Entertainment

เมื่อการเมืองฮ่องกงร้อนระอุ เหล่าศิลปิน HIP-HOP ท้องถิ่น จึงออกมาแสดงจุดยืนผ่านเสียงเพลง

By: Synthkid November 29, 2019

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ติดตามข่าวสารรอบโลกในช่วงนี้ เชื่อว่า ‘การประท้วงในฮ่องกง’ คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่คุณกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด (คุณสามารถอ่านข้อมูลเรื่องนี้เต็ม ๆ ได้ที่นี่ คลิก ) ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการเพลง ที่ใดมีการประท้วงที่นั่นย่อมมีบทเพลงปลุกใจ เหล่าศิลปินผู้มีจุดยืนมักจะนำเรื่องราว ความคิด หรือทัศนคติของตัวเองที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ๆ มาถ่ายทอดผ่านผลงานของตัวเอง และเมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่าน การแสดงจุดยืนของพวกเขาในวันนั้น ล้วนเป็นมรดกที่ส่งต่ออิทธิพลทางความคิดบางอย่างสู่คนรุ่นหลังต่อไป

‘เพลงฮิปฮอป’ เรียกได้ว่าเป็นศิลปะและวัฒนธรรมแขนงหนึ่งที่อยู่คู่กับการประท้วงบนโลกนี้มาโดยตลอด เฉกเช่นที่บ้านเราเคยมีเพลง ‘ประเทศกูมี’ อันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งบางเมื่อปีก่อน ชาวฮ่องกงก็มีศิลปินฮิปฮอปหลากหลายกลุ่มที่กำลังขับเคลื่อนสังคมในบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองเช่นกัน

ถึงแม้ศิลปินเมนสตรีมในฮ่องกงหลายคนจะแสดงตัวว่าอยู่ฝั่งเดียวกับรัฐบาล บ้างก็ไม่แม้แต่จะปริปากพูดเรื่องนี้ แต่ศิลปินนอกกระแสหลายคนก็กำลังเดินหน้าในการยืนหยัดจุดยืนของตน พวกเขามีความกล้าลุกขึ้นสร้างสรรค์บทเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประท้วงในครั้งนี้เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้คนในสังคม เพลงของพวกเขาถูกเผยแพร่จากใต้ดินขึ้นสู่บนดิน กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว โดยที่ไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานใดให้ความสนับสนุน


Credit: Joseph Chan

หนึ่งในเพลงที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้คือเพลงที่ชื่อว่า FUCKTHEPOPO ของศิลปินที่ชื่อ JB (屌狗) ซึ่งคำว่า POPO ในที่นี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนแต่คือ Police หรือตำรวจนั่นเอง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย ฮิปฮอปกับตำรวจก็ดูจะเป็นสองสิ่งที่ไม่เคยลงรอยกัน โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา และปัจจุบันยอดวิวใน Youtube พุ่งสูงถึง 1.8 ล้านกว่าวิวเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนทางวง LMF กลุ่มแรปเปอร์เชื้อสาย Cantonese (จีนกวางตุ้ง) ที่อยู่ในวงการเพลงมายาวนานกว่า 20 ปี ก็เพิ่งปล่อยเพลงที่ชื่อว่า 2019 ออกมาเมื่อเดือนก่อนและกำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยเนื้อเพลง 2019 นี้ได้นำเอาสถานการณ์ฮ่องกงปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับนิยายแนวดิสโทเปียเรื่อง 1984 ไว้อย่างชาญฉลาด

ศิลปินทั้งสองกลุ่มนี้มีฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่น แถมยังไม่ได้ใช้เงินในการโปรโมตตัวเองสักแดงเดียว ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าแข็งแกร่งและเทพโคตร ๆ แต่อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีขนาดนั้น เพราะเขาทั้งคู่ต่างสูญเสียสปอนเซอร์หลักไปหมดแล้วทั้งคู่

ก่อนหน้านี้ LMF เตรียมจัดงานฉลองครบรอบ 20 ปีอัลบั้มของพวกเขา แต่เมื่อเกิดการประท้วง บรรดาสปอนเซอร์หลายรายก็ถอนตัวออกไปฉับพลัน แม้กระทั่งเหล่าแบรนด์สัญชาติอเมริกันก็ห่วงภาพลักษณ์ที่มีต่อตลาดการค้าในจีน พวกเขาจึงถูกปล่อยเคว้งลอยคอท่ามกลางสมรภูมิการเมือง แถมยังถูกแบนไม่ให้เปิดการแสดงในแผ่นดินใหญ่ แต่ที่หนักที่สุดก็คือชื่อกลุ่ม LMF ของพวกเขาถูกลบ ไม่ให้แสดงผลใด ๆ ในช่องค้นหาของอินเทอร์เน็ตจีน!

“มันเกิดขึ้นตั้งแต่เราปล่อยเพลงใหม่ออกไป เพราะเพลงพวกเราถูกผู้ประท้วงหลายคนนำไปใช้ประกอบวิดีโอ เราเสียแฟนเพลงและเพื่อนชาวจีนไปเยอะมาก ไม่มีเพื่อนจีนคนไหนคบหากับผมอีกต่อไป แถมตำรวจก็มาเคาะประตูบ้านผมเพื่อสอบปากคำอีกต่างหาก”

-MC YAN สมาชิกกลุ่ม LMF

credit: scmp.com

กลุ่ม LMF ได้รับข้อความข่มขู่ทุกรูปแบบบนโซเชียล รวมถึงไม่สามารถใช้ WeChat และ Weibo ที่เป็นของจีนได้ แม้พวกเขาจะถูกคุกคามอย่างหนัก ตำรวจกลับเพิกเฉยและไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ปล่อยให้เรื่องราวที่เลวร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไป

ใช่ว่าจะมีแต่ศิลปินชายที่ลุกขึ้นมาทำอะไรกล้าหาญ แรปเปอร์สาวนาม Luna Is A Bep ก็เป็นอีกคนที่กล้าแต่งเพลงแตะต้องประเด็นนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะไม่เคยออกตัวเรื่องการเมืองเลยแม้แต่น้อย แถมพ่อของเธอยังมาจากแผ่นดินใหญ่และเป็นพวกฝักใฝ่คอมมิวนิสต์อีกต่างหาก ถึงอย่างนั้นเธอก็เคยออกมาเผยว่า แม่ของเธอทำอาชีพสาวเสิร์ฟและต้องอดทนกับมารยาทแย่ ๆ ของนักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่มาโดยตลอด

ส่วนมากบทเพลงของลูน่าจะมีเนื้อหาค่อนข้างอ่อนโยน เกี่ยวกับชีวิตรักทั่ว ๆ ไป แต่หลังเกิดเหตุการณ์ที่นักการเมืองท้องถิ่นกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมว่าสร้างความวุ่นวายและยังกล่าวว่า ‘พวกเขาเอาแต่ร้องขอทุกสิ่งโดยที่ไม่ทำอะไรเลย’ เธอก็ตัดสินใจก้าวขาเข้ามาในสมรภูมิทางการเมืองในครั้งนี้

“พวกเขาคิดว่าเราควรจะปฏิบัติตาม สิ่งที่พวกเขาขีดเส้นไว้ และปัญหาคือพวกเราช่างสันหลังยาว” 

– จากเนื้อเพลง Harvest ของ Luna Is A Bep

เนื้อเพลงที่กล่าวมาด้านบน คือสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อสารกับนักการเมืองโดยตรง นอกจากนั้นยังมีท่อนอื่นที่ร้องว่า “ฉันจะบอกให้ว่าพวกเราทำงานหนัก และไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สาสม พวกเรามีชีวิต มีครอบครัว แต่ต้องสละชีวิตอันเรียบง่าย เพื่อยืนหยัดและประท้วง ไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป” 

ถึงแม้เนื้อเพลงจะเกี่ยวกับการเมืองเข้มข้น แต่เธอยังใช้ทำนองน่ารักฟังสบาย เพราะต้องการให้เพลงเหล่านี้เข้าถึงง่าย และหวังว่ารัฐบาลจะยอมรับฟังและเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“ศิลปินควรจะมีอิสระในการแสดงจุดยืน พวกเราต้องการจะสร้างสรรค์ดนตรีในแบบของตัวเอง

ฉันไม่ได้มีฐานแฟนคลับเยอะ ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับอาชีพนี้ ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ฉันก็จะพูดอะไรแรง ๆ แบบนี้

การหาเงินจากการทำเพลงในฮ่องกงมันก็ยากอยู่แล้วนี่”

– Luna Is A Bep

อีกเพลงหนึ่งที่เราจะกล่าวถึงมีชื่อว่า DIRTY COPS FUCK YOU จาก Spiritual Teenagers Center กลุ่มศิลปินที่มีสมาชิก 6 คน และมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ปีเท่านั้น โดยพวกเขาได้สะท้อนความโกรธเกรี้ยวและสิ้นหวังของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงออกมาผ่านบทเพลง

Y5 หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มที่ทำเพลงนี้ได้กล่าวว่า “ถ้าคุณเข้าร่วมประท้วง รัฐบาลก็จะยิ่งทวีความรุนแรง” ส่วน MU สมาชิกอีกคนที่มีส่วนร่วมในเพลงนี้ก็กล่าวว่า “ถ้าเปรียบเทียบสิ่งที่ผมทำกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในแถวหน้าของผู้ชุมนุม พวกผมก็เป็นเพลงผู้ประท้วงธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น”

อีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจมาจากศิลปินอายุ 17 ปีนามว่า Lobo Slashemall เขาได้แต่งเพลงที่ชื่อว่า We Ain’t a Riot ขึ้นมา เพื่อสื่อสารให้ทุก ๆ คน รวมถึงรัฐบาลฮ่องกงได้รับรู้ว่า การที่รัฐบาลใช้คำผิด ๆ เรียกกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ‘พวกก่อจลาจล’ นั้นไม่เป็นความจริง บางคนยังเป็นเพียงเยาวชน พวกเขาไม่ใช่โจรผู้ร้าย จากรายงานกล่าวว่ามีผู้ชุมนุมอายุน้อยที่สุดเพียง 12 ปีเท่านั้นที่ถูกตำรวจควบคุมตัว

โดยเนื้อหาในเพลงจะพูดเกี่ยวกับความสุขในช่วงเวลาก่อนที่บ้านเมืองจะวุ่นวาย ตัว Lobo Slashemall เองได้เผยว่า สิ่งที่เขานั้นสามารถช่วยเหลือผู้ชุมนุมได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น หลาย ๆ คนเริ่มหมดหวัง แถมความรุนแรงก็ดูจะเพิ่มขึ้นทุกวัน

ความไม่สงบในครั้งนี้ ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงในฮ่องกง โดยเฉพาะงานคอนเสิร์ตต่าง ๆ ถูกยกเลิกเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับ Bloom Festival ที่กำลังจะจัดขึ้นในฤดูร้อนที่จะถึงนี้เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนเหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้โดยเฉพาะ พวกเขาพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการเรี่ยไรเงินบริจาคจากศิลปินและผู้เข้าร่วมงานได้สูงถึง 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปบริจาคแด่ Spark Alliance ให้องค์กรส่งต่อความช่วยเหลือสู่ผู้ชุมนุมที่ต้องการที่ปรึกษาทางกฎหมายต่อไป

งานนี้จัดขึ้นโดยกลุ่มอาสาสมัครผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนาม พวกเขาได้กล่าวว่า “แรปเปอร์ใต้ดินหลายคนไม่ได้รับโอกาสในการขึ้นแสดงในงานทั่ว ๆ ไป พวกเขายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับโอกาสดี ๆ อย่างนี้ เราจะหลอมรวมทั้งการช่วยเหลือผู้ชุมนุมและเติมเต็มความสุขให้ผู้คน นี่คือการเฉลิมฉลอง”

ไม่ว่าในอนาคตทิศทางการเมืองของฮ่องกงจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าตัวคุณเองจะเลือกข้างไหน เพลงของพวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นดั่งจดหมายเหตุฮ่องกงแห่งยุคและถูกแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องเตือนใจแด่คนรุ่นหลัง เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าศิลปะแห่งวิถีคิดของศิลปินเหล่านี้ จะถูกกล่าวขานต่อไปในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

Source

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line