Entertainment

GREATEST HITS OF 2000s PLAYLIST รวมฮิตเพลงสุดฟินที่ได้ยินแล้วต้องลุกขึ้นโยกจากยุค 2000s

By: Chaipohn February 5, 2021

หลังจากมนุษยชาติต่างพากันโล่งใจที่วิกฤติ Y2K ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เมื่อตัวเลขดิจิตอลเปลี่ยนเลขสหัสวรรษ จาก 19 สู่ 20 โลกของดนตรีก็ขานรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เราไม่จำเป็นต้องพกคาสเซ็ทท์หรือซีดีเทอะทะ เพราะไฟล์เพลงเริ่มแปรรูปเป็น MP3

ส่วนแนวดนตรี Emo / Nu Metal และ Garage ที่ตั้งไข่ตั้งแต่ปลายยุค 90s ก็เริ่มกระหึ่มในยุค 2000s เสียงกริ่งโทรศัพท์มือถือเริ่มเป็นเสียงริงโทนจากจังหวะเพลงฮิตในยุคนั้น

Unlockmen ขอนำทุกท่านย้อนกลับไปฟังเพลงสุดฮิตในยุคนั้น ที่แค่ขึ้น Intro ก็ใส่กันยับแล้ว นับว่าเป็นเพลงชาติแห่งยุค 2000s ที่ได้ยินเมื่อไหร่ ก็นึกถึงช่วงเวลานั้นทันที

Papa Roach – Last Resort

เพลง Nu Metal ที่ผสมสัดส่วนของเพลงร็อคและเพลงแร๊พได้อย่างลงตัว เป็นเพลงเดบิวท์ที่ทำให้โลกรู้จักวงร็อคคณะป๊ะป๋าแมลงสาบอย่างเป็นทางการ แม้บทเพลงจะมันส์ชวนโยกอย่างรุนแรง แต่เนื้อหานั้นกลับพูดถึงเรื่องซีเรียสอย่างการฆ่าตัวตาย โดยเนื้อหาของเพลงนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูมเมทที่พยายามจะฆ่าตัวตาย เพื่อนๆจึงพาเขาไปบำบัดทางจิตเพื่อช่วยให้เขาเลิกคิดสั้น ซึ่งเนื้อเพลงอธิบายความทรมานผ่านท่อนฮุคที่ชวนโดดได้ว่า

‘Cause I’m losing my sight, losing my mind
Wish somebody would tell me I’m fine
Losing my sight, losing my mind
Wish somebody would tell me I’m fine

แม้บทเพลง “ที่พึ่งพิงสุดท้าย ก่อนตายอย่างสงบ” จะหวนไห้รำพึงรำพันถึงความตายอย่างหดหู่ แต่มันกลับเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ของพวกเขา โดยเพลงอยู่ในชาร์ต Billboard Alternative Track อันดับ 1 ยาวนานถึง 7 สัปดาห์ และยังข้ามฟ้าไปฮิตที่ UK Rock & Metal อันดับ 1 เช่นกัน

และบทเพลงนี้จะมีอายุอานามยาวนานกว่า 20 ปีแล้ว และชื่อเสียงของวงก็ไม่ได้โด่งดังเหมือนเช่นในอดีต แต่ก็นับได้ว่า Papa Roach ยังเป็นวงที่ไม่หวังพึ่งพาแค่บุญเก่าจากเพลงในอดีต พวกเขายังคงทำเพลงกันอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยเขาเพิ่งออกอัลบั้มชุดที่ 10 เมื่อปี 2019 นับเป็นวงขยันและไม่หยุดยั้งที่จะทำเพลงโดนๆให้สาวกได้กระโดดอยู่เสมอ


Nelly – Country Grammar

ซิงเกิ้ลเปิดตัวที่ทำให้โลกได้รู้จักหนุ่มอเมริกันแร็ปเปอร์ Cornell Haynes Jr. โดยบทเพลงชวนคึกนี้ได้ทำนองมาจากบทเพลงเล่นสนุกของเด็กน้อยที่เล่นสนุกบนรถไฟเหาะตีลังกา Down Down Baby แม้ท่วงทำนองจะกุ๊กกิ๊กน่ารัก แต่เนื้อหานั้นดุดันสะท้อนภาพของสลัมย่าน St. Louis เมือง Missouri แม้จะเป็นเพลงเปิดตัวแต่ก็ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงอย่างล้นหลาม โดยบทเพลงนี้ไต่อันดับ Billboard สูงสุดถึงอันดับที่ 7 และนำพาอัลบั้มชื่อเดียวกันกับซิงเกิ้ลนี้ สูงสุดถึงอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่ายสูงสุดถึง 10 ล้านแผ่น

ถึง Nelly จะเป็นแร็ปเปอร์สายป็อปที่ผลงานอาจจะไม่โดดเด่นมากนักหากเทียบกับศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง Eminem แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บทเพลงที่สารตั้งต้นมาจากการฮัมเล่นๆในห้องอัดโดยบังเอิญนี้ เป็น 1 ในบทเพลงแห่งยุคสมัย ที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็นึกถึงช่วงเวลาของยุค 2000s ได้เป็นอย่างดี


Nickelback – How You Remind Me

แม้ว่าวง Nickelback ในปัจจุบันมักจะถูกนักฟังเพลงแซวกันขำๆว่าเป็น Worse Rock Band of All-Time ด้วยเพราะเพลงของวง Canadian Rock วงนี้มักจะหวานและมีท่อนฮุคอันแสนจะป็อป แต่หากย้อนไปในช่วงที่พวกเขาเริ่มต้นจากเป็นวงร็อคที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักในช่วงปี 1996 พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะมีเพลงฮิตเป็นของตัวเอง กว่าจะสมความตั้งใจก็ปาเข้าไปอัลบั้มที่ 3 แล้ว และบทเพลงที่แจ้งเกิดคือบทเพลงนี้ How You Remind Me ที่เป็นซิงเกิ้ลอภิมหาฮิตที่นำพาให้อัลบั้ม Silver Side Up พาลฮิตตามไปด้วย

How You Remind Me เป็นเนื้อหาที่พูดถึงความชอกช้ำที่ต้องทนอยู่กับแฟนเก่าที่ทำร้ายจิตใจ เพลงตัดพ้อถึงคนรักเก่าเพลงนี้ฮิตในระดับมโหฬาร เป็นเพลงที่นอกจากอันดับ 1 แห่งปี 2001 แล้ว ยังเป็นบทเพลงที่ได้รับการเปิดมากที่สุดในรายการวิทยุอเมริกาประจำทศวรรษที่ 2000s อีกด้วย ส่งผลให้วงเปลี่ยนสถานะจากวงโนเนมให้กลายเป็นวงบิ๊กเนมในชั่วข้ามคืน แถมยังเป็นเพลงที่นำพาให้ Chad Kroeger นักร้องนำของวง พบรักกับ Avril Lavigne เนื่องจากเธอนำเพลงนี้ไปร้องเป็นเพลงซาวด์แทรคประกอบอนิเมชั่น One Piece Film: Z ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพียง 2 ปีก็ตาม แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเขาและเธอ

ซึ่ง Nickelback จะโดนแซะว่าเป็นวงห่วยตลอดกาลอย่างไรก็ตาม แต่สถิติอันแสนภาคภูมิใจแห่งยุคสมัย และบทเพลงสุดฮิตเพลงนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาคือวงที่คนยุค 2000s รักมากๆวงหนึ่งแห่งทศวรรษ


Shaggy – Angel ft. Rayvon

Shaggy เป็นศิลปิน Reggae R&B ที่ทำเพลงตั้งแต่ยุค 90s แต่ศิลปินที่อิมพอร์ตจากจาไมก้านี้ไม่เคยได้สัมผัสรสชาติของบทเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 เลย แต่เขาก็ไม่ท้อ ทำเพลงต่อไปเรื่อยๆจนสามารถนำพาเพลงขึ้นอันดับ 1 ชาร์ท Billboard ได้สำเร็จเมื่อเปลี่ยนผ่านทศวรรษ โดยเพลงๆนี้เป็นการตอกย้ำความสำเร็จหลังจากที่เพลงก่อนหน้าอย่าง “It Wasn’t Me” ได้ขึ้นอันดับ 1 ไปแล้ว “Angel” ซิงเกิ้ลต่อมาก็ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน แถมยังข้ามน้ำข้ามทะเลไปดังไกลอันดับ 1 ในหลายๆประเทศทั่วโลก อีกด้วย

โดย Angel ในที่นี้ เปรียบคนรักเหมือนเทพธิดา มันเป็นบทเพลงบูชาคนรัก ที่เปรียบประดุจนางฟ้านางสวรรค์ โดย Shaggy ได้สรรเสริญถึงเพศหญิงอย่างน่าสนใจว่า “โปรดจงรับรู้ไว้ ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลว หากหญิงสาวผู้นั้นพร้อมตะกองกอดยามคุณท้อ ร่วมยินดีในความสำเร็จ หรืออยู่ในทุกห้วงชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้าย เธอผู้นั้นคือเทพธิดาที่คุณไม่ควรจะเลิกรากับเธอ” เพลงรักเชิดชูหญิงแบบนี้แหละ ถึงกลายเป็นเพลงฮิตที่ยืนยงยาวนานมากว่า 2 ทศวรรษ


Linkin Park – In the End

หากกล่าวถึงยุค 2000s แล้วไม่พูดถึงวงนี้ก็คงไม่ได้ สำหรับหัวหอกหลักที่นำพา Nu Metal สู่กระแสหลัก เป็นวงยิ่งใหญ่ที่ทำให้ยุคสมัยนั้นเป็นยุคที่เด็กอีโมไม่มีวันลืมเลือนลงได้ สำหรับ Linkin Park ที่ซิงเกิ้ลที่ 4 จากอัลบั้ม Hybrid Theory สร้างกระแสกระหึ่มโลก เบียดบังดนตรีแนวอื่นๆจนตกกระแสไปหมด

จากวงดนตรีที่รวมตัวกันในหมู่เพื่อนไฮสคูล ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งร็อคอันดุดัน แร๊พที่เร่าร้อน และดนตรีอิเล็คทรอนิคอันหนักหน่วง ที่ให้วง Hybrid Theory ที่เปลี่ยนชื่อภายหลังว่า Linkin Park โด่งดังมากในหมู่วัยรุ่นที่โหยหาบทเพลงที่เปรียบเสมือนซาวด์แทร๊คประกอบชีวิตอันเหลวแหลกของพวกเขา การร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันพุ่งพลานของ Chester Bennington ไปกันด้วยดีกับแร็พที่เต็มเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของ Mike Shinoda พวกเขาสร้างปรากฏการณ์ยอดขายทะลุทะลวงในทุกๆพื้นที่ และแม้พวกเขาจะแจ้งเกิดในยุคที่การโหลด MP3 ในอินเตอร์เน็ทเป็นที่แพร่หลาย แต่แฟนๆต่างก็พากันสนับสนุนอย่างล้นหลาม

และบทเพลง In the End นี้ ก็เพิ่งทำการเฉลิมฉลองยอดวิวที่มีคนดูมากกว่า 1 พันล้านครั้งเมื่อเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่า Linkin Park ได้สิ้นสุดการทำงานจนเหลือเพียงตำนานไปพร้อมกับการลาโลกของ Chester Bennington จากภาวะซึมเศร้า แต่เพลง In the End ก็เป็นบทเพลงอมตะไม่มีวันสิ้นสุดเหมือนชื่อเพลง และมันจะยืนยงบนโลกใบนี้ไปตลอดกาล


Jay-Z – I Just Wanna Love U (Give It 2 Me)

ในฐานะเจ้าพ่อแห่งวงการฮิปฮอปที่มีผลงานมานับตั้งแต่ยุค 90s Jay-Z สร้างงานยอดเยี่ยมที่ถูกกล่าวขวัญถึงมามากมาย แต่ซิงเกิ้ลที่คว้าทั้งชื่อเสียงขจรขจาย และสร้างชื่อให้ Jay-Z ดังข้ามทศวรรษก็คือซิงเกิ้ลนี้

บทเพลงสนุกที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็พร้อมโยกได้ไม่มีเบื่อนี้ นอกจากจะมีเหล่าแร็ปเปอร์มากมายเกี่ยวข้องกับเพลงนี้แล้ว (1 ในนั้นคือ Pharrell Williams มาร่วมร้องคอรัส) บทเพลงนี้ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินมากมาย นับตั้งแต่ Britney Spears ที่ได้ยินเพลงนี้ปุ๊บก็เชิญชวน The Neptunes จนเกิดเป็นเพลง “I’m a Slave 4 U” ที่ดังไม่แพ้กัน นอกจากนั้น Janet Jackson, Beyoncé ไปจนถึง Coldplay ยังนำเพลงนี้ไปเปิดเป็น Sampling พักครึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกของพวกเขาอีกด้วย จนนิตยสาร Complex ยกเพลงนี้ให้เป็นอันดับ 1 เพลงยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ

คุณูปการมากมายที่ Jay-Z ได้ทำไว้กับวงการฮิปฮอปและวงการดนตรีทั้งนวตกรรม, แฟชั่น และแรงบันดาลใจ สามารถกล่าวได้ว่า Jay-Z คือผู้รันวงการตัวจริงแห่งทศวรรษที่ 2000s


Limp Bizkit – Rollin’

Limp Bizkit คือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดันให้ Nu Metal กลายเป็นซีนดนตรีที่ยิ่งใหญ่ในยุค 2000 ด้วยภาพลักษณ์ขบถสุดยียวนกวนบาทา แต่ดนตรีหนักแน่นและสุดมันส์ แม้ว่า Rollin’ จะไม่ใช่เพลงแรกที่ทำให้โลกรู้จัก Fred Durst และ Limp Bizkit เพราะก่อนหน้านี้ My Generation ก็เป็นเพลงยอดเยี่ยมที่เป็นเสมือนกุญแจที่ไขให้ชาวร็อครู้จักดนตรีแนวนี้เช่นกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Rollin’ เป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบเพราะไม่ว่าคุณจะฟังในเวอร์ชั้นร็อคสุดติ่ง หรือแร๊พสุดแรงในเวอร์ชั่นประกอบหนังที่เป็นปฐมบทของแฟรนไชส์ The Fast and The Furious คุณก็สามารถลุกขึ้นมาโดดได้อย่างไม่ขัดเขินใดๆ

“ตอนแรกเพื่อนในวงก็โหวตกันว่าเพลงนี้ควรจะไปในทิศทางไหน แต่สุดท้ายเราก็ใช้ทั้ง 2 เวอร์ชั่นแม่งเลย” Wes Borland กล่าวถึงที่มาของบทเพลงไฮบริดเพลงนี้ ซึ่ง Rollin’ ก็เป็น 1 ในเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้อัลบั้มชื่อยาวอย่าง Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water กลายเป็นสุดยอดอัลบั้มแห่งยุค

ถึงกาลเวลาจะพ้นผ่าน แถม Limp Bizkit และ Fred Durst จะกลายเป็นลุงผู้พยายามจะหวนคืนสู่วงการแต่ก็พินาศย่อยยับซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ขนาด Fred Durst หนีไปกำกับหนังยังมิวายโดนสาปส่ง) เราก็หวังว่าสักวันวงๆนี้จะกลับมาสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับวงการอีกสักที


*NSYNC – Bye Bye Bye

อย่าเพิ่งเมินหน้าหนีเมื่อเราเสนอบทเพลงบอยแบนด์ เพราะ Bye Bye Bye นั้นยิ่งใหญ่กว่าคำว่า “บทเพลงบับเบิลกัมที่พุ่งเป้าขายแต่ผู้หญิงเพียงอย่างเดียว”

ประการแรก เพราะ *NSYNC ทำให้ตลาดบอยแบนด์ที่คิดว่าซบเซากลับมาบูมอีกครั้ง พวกเขาถูกวางให้เป็นมุมน้ำเงินที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญของ Backstreet Boys ที่ครองตลาดแต่เพียงวงเดียวมานานหลายปี อัลบั้มชุดที่ 2 No Strings Attached ทำยอดขายได้ถึง 2.4 ล้านชุดเพียงสัปดาห์แรกสัปดาห์เดียว พวกเขาทำให้วงการดนตรีพ็อพกลับมากระหึ่มชาร์ตดนตรีอีกครั้ง

ประการสอง เพราะ Bye Bye Bye ไม่ใช่เพลงอ้อนสาว แต่มันเป็นเพลงตัดพ้อตัดสัมพันธ์ต่อหญิงสาวที่น่ารำคาญด้วยการโบกมือลา “เพราะเราไม่อยากเป็นคนโง่สำหรับเธอ” มันเป็นเพลงแทนใจของผู้ชายทั่วทั้งโลกที่ต้องทนอยู่กับผู้หญิงที่หมดรัก เพลงเฉลิมฉลองแห่งการลาจากนี้จึงเป็นบทเพลงที่สร้างกระแสและเปลี่ยนมิติใหม่ของเพลงบอยแบนด์ให้มีเลือดเนื้อและไม่ใช่แค่ผู้ชายมาเต้นๆอ้อนสาวเพียงอย่างเดียว

ประการสุดท้าย คือการก่อกำเนิดของ Justin Timberlake ที่แจ้งเกิดจากการรวมแก๊งกับศิลปินกลุ่มนี้ และแยกตัวเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์คนสำคัญในกาลต่อมา จึงนับได้ได้ว่า *NSYNC คือเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ช่วยผลักดันวงการดนตรีพ็อพให้รุดหน้าจวบจนปัจจุบัน


Baha Men – Who Let the Dogs Out

ในช่วงยุค 2000s นอกจากจะมีเพลงร็อคหนักๆ แร็พมันส์ๆแล้ว ยังมีเพลงมีมฮาๆที่ปัจจุบันมักจะเปิดประกอบคลิปน้องหมาจนกลายเป็น 1 ในปรากฏการณ์แห่งยุคสมัยที่ริงโทนมือถือทุกคนในยุคนั้นต้องมี

Who Let the Dogs Out คือเพลงสุดฟลุ๊คของกลุ่มคณะดนตรี Roots Reggae ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1977 และดังในวงจำกัดแคบๆเท่านั้น จนเมื่อวงได้ยินเพลงที่ชื่อว่า Doggie เป็นเพลงที่น่ารักน่าชังดี จึงขอมาคัฟเวอร์ โดยเฉพาะท่อนฮุค “Who Let the Dogs Out และตามด้วยเสียงเห่า” ซึ่งมันกลายเป็นบทเพลงที่ทุกผับบาร์ต่างพากันเปิดเพลงนี้กันราวกับเป็นเพลงชาติ (แน่นอนว่าคนที่ฟลอร์ต่างพากันทำเสียงเห่ารับกันแบบไม่ห่วงหล่อห่วงสวยกันเลย)

แต่ถึงจะเป็นเพลงจังหวะสนุก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้นฉบับของเพลงเปรียบหมาเป็นเหมือนผู้ชายที่ชอบหนีภรรยาไปปาร์ตี้ ไม่ต่างกับหมาที่ชอบออกไปเพ่นพ่านข้างนอก แต่เมื่อ Baha Men และเปลี่ยนท่อนฮุคให้กลายเป็นดนตรีสนุก คนฟังเพลงก็ไม่ได้สนใจเนื้อหาสำคัญของเพลงเลย (ท่อนอื่นมันร้องยังไงก็ยังไม่รู้เลย)

แม้จะเป็นเพลงเดียวที่ฮิตจนกลายเป็น One Hit Wonder ของทศวรรษ และมีการฟ้องร้องทวงสิทธิ์ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของที่แท้จริงระหว่างต้นฉบับกับวงที่มาคัฟเวอร์จนดัง แต่ปฏิเสธอไม่ได้เลยว่า Who Let the Dogs Out คือเพลงที่มีมนตร์สะกดที่คุณจะลุกขึ้นเต้นได้ทันทีแค่อินโทรเสียงเห่า


Vertical Horizon – Everything You Want

แม้การล่มสลายของดนตรีกรันจ์ ได้จากไปพร้อมการดับลมหายใจของ Kurt Cobain แต่ก็มีวงหลายวงที่พยายามจะชุบชีวิตเพลงแนวนี้ให้กลับมา และ Vertical Horizon ก็เป็นหนึ่งในวง Post-Grunge ที่พยายามอย่างยิ่งที่จะให้บทเพลงร็อคสุดดิบนี้กลับคืนสู่วงการ แม้สุดท้ายพวกเขาจะกลายเป็นที่รู้จักจากเพลงรักก็ตาม

Everything You Want คือบทเพลงรักสามเส้าของชายหนุ่มที่เห็นใจสาวที่แอบรักกำลังถูกแฟนทิ้ง แม้หญิงสาวจะช้ำรักสักเพียงไหน แต่เขาก็ไม่เคยได้รับความรักนั้นจากหญิงสาวเลย แม้จะเป็นเพลงรักช้ำๆหวานชวนให้เศร้า แต่บทเพลงก็ชวนโดดและเป็นเพลงที่ทำให้ Vertical Horizon กลายร่างเป็นวงร็อคมหาชนเพียงชั่วข้ามคืน

แต่ก็น่าเสียดายไม่ใช่น้อย ที่ชั่วข้ามคืนวงที่เป็นเสมือนความหวังของสาวกเพลงกรันจ์ก็ไม่ดับแสงลงไปดื้อๆ แม้จะพยายามเข็นอัลบั้มหรือบทเพลงแต่ก็ไม่ได้ดังเท่า Everything You Want เลย แต่ก็นับได้ว่า พวกเขายังเป็นวงที่ใจสู้้และรอคอยที่จะทำลายอาถรรพ์ของ One Hit Wonder ให้จงได้สักวัน


Eminem – The Real Slim Shady

หากเทียบกับศิลปินต่างๆที่กล่าวมา Eminem ถือได้ว่ายังรักษาสถานะของศิลปินที่ยังมีผลงานสม่ำเสมอและได้รับการตอบรับจากแฟนๆทุกๆอัลบั้ม แต่หากถามว่าบทเพลงไหนที่ทำให้โลกได้รู้จักแร็ปเปอร์ผิวขาวสุดกวนคนนี้ ทุกๆเสียงก็ต้องยืนว่าเป็นบทเพลงๆนี้อย่างแน่นอน

จากความกดดันเมื่อเพลง My Name Is ดังเป็นพลุเมื่อปีก่อนแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ Marshall Mathers หรือว่า Eminem เครียดว่าเขาจะไปต่อยังไง กระทั่งถึงเส้นตายที่ซิงเกิ้ลนี้ต้องปล่อยแล้วเพราะอัลบั้มชุดแรกของเขา The Marshall Mathers LP นั้นสำเร็จเสร็จสิ้นเตรียมจะวางแผงแล้ว แต่เพลงที่จะฮิตในมือเหมือนเพลง My Name Is กลับไม่มีเลย สุดท้าย Eminem ก็เพิ่มเพลงในวินาทีสุดท้ายด้วยการเล่าเรื่องของนาย Slim Shady ตัวละครสมมติ ที่มีเนื้อหาแซะศิลปินในยุคนั้นด้วยถ้อยทำที่เผ็ดร้อน  Pamela Anderson, Will Smith, Britney Spears, Christina Aguilera กระทั่งศิลปินที่อยู่ในลิสต์นี้อย่าง Fred Durst และ *NSYNC ก็ไม่รอดจากคมปากแร็ปพ่นไฟของเขา และวลีี่ติดหูอย่าง “Please Stand Up…Please Stand Up” ก็ทำให้เพลงอภิมหาแห่งความกวนนี้โด่งดังได้อย่างเหลือเชื่อ

แม้ช่วงหลังๆ Eminem จะเปลี่ยนเป็นโหมดซีเรียส และโชว์ต่างๆจะมีเพลงเหล่านี้น้อยลงจนบางโชว์แทบไม่ได้ร้องแต่แน่นอนเมื่อไหร่ที่เขาร้องท่อนนี้ “Please Stand Up…Please Stand Up” ใครไม่ลุกก็บ้าแล้ว


Outkast – Ms. Jackson

ปิดท้ายที่คู่หูฮิปฮอปที่มีอิทธิพลอีกกลุ่มหนึ่งในยุค 2000s Outkast ที่ทำเพลงมาตั้งแต่ยุค 90s ถึงแม้พวกเขาจะเป็นวงรุ่นใหญ่และมีเพลงขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทเพลงแร็ปมาแล้ว แต่ในวงกว้าง พวกเขายังเป็นวงโนเนมที่ยังไม่ได้รับโอกาสนั้นเสียที

จนกระทั่งบทเพลงนี้ บทเพลงที่เขียนถึงแม่ยาย ที่ Andre 3000 หนึ่งในสมาชิก บรรจงเขียนถึงหลังจากที่เขาจบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแฟนสาว Erykah Badu แบบไม่ได้ดีนัก Erykah หอบลูกหนีไปจากชีวิตของเขา Andre 3000 จึงทำการเขียนเพลงเพื่อต้องการขอโทษกับทุกๆเรื่องที่ผ่านมา

แม้จะเป็นบทเพลงจังหวะสนุกบนความเจ็บปวดองเนื้อหา แต่อดีตภรรยา อย่าง Erykah ได้ฟังบทเพลงนี้ต่างก็รู้สึกจุก “มันเจ็บปวดมาก แม้มันจะไม่สามารถย้อนคืนความรู้สึกให้เป็นดังเดิมได้ แต่ฉันก็เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม” ส่วนผู้เป็นแม่ยาย Kolleen Maria Gipson เธอได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก แม้จะไม่ใช่ชื่อของเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะเห่อเพลงนี้ถึงขั้นเปลี่ยนทะเบียนรถเป็นชื่อ Ms. Jackson ตามในเพลงเลย

 

เป็นอย่างไรบ้าง สำหรับ 12 บทเพลงแห่งช่วงปี 2000 ที่ Unlockmen ให้คุณได้รื้อฟื้นความหลังอีกครั้ง หรือคนรุ่นใหม่ที่อยากจะศึกษาว่าเมื่อ 20 ปีก่อน เพลงไหนฮิตบ้าง ก็ลองมาฟังกันได้ อย่าเผลอลุกขึ้นเต้นด้วยความมันส์กลางที่สาธารณะล่ะ

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line