Entertainment

INTO THE NIGHT เมื่อแสงแดด=ความตาย ทางรอดสุดท้ายคือบินสู่ความมืดมิด

By: PSYCAT May 8, 2020

ลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญชีวิตท่ามกลางอุณหภูมิ 30 กว่าองศาฯ แต่รู้สึกร้อนราวกับว่า 40 กว่าองศาฯ อีกหนึ่งวัน แสงอาทิตย์คือชีวิต แต่อีกทางหนึ่งเราก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าหากแสงอาทิตย์แปรพักตร์ กลายเป็นปรปักษ์ต่อลมหายใจของมนุษย์ โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร?

Into the Night คือซีรีส์ระทึกขวัญ เมื่อแสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นความอบอุ่นและสัญลักษณ์แห่งชีวิตอีกต่อไป แต่รุ่งอรุณกลับนำพาความตายมาเยือนโลกมนุษย์ ใครที่สัมผัสแสงแดดมีทางเลือกเดียวคือหมดลมหายใจ และผู้ที่อยากมีชีวิตรอดให้ได้ จึงต้องพาตัวเองมุ่งหน้าสู่ความมืดมิดแห่งคืนค่ำเท่านั้น

ไม่เวิ้นเว่อวุ่นวาย เพราะโลกแตกสลาย ความหมายมีแค่การเอาตัวรอดเท่านั้น

เราคงไม่ปฏิเสธว่าหนังโลกแตก มนุษย์ต้องเอาตัวรอดให้ได้ หนีตายบนพาหนะอะไรสักอย่างไม่ใช่พล็อตใหม่ และชวนให้สงสัยว่ามันยังดึงดูดใจคนดูอย่างเราได้จริงไหม? แต่ Into the Night พาเราหลุดเข้าไปในหนังโลกแตกระทึกขวัญเอาตัวรอดในรสชาติแปลกใหม่ ที่ขอกระซิบว่าถ้ายังไม่ได้เริ่มดูก็อย่าเพิ่งตัดสินหนังเรื่องนี้

หนังโลกแตกปกติ มักให้ความสำคัญกับความสมจริง จนฉายภาพปูพื้นให้เห็นว่า “เพราะอะไรโลกถึงเกิดหายนะขึ้น?” จนต้องมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ปูภาพ หรือฉากห้องแล็บนักวิจัยที่แสดงข้อมูลจำนวนมากน่าเชื่อถือ

แต่ Into the Night กลับเปิดเรื่องเรียบง่าย กลุ่มคนเพียงหยิบมือหนึ่งที่กำลังจะขึ้นเครื่องบิน และถูกทหารนายหนึ่ง (ที่บังเอิญรู้เรื่องแสงอาทิตย์หายนะ) ปล้นเพื่อพาเครื่องบินมุ่งตรงสู่กลางคืน หนีแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตกของโลก บนเครื่องบังเอิญมีผู้มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ที่พออธิบายเหตุผลคร่าว ๆ อยู่บ้าง และที่เหลือคือการเสิร์ชหาเอาจากอินเทอร์เน็ต

ในทางหนึ่งการปูเรื่องจากมุมมองตัวละครแบบนี้ทำให้เรารู้สึกสมจริงยิ่งขึ้น เพราะหากโลกใบนี้ต้องแตกแหลกสลายพังพินาศลงจริง ๆ เราคงไม่ได้มีโอกาสตามดูว่าโลกทั้งใบเป็นอย่างไร ห้องวิจัยในสหรัฐให้ข้อมูลแบบไหน เราจะสนแต่การเอาตัวรอดตรงหน้า ที่แค่จะพาตัวเองมีชีวิตต่อไปก็ยากเต็มทน

การที่ Into the Night เลือกโฟกัสแค่การเอาตัวรอด เหตุการณ์ในเครื่องบิน และการกระเสือกกระสนเพื่อบินตรงสู่ความมืดของเครื่องบินของตัวเองเท่านั้น ตัดฉากโลกพินาศ ผู้คนล้มตายจากเมืองใหญ่ ๆ ให้อยู่เพียงในจินตนาการของคนดูอย่างเรา ๆ กลับยิ่งเพิ่มความระทึกขวัญสมจริงและลุ้นไปได้ตลอดเรื่อง

โดยเฉพาะใครที่รำคาญความเวิ่นเว้อของหนังโลกแตก ที่กว่าจะขึ้นเครื่องบินเพื่อเอาตัวรอดได้ ต้องดราม่าตัดคนนั้น ฟูมฟายบอกลาคนนี้  Into the Night จะพาคุณไปรู้จักมิติใหม่แห่งหนังโลกแตก

เมื่อหายนะมาเยือน โลกไม่ได้เคลื่อนรอบประเทศมหาอำนาจเสมอไป

ประเทศมหาอำนาจ หรือเมืองใหญ่ของโลกมักเป็นฉากหลักสำคัญของหนังโลกแตกเสมอ เรามักเห็นเทพีเสรีภาพถูกคลื่นสูงซัด หอไอเฟลพังทลายลงตรงหน้า กำแพงเมืองจีนปลิดปลิวไปกับพายุคลั่ง หรือแลนด์มาร์กสำคัญ ๆ หลายจุดของเมืองใหญ่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของโลกแตก ซึ่งก็พอเข้าใจได้ เพราะถ้าไปฉายภาพเมืองบ้าน ๆ ผู้คนธรรมดา ก็อาจดูเป็นภาพตัวแทนของ “โลกแตก” ได้ไม่ชัดมากพอ

แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่าใครหลายคนแบบเต็มทนกับการเห็นฉากโลกแตก แค่เฉพาะเมืองใหญ่ ๆ หรือแลนด์มาร์กสำคัญ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศที่ก็มักขึ้นตรงอยู่กับประเทศมหาอำนาจไม่กี่ประเทศ คล้ายว่าศูนย์กลางแห่งการโลกแตกติดแหง็กอยู่แค่ไม่กี่เมืองอย่างไรอย่างนั้น

Into the Night จึงฉีกขนบความโลกแตกระทึกขวัญโดยแทบไม่ได้หมุนรอบประเทศมหาอำนาจ หรือให้บทบาทอะไร เรื่องราวมีแค่เครื่องบินลำนี้ ผู้คนบนเครื่องบินลำนี้ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก (มีภาษาอังกฤษแทรกมาแค่ตอนที่ต้องสื่อสารกับคนใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น) และมีผู้คนที่มาจากหลาย ๆ ประเทศที่ในหนังกระแสหลักมักไม่ค่อยมีตัวแทนผู้คนจากประเทศเหล่านี้

ใครที่เบื่อการลุ้นระทึกที่ต้องคอยมาดูว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ พูดอะไร? กระทรวงกลาโหมประเทศนั้นว่าอย่างไร? UN ล่ะ? ลืมไปได้เลย เพราะ Into the Night จะมุ่งพาคุณขึ้นเครื่องบินสู่ความมืดมิดล้วน ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉาพะหน้าไปแบบตรง ๆ โต้ง ๆ (และก็มีปัญหาไม่คาดคิดผุดขึ้นมาให้แก้) แบบไม่น่าเบื่อ แต่ลุ้นในระดับที่อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ กับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ โดยไม่ค้องสนว่าประเทศมหาอำนาจหรือผู้มีอำนาจที่ไหนจะมาว่าอย่างไร

ศีลธรรมของใคร เมื่อโลกไม่มีอะไรเหลือแล้ว?

ส่วนสายขบคิด ดูซีรีส์เพื่อความบันเทิงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็รักที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความคิด การกระทำของตัวละครไปด้วย ซึ่งหนังโลกแตกระทึกขวัญ แอคชันโครมครามมักไม่ตอบโจทย์มนุษย์สายนี้เท่าไรนัก แต่ทันทีที่ตัวละครใน Into the Night พาเราทะยานขึ้นฟ้าสู่ความดำมืดของโลกทั้งใบ บอกไว้เลยว่ามีอะไรชวนให้ขบคิด ถกเถียงตลอดซีซันแน่นอน

เมื่อโลกบนผืนดินแทบไม่เหลือใคร ล้มหายตายจากเหลือเพียงสิ่งปลูกสร้าง เครื่องบินที่พวกเขาใช้จึงไม่ต่างจากแบบจำลองของโลกอีกใบที่บรรจุคนจากต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ ต่างอาชีพมาไว้ด้วยกัน

กฎหมาย ศีลธรรม จรรยาบรรณทางอาชีพ ยังสำคัญอยู่ไหม? ในเมื่อโลกที่เราเคยรู้จักพังทลายลงหมดแล้ว วิธีการที่กัปตันเครื่องบินยังคงประกาศให้ผู้โดยสารฟังบนเครื่อง วิธีการที่กัปตันบอกว่าเขาคือคนที่ต้องรับผิดชอบชีวิตทุกคน แต่เมื่อใครบางคนพูดขึ้นมาว่าในเมื่อสายการบินของเขาก็ไม่มีอีกต่อไปทำไมเขาถึงจะมีสิทธิตัดสินใจแทนทุกคนอยู่อีก?

แม้แต่ระบบศีลธรรมที่เราเคยยึดถือว่าการฆ่าคน การขโมยของคือความเลวร้ายสูงสุด แต่เมื่อโลกแตก สถานการณ์บีบบังคับและเราทุกคนล้วนแต่ต้องมีชีวตรอด ถ้าคนหนึ่งขโมยของ แต่ช่วยชีวิตอีกคนหนึ่งไว้ได้? ถ้าอีกคนหนึ่งใช้ปืนยิงอีกคนหนึ่ง แต่เป็นคนรวบรวมข้อมูลที่ทำให้ทุกคนมีชีวิตรอด? เราจะใช้มาตรวัดศีลธรรมแบบใดเรายังใช้ เส้นแบ่งศีลธรรมนั้นกับตัวเองและผู้อื่นในมาตรฐานเดียวกันกับตอนที่โลกยังเป็นโลกใบเก่าได้หรือไม่?

ถ้าประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดที่มวลมนุษยชาติมีอยู่ปัจจุบัน มันยังสามารถนำมาใช้กับการตัดสินใจบนเครื่องบินที่กำลังหนีตายจากหายนะล้างโลกได้มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน หรือมีระบอบใดที่ดีกว่านี้หรือไม่? Into the Night จะพาเราแก้ปัญหาสุดระทึก ไปพร้อม ๆ กับโยนคำถามชวนให้ครุ่นคิดมาให้เราอย่างแนบเนียนตลอดเรื่อง

ไม่มีฮีโร่ตลอดกาล หรือคนสามานย์ตลอดไป

เพราะเป็นมนุษย์จึงหลากหลาย Into the Night ไม่เพียงพูดถึงกลุ่มคนหลายอาชีพ หลายศาสนา หลายชาติที่บังเอิญมารวมตัวกันเท่านั้น แต่การขึ้นเครื่องบินมุ่งสู่ความมืดตลอดเรื่องนี้ยังชี้ให้เห็นความหลากหลายของมนุษย์หนึ่งคน

หนังบางเรื่องเราอาจมองออกในปราดเดียวว่าคนนี้คือพระเอก ฮีโร่ คนดี และจะเป็นเช่นนั้นจนตัวละครหมดลมหายใจหรือหนังจบ ในขณะที่ตัวร้ายก็อาจเลวตั้งแต่ต้นยันจบ แต่บนเครื่องบินลำนี้เราต่างมีความเป็นมนุษย์เท่า ๆ กัน

ชั่วขณะหนึ่งเราอาจคิดถึงคนในครอบครัว เป็นห่วงเขาแทบขาดใจ และยินดีจะทำทุกทางเพื่อให้เครื่องบินหยุดวิ่งและไปช่วยคนที่เรารัก หรือเราอาจเป็นกัปตันผู้ดูแลทุกคนบนเครื่องให้ปลอดภัย แต่ ณ ชั่วขณะที่เราเชื่ออำนาจในมือมากไป ความห่วงใยอาจแปรเปลี่ยนไปสู่ความบ้าอำนาจหรือเผด็จการได้

Into the Night จึงไม่มีภาพฮีโร่หนึ่งเดียวตายตัว เมื่อเครื่องบินพุ่งทะยานไปในความมืด แต่ละความท้าทายที่เกิดขึ้นอาจมีฮีโร่เพิ่มมาหนึ่งคน หรือหลายคน เพราะพวกเขาล้วนใช้ความสามารถที่ตัวเองมีไปคนละอย่าง แต่เมื่ออุปสรรคแรกผ่านไป บททดสอบต่อไปเข้ามา คนที่ทำให้ทุกคนรอดในบททดสอบแรก อาจกลายเป็นตัวถ่วงหรือทำให้คนอื่นเสียเวลาด้วยความเชื่อ ความคิดงี่เง่าบางแบบ

Into the Night คล้ายเป็นแบบจำลองความเป็นมนุษย์ว่าเราก็เป็นเช่นนี้ มีดี มีตัดสินใจเฉียบแหลม และมีพลาด มีใช้อารมณ์ มีความเชื่อบางแบบที่เรายึดไว้ไม่ให้สั่นคลอน บางอย่างในความเป็นมนุษย์ผลักให้เราได้เป็นฮีโร่ในบางเวลา และบางอย่างในความเป็นมนุษย์เช่นกันที่ก็ทำให้เราไม่ต่างจากปีศาจร้าย

เช่นนี้เราจึงอาจหลงรักและเผลอเกลียดตัวละครทุกตัวได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครดีหมดจด หรือเลวสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อไม่ตัดสินกันเร็วเกินไป และได้เรียนรู้กันและกัน Into the Night ก็พาเราไปรู้จักความเป็นมนุษย์ได้อย่างแยบยล

ใครที่อยู่บ้านนาน ๆ เหงา ๆ อยากหาความตื้นเต้นระทึกขวัญ หรือพาตัวเองหลุดหายไปในโลกอีกใบชั่วคราว ดูเพลิน ๆ ไม่ต้องติดตามปูมหลังตัวละคร หรือที่มาที่ไปของเหตุหายนะให้ปวดหัว (แต่ก็สมจริง) รวมถึงให้ความรู้สึกราวกับว่าเราได้โดยสารไปบนเครื่องบินสู่ความมืด เพื่อหนีแสงอาทิตย์แห่งความตาย ไม่ควรหลาด Into the Night ด้วยประการทั้งปวง สามารถติดตาม Into the Night ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line