาที่ดี แล้วก็ไปกับกลุ่มเพื่อนมันสนุก เวลาไปแล้วอากาศเย็น ๆ เดินแบบกอดอก ผมว่ามันเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รำลึกถึงได้ตลอด นาน ๆ ทีจะมีกิจกรรมแบบนี้ของค่ายจีนี่ด้วย

สอง: ไม่ได้มีบ่อยๆ ยกไปทั้งค่ายแบบนี้

ยกไปทั้งค่ายแบบนี้จะมีเซอร์ไพรส์ไหม

ต้า: ถ้าเป็นวง Paradox ผมว่าช่วงนั้นน่าจะมีเพลงใหม่ครับ แล้วก็ยังมีอีกหลายเพลงที่เราไม่ค่อยได้เอามาเล่น คิดว่าอาจจะนำไปผสมผสาน ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะดูช่วงจังหวะเวลาที่จะเล่นด้วย

สอง: ตอนนี้มีแดนเซอร์สูงสุดน่าจะสิบคนแล้ว เคยขึ้นเวทีพร้อมกัน รวมนักดนตรีด้วยก็เป็นสิบสี่ เหมือนทีมฟุตบอล แต่ละงานก็จะพยายามสร้างสรรค์ มีชุดมีธีมที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ครับ

ต้า: ฝากงาน Rock Mountain ด้วยนะครับ วันที่ 9 กุมภาฯ ที่ Jolly Land เขาค้อ เพชรบูรณ์ มาเจอกับพวกเราแล้วก็อีกหลาย ๆ วง ในบรรยากาศหนาว ๆ รับประกันว่าจะเป็นความทรงจำที่ดีมาก ๆ

สอง: ทุกวงจัดเต็ม!

“Chang Music Connection presents GENIE FEST 2020 : Rock Mountain” ครั้งแรกบนพื้นที่อัฒจันทร์ธรรมชาติ ณ Jolly Land เขาค้อ จังหวัด เพชรบูรณ์ สร้างประสบการณ์ร็อกใหม่บนพื้นที่ธรรมชาติในฤดูหนาวที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสมาก่อน รวมสุดยอดศิลปินจากค่ายจีนี่ เรคคอร์ด มามอบประสบการณ์ยาว 10 ชั่วโมงเต็ม

บัตร Regular ราคา 2,000 บาท พิเศษ! เฉพาะผู้ที่ซื้อรอบ Pre-Sale วันที่ 5 มกราคม 2020 เหลือเพียง 1,700 บาทเท่านั้น จำหน่ายที่ ThaiTicketMajor ทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.genie-fest.com

 

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibuth

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line