Entertainment

GARAGE: SAFEPLANET วงที่พาตัวเองออกจากกล่องแล้วให้เสียงดนตรีนำทาง

By: SPLESS June 15, 2019
“Safeplanet” ความหมายของมันคือการเป็นที่ปลอดภัยของพวกเรา เราอยากมีที่ที่เป็นจุดยืนของเราได้ เป็นเหมือนกับแกลเลอรีเล็ก ๆ ที่จะวาดหรือระบายอะไรลงไปในนั้นก็ได้ โดยที่ไม่มีใครมามองว่ามันถูกหรือผิด”

ความหมายของชื่อวงดนตรีที่เกิดจากความหลงใหลเสียงเพลงของ เอเลี่ยน-ฐิติภัทร อรรถจินดา (ร้องนำ-กีตาร์)  ดอย- อภิวิชญ์ คำฟู (กลอง) และ ยี่-ชยปัญญ์ จันทรานุสนธิ์ (เบส) จนเกิดเป็นวงดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงกีตาร์ลีดและจังหวะเครื่องเคาะ รวมไปถึงเนื้อร้องและทำนองที่ทั้ง 3 คนกลั่นกรองออกมาเป็นเพลงที่พวกเขาเรียกกันว่า “แนวเซฟ”

นับตั้งแต่ “กล่องดำ” เพลงแรกที่ปล่อยออกมา จนมาถึง “ข้างกาย” ซิงเกิ้ลล่าสุด พวกเขาต้องลองผิดลองถูกกับอะไรมาบ้างกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้งสามยังคงยึดถือแนวทางและตัวตนในการเล่นดนตรีแบบ Safeplanet อยู่เสมอ มาทำความรู้จักกับศิลปินวงแรกของ UNLOCKMEN “GARAGE : Live Session” งานดนตรีสดสุดมันส์ แต่บรรยากาศอบอุ่นชิดใกล้เหมือนฟังเพลงที่หลังบ้านใครสักคน

 

เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Safeplanet ให้ฟังหน่อย

ดอย : จุดเริ่มต้นของเราเริ่มจากเมื่อก่อนผมกับเอเคยทำวงดนตรีด้วยกันมาก่อน ตอนนั้นใช้ชื่อว่า Shadow Snare ครับ ทำกันมาได้สักระยะมาถึงจุดหนึ่งที่ความคิดไม่ตรงกันวงก็เลยแตกไป ทำให้เหลือกันอยู่สองคน ตอนนั้นเราชอบสไตล์ดนตรีที่เหมือนกัน เอก็เลยชวนผมเริ่มทำวงใหม่

เอเลี่ยน : เริ่มจากที่ดอยเล่ามาครับ ผมกับดอยมาตั้งเป็น Safeplanet ส่วนยี่เป็นรุ่นน้องที่มหิดล เราทำกันแล้วก็ลองเรียกยี่มาแจมดู พอถามว่าชอบไหมถ้าจะเล่นกันแบบนี้ พอมีโอกาสซ้อมกันครั้งแรกยี่ก็บอกโอเค เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Safeplanet ครับ

จากจุดเริ่มต้นที่ซ้อมกันวันแรก ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหาส่วนผสมที่ลงตัวได้

เอเลี่ยน : คิดว่าเราใช้เวลาไปประมาณ 6-7 เดือนเลยครับ ตั้งแต่คิดว่าจะทำวงออกมาเป็นแบบไหน จะเริ่มตั้งต้นด้วยอะไรบ้าง รวมถึงคิดว่าในวงจะต้องมีส่วนประกอบอะไรสำคัญ

ตอนนั้นเราตั้งใจว่าจะทำเป็นกีตาร์แบรนด์ อาจเพราะตอนนั้นพวกเราเริ่มกันในยุคที่ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์กำลังถูกปล่อยออกมาเยอะด้วย ส่วนเราเองจะชอบดนตรีที่เป็นเนื้อเป็นหนังกว่า หมายถึงชอบการเล่นเครื่องดนตรีสด ส่วนตัวผมเองก็ถนัดเล่นกีตาร์ ถนัดโซโล่มากกว่าก็เลยตกลงทำกีต้าร์แบรนด์กันครับ

ปีนี้นับว่าเข้าสู่ปีที่เท่าไหร่ของวง แล้วช่วงที่ผ่านมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อะไรไปเสริมฝีมือบ้าง

ดอย : ปีนี้เป็นปีที่ 4 ของพวกเราแล้วครับ ที่ผ่านมาต้องใช้คำว่าค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ เพราะเพลงแรกของเรากว่าจะทำเสร็จใช้เวลานานหลายเดือนเลย เพลงแรกของเราคือเพลง “กล่องดำ” เราใช้เวลากับมันเยอะเหมือนกัน แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรจากมันเยอะมากครับ เริ่มจากการลองผิดลองถูกเพราะพวกเราไม่เคยเข้าห้องอัดเพื่อทำ Demo กันมาก่อน ก็เหมือนกับได้เริ่มอะไรในครั้งแรกกับเพลงนี้เลย

เอเลี่ยน : ตอนนั้นพวกเราไม่เคยรู้ขั้นตอนของการทำเพลงกันเลย ว่าเข้าห้องอัดจะต้องทำดนตรีกันกี่ไลน์ ต้องรับกี่ไลน์ ต้องใช้เวลามากแค่ไหน พอเข้ามาทำงานที่ห้องอัดจริงเราก็ได้เรียนรู้ขั้นตอนในการทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น จากที่เคยทำแค่ Demo มาก่อนหน้านั้น

กล่องดำเวอร์ชัน Demo แตกต่างจากตัวที่ปล่อยออกมามากแค่ไหน

ดอย : ไม่ต่างกันมากครับแต่ก็ไม่คล้ายกันซะทีเดียว  ตัว Demo มันมีความเป็นเวอร์ชันที่ดิบกว่าเยอะครับ แต่เรื่องของ Sound Quality ก็จะแน่นไม่สู้เวอร์ชันสมบูรณ์ ถ้าอยากลองฟังลองไปหาในยูทูปฟังกันได้ครับ เพราะว่าเวอร์ชันนั้นมีคนเอาไปอัปโหลดลงในยูทูป ตอนนั้นผมก็เขียนกลอง เอก็คิดกีตาร์ ดนตรีก็จะมีความคล้ายในแทร็กแต่เมโลดี้ร้องจะใช้เป็นกีตาร์ลีด ทำให้จากนั้นมาเวลาที่เราหาเมโลดี้ เอก็จะใช้กีตาร์ลีดเพื่อหาเอาตลอด ลองไปหาฟังกันได้แต่ก็จะดิบ ๆ รก ๆ หน่อยครับ

เพลงต่อมาที่ทำคือเพลงอะไร คราวนี้ใช้เวลากับมันมากน้อยแค่ไหน

เอเลี่ยน : เป็นเพลง โอยา แต่เพลงนี้เราจะใช้เวลากันไม่นานมาก เพราะว่าเราก็เตรียมทำ Demo กันมาตั้งแต่เริ่มอัดกล่องดำกันแล้ว เป็นเพลงที่สองที่เราตั้งใจปั้นขึ้นมาตั้งแต่ทำเพลงแรก แต่ก็ใช้เวลาคุยกันนานเหมือนกัน เพราะเรามองว่ามันจะเป็นเรื่องเป็นแนวเดียวกันกับเพลงก่อนหน้าไหม หรือมันจะฉีกกันเกินไปหรือเปล่าประมาณนี้ครับ

แนวดนตรีที่ขึ้นท่อนอินโทรแล้วคนก็สามารถจำได้เลยว่านี้คือเพลงของ Safeplanet  ดนตรีที่มีเอกลักษณ์แบบนี้ทางวงเรียกมันว่าอะไร

 ยี่ : จริง ๆ แล้วก็เรียกยากเหมือนกันครับ แต่อย่างที่บอกด้วยความที่เรามีพื้นฐานเป็นกีตาร์แบรนด์กัน จะสังเกตเห็นว่าเพลงของเรามีคอรัสเยอะมาก รวมไปถึงพวกเครื่องเคาะ แล้วก็โมเลดี้ก็มีใช้เพนทาโทนิค พูดมาอาจดูเป็นทฤษฎีเรื่องดนตรี แต่ผมว่ารวม ๆ แล้วมันคือสิ่งที่มารวมกันจนกลายเป็น Safeplanet ครับ

นิยามแนวดนตรีของ Safeplanet ให้คนที่ไม่เคยฟังเข้าใจหน่อย

เอเลี่ยน : อินดี้-ป็อปน่าจะเข้าใจได้ง่ายสุดมั้งครับ แต่เพลงอินดี้ของเราคือเราทำกันเองทุกขั้นตอน

ดอย : ผมว่าคนน่าจะเรียกกันว่า “แนวเซฟ” ก็คือมีเอกลักษณ์ขึ้นมาเป็นกีตาร์ลีดที่ขึ้นมาแล้วติดหูเลย แล้วเครื่องดนตรีอย่างเพอร์คัสชันที่เป็นเหมือนส่วนเสริมสำคัญ มีพวกเครื่องตีที่เราชอบ มีคองก้าบองโก้ มันเป็นส่วนผสมที่เราสามคนชอบแล้วก็เอามาปั้นรวมกันจนออกมาเป็นแนวทางของเราครับ

เอเลี่ยน : จริง ๆ แล้วมันอาจมีลีดนำที่คล้าย ๆ วงอื่นที่ทำอยู่แล้ว แต่ว่าเราก็พยายามหนีออกจากตรงนั้น อย่างวงดนตรีที่เราชอบหลาย ๆ วงก็เป็นวงที่มีกีตาร์ลีดเหมือนกันยกตัวอย่าง Two Door Cinema Club ก็จะมีอิทธิพลกับเราตอนเริ่มกัน  แต่เราพยายามหนีให้ห่างตรงนั้นให้มากที่สุด พอทำเพลงออกมาก็มานั่งฟังกัน แล้วเสนอความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ปรับแก้กันให้ไม่เหมือนใครจนกลายเป็นแนวเซฟครับ

กว่าจะออกมาเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ ผ่านขั้นตอนยังไงมากบ้างตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

เอเลี่ยน : ผ่านมาหลายขั้นตอนครับ ช่วงแรก ๆ ใช้เวลาปรับกันเยอะมาก ผมจะคิดคอร์ดขึ้นมาก่อน แล้วมาดูอารมณ์ในคอร์ดที่เราเรียงไว้ว่า มันควรจะนำเพลงไปในทางสดใสหรือหม่น ๆ  ส่วนลีดกีตาร์ ผมก็จะเริ่มจาก Improvise และร้องไปด้วย มีโน้ตไหนน่าสนใจเราก็ใส่เข้าไป

ดอย : ส่วนเรื่องเสียงและเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ก็ลองกันมาเยอะครับ ทั้งกีตาร์ทั้งคีย์บอร์ดและอีกหลายชิ้น ต้องใช้คำว่าเพราะว่าทั้งสามคนสบายใจกับการเล่นในซาวนด์ปัจจุบันมากที่สุด

เรามีขั้นตอนการแต่งทำนองและเนื้อร้องอย่างไร

เอเลี่ยน : เริ่มจากผมนั่งทำ Demo ที่บ้านก่อนครับ พอทำไปส่วนหนึ่งจนได้โครงสร้างขึ้นมา ก็จะเรียกดอยกับยี่เข้ามาคุยกันว่าชอบแบบนี้ไหม จะเริ่มจากคอมพิวเตอร์ของผมก่อนเลย ส่วนเรื่องของเนื้อเพลงผมก็แต่งขึ้นมาจากความรู้สึกของช่วงนั้นที่ทำเลยว่าช่วงนั้นรู้สึกยังไง ยกตัวอย่างเพลง ”กล่องดำ” ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงเราเพิ่งแตกไปทำให้ผมเซ็ง ๆ ประมาณนี้ครับ เราก็รู้สึกว่าเราอยากออกไปจากกล่องใบนี้

ตอนนั้นยังเรียนกันไม่จบ ก็เหมือนเราตัวอยู่ในหอกันแล้วรู้สึกว่า เออกูอยากให้ดนตรีมันพาเราให้ไปไกลกว่านี้ เบื่อที่จะต้องนั่งอยู่ที่เดิม ๆ อยากเดินทางกันบ้างหรืออย่างน้อยก็ปล่อยตัวเองไหลไปตามไทม์ไลน์ของความรู้สึก เริ่มจากเรื่องส่วนตัวก่อนแล้วก็พยายามปรับให้คนฟังสามารถเข้าถึงมันได้

Safeplanet มีจุดเริ่มต้นมาจากห้องที่อยู่กันวันนั้นเลยใช่ไหม

ดอย : มีส่วนครับ แต่จริง ๆ แล้ว Safeplanet สำหรับเรามันเป็นเหมือนที่ปลอดภัยของเรา เพราะตอนนั้นเราต้องการที่สักที่เป็นจุดยืนให้พวกเราเอง ที่จะเป็นเหมือนกับแกลเลอรีเล็ก ๆ ของเราที่สามารถวาดภาพหรือระบายอะไรลงไปได้ คงไม่มีใครคิดว่ามันถูกหรือผิดเพราะเป็นชื่อที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อสื่อความหมายนี้ครับ

ในช่วงที่มีวงดนตรีอินดี้เกิดขึ้นจำนวนมาก คิดว่าวงที่จะได้ไปข้างหน้าต่อได้ มีส่วนมาจากอะไรบ้าง

เอเลี่ยน : สำหรับผมถ้าพูดถึงเรื่องเพลง ผมมองว่าถ้าจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนฟังตัดสินมากกว่าครับ แต่คิดว่ามันก็ต้องเข้าถึงคนฟังและกลุ่มแฟนเพลงได้ด้วย อีกอย่างหนึ่งคือ Character ของวงก็ควรมีความแตกต่างกับวงรุ่นเดียวกัน ส่วนเรื่องของโอกาสคิดว่าตอนนี้มีเข้ามาเยอะกว่าเมื่อก่อน ผมคิดว่าแต่ละวงจะมีโอกาสเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถจัดการกับมันได้ดีกว่ากันครับ

แนะนำคนที่อยากจะทำดนตรีหรืออยากเป็นแบบ Safeplanet หน่อย

เอเลี่ยน : อย่างแรกคือต้องค้นคว้าเยอะ ๆ ครับ จริง ๆ แล้วถ้าตัวเองชอบเพลงแบบไหน ก็เอาตัวเองไปลองฟังเยอะ ๆ ครับ แล้วลองพยายามทำให้มันออกมาในแบบของตัวเองอะไรประมาณนี้ ต้องมีวินัยและขยันปล่อยเพลง ถึงเพลงแรกยังไม่ได้ ก็ต้องทำปล่อยออกมาเรื่อย ๆ เพราะพวกผมก็เหมือนกันที่ไม่ได้โดนตั้งแต่เพลงแรก

ดอย : สำหรับผมถ้าเกิดใครชอบอะไรกันก็อยากให้ตั้งใจลองดูครับ ผมว่าเราเกิดมาชีวิตเดียวก็ต้องเต็มที่ครับถ้าชอบอะไร มันมีความท้อความเสียใจเข้ามากันอยู่แล้ว แต่ถ้าสู้กับมันต่อไปเรื่อย ๆ สักวันเราจะได้รางวัลเองครับ

ยี่ : ใช่ครับอย่ารู้สึกท้อครับ มันอาจไม่ได้ดีไม่สำเร็จตั้งแต่เพลงแรก แต่เพลงต่อไปมันอาจสำเร็จได้ครับ

เป้าหมายต่อไปของ Safeplanet

เอเลี่ยน : เป้าหมายหลัก ๆ ของเราต่อไปคงเป็นการทำอัลบั้มที่ 2 ให้เสร็จครับ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะยึดไว้คือเราอยากทำตรงนี้ไปเรื่อย ๆ จนแก่ได้ อยากให้ดนตรีของเราไม่ขึ้นอยู่กับลุคของเราหรือกาลเวลา เราไม่ได้อยากให้คนมาชอบเราที่อย่างอื่น แต่อยากให้ชอบเราที่ดนตรีมากกว่า ไม่ว่าตอนไหนก็ฟังได้และรู้สึกอินกับมันเสมอ อีกอย่างหนึ่งคือไปต่างประเทศครับ เพราะเหมือนมีแฟนเพลงกลุ่มเล็กที่ญี่ปุ่น แต่ผมว่าเขายังไม่เข้าใจการเล่าเรื่องของเรา เลยอยากลองทำเพลงเวอร์ชันสากลด้วยครับ

สิ่งที่ Safeplanet อยากถ่ายทอดให้กับแฟนเพลงในตอนที่เล่นเพลงของตัวเอง

ยี่ : ถ้าเป็นในคอนเสิร์ต เราอยากให้เขาได้เก็บประสบการณ์อีกแบบที่ต่างออกไปครับ หมายความว่าคนดูอาจเคยฟังเพลงของเรามาจากที่บ้านแล้วจินตนาการ แต่การมาดูเราเล่นคอนเสิร์ตเราอยากให้คนได้อะไรที่ต่างออกไปที่ให้ความรู้สึก ให้กลิ่นที่แตกต่างจากการนั่งฟังอยู่ที่บ้านตัวเอง เป็นเหมือนประสบการณ์ที่แตกต่างจาก Safeplanet โดยตรง

 

การพูดคุยที่ผ่านมาคงทำให้หลายคนที่ไม่เคยมีโอกาสทำความรู้จักพวกเขาทั้ง 3 คน ได้เห็นถึงแง่มุมในการสร้างสรรค์บทเพลง จากทั้งการทำงานตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงเวลาที่ปล่อยเพลงออกมา  รวมถึงแนวความคิดที่ขัดเกลาดนตรีจนมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นี่จึงเป็นเหตุผลที่ UNLOCKMEN ตัดสินใจเลือก Safeplanet มาเป็นวงดนตรีวงแรกที่มาสร้างความทรงจำและประสบการณ์ทางดนตรีในงาน GARAGE : Live Session พื้นที่ทางดนตรีที่อยากชวนทุกคนมาฟังเพลงของวงที่ตัวเองรักในบรรยากาศสบาย ๆ

มาฟังความรู้สึกของพวกเขากันว่า เตรียมตัวกันมาอย่างไรและงานที่ผ่านพ้นไปจะสนุกและท้าทายสำหรับพวกเขามาก-น้อยแค่ไหน

เล่าถึงความรู้สึกตอนที่ UNLOCKMEN ติดต่อให้มาเล่นใน GARAGE : Live Session เตรียมตัวยังไงกันบ้าง

ดอย : ตอนแรกที่เราได้รับการติดต่อมาเราก็รู้สึกตื่นเต้นกันมาก ๆ ครับ เพราะก็ติดตามอ่าน UNLOCKMEN กันมาอยู่แล้ว ยิ่งได้ข่าวมาว่าเป็นโปรเจกต์ที่เพิ่งเริ่มด้วยเราก็มองว่ามันน่าสนุกมาก

เอเลี่ยน : ตอนแรกเราเข้าใจว่ามันเป็นงานที่เล่นในออฟฟิศปกติ เราเลยเตรียมความพร้อมแบบทั้ง Acoustic มาด้วยซ้ำ แต่พอมาเห็นเวทีจริงก็เข้าใจแล้วว่ามันยิ่งใหญ่จัดเต็มมากขนาดนี้  เราก็อยากขนอะไรมาจัดเต็มให้เหมือนกันครับ ที่จริงพอเล่นเสร็จแล้วเราคิดว่าเราอยากจะจัดให้สุดกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะงานอลังการมาก

GARAGE : Live Session ที่ผ่านมาทางวงจัดลิสต์พิเศษยังไงมาบ้าง

ดอย : เราก็ขนเพลงของเรามาทั้งหมด 7 เพลงด้วยกันครับตั้งใจจะเล่นเพลงใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นข้างกาย หรือกอดความเจ็บซ้ำ รวมถึงอีก 5 เพลงที่พวกเราชอบกันในอัลบั้มครับผม

พูดถึงความรู้สึกตอนมายืน Sound Check ในเวทีของ GARAGE ให้ฟังหน่อย

ดอย : สำหรับเรางานมันเจ๋งมากครับ ครั้งแรกที่เห็นแท่งไฟเต็มไปหมด ในหัวเราก็คิดว่าบรรยากาศเหมือนยานอวกาศ

เอเลี่ยน : ต้องบอกว่าเวทีสวยมากครบ บรรยากาศเหนือกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก น่าจะสวยกว่าหลายงานที่เราเคยเล่นกันมาครับ ประทับใจมาก ๆ

ยี่ : มันเหมือนการย่อคอนเสิร์ตใหญ่มาให้อยู่ในห้องที่มีขนาดพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ตอนที่ Sound Check กันผมก็กลัวเหยียบไปครับ ยิ่งสวยยิ่งกลัวเหยียบ จากตอนแรกที่ตั้งใจมาเล่นกันเสียงเบา ๆ ก็กลายเป็นว่าเล่นกันเต็มแรงไปเลย

บรรยากาศในงานที่มีแฟน ๆ มาชมอย่างใกล้ชิดแบบ ทำให้ Safeplanet รู้สึกยังไงบ้าง

เอเลี่ยน : สำหรับผมถือเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ครับ เพราะปกติเราจะไม่ค่อยได้เล่นงานที่ใกล้ชิดอบอุ่นแบบนี้ รู้สึกว่าเป็นอีกโหมดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสนุกครับ มีคนดูมาร้องเพลงแบบใกล้ชิดให้ความรู้สึกอบอุ่นครับ สนุกดีครับ

ยี่ : ผมรู้สึกไปในทางเดียวกันกับพี่เอเลยครับ ปกติเราจะไม่ค่อยหรือเรียกว่าไม่เคยเลยดีกว่าที่จะได้เล่นคอนเสิร์ตแบบใกล้ชิดกับแฟน ๆ มีกิจกรรมตอบคำถาม แจกของที่ระลึกทำให้รู้สึกอบอุ่นมาก ๆ พอจบก็มีถ่ายรูปรวมและ After Party ให้ต่อกันอีก สนุกมากครับ

ดอย : ตื่นเต้นและสนุกครับผม ตอนแรกรู้สึกกลัวด้วยซ้ำเพราะมันเหนือกว่าที่นึกภาพเอาไว้ แต่พอเห็นงานเห็นคนที่มาร่วมงานก็รู้สึกว่ามันเป็นอีเวนต์ที่มีความพิเศษ เหมือนเป็นงานที่ทำให้แฟนของวงจริง ๆ แถมโปรดักชันทุกอย่างเหมือนกับตอนเสิร์ตใหญ่ที่ลดขนาดไว้มาอยู่ในออฟฟิศ

ถ้าครั้งหน้ามีโอกาสรวมงานกันอีก Safeplanet มีอะไรมาฝากแฟน ๆ บ้างครับ

Safeplanet : ถ้ามีครั้งหน้าเราจะจัดเต็มให้ยิ่งกว่านี้แน่นอนครับ รวมถึงอาจมีของที่ระลึกที่มีแค่งานนี้โดยเฉพาะ ถ้ามีโอกาสร่วมงานกันอีกเราจัดหนักจัดเต็มร่วมกับ UNLOCKMEN อีกแน่นอนครับผม

การได้พูดคุยกับวงดนตรีคุณภาพ ที่มีทั้งความตั้งใจและฝีมือซึ่งในอนาคตเราเชื่อเหลือเกินว่า ด้วยประสบการณ์และสิ่งที่สั่งสมบนเส้นทางดนตรีตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา จะทำให้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์บทเพลงใหม่ ๆ ที่ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความสุข ความเศร้า รวมถึงมุมมองต่อชีวิตโดยบอกเล่าด้วยดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของ Safeplanet เองและไม่แน่ว่าในอนาคต หนึ่งในบทเพลงเหล่านั้นอาจกลายมาเป็นเพลงที่มาช่วย “เซฟ” ชีวิตพวกเราเอาไว้ก็ได้

 

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line