ภาพยนตร์หรือซีรีส์ แน่นอนว่ากว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นภาพที่เราได้รับชมมันจะต้องประกอบไปด้วยทีมงานหลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง, ผู้กำกับ, ช่างภาพ, ช่างไฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏออกมาจะไม่สมบูรณ์แบบเลย หากขาดซึ่งสกอร์หรือซาวด์ประกอบเพื่อช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ภาพยนตร์หรือซีรีส์ ตอบโจทย์อารมณ์ของแต่ละฉากได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเผลอมองข้ามความสำคัญของอีกหนึ่งตำแหน่งเบื้องหลังที่สำคัญไป แต่ไม่ต้องห่วง เพราะวันนี้ Unlockmen จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ต๋อย-เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” เจ้าของ อาณาจักร Banana Sound Studio ผู้ผลิตสกอร์ให้กับภาพยนตร์และซีรีส์ชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เลือดข้นคนจาง, เด็กหอ, สี่แพร่ง, ห้าแพร่ง, วัยรุ่นพันล้าน, ขุนพันธ์ภาค 1 และ 2, 4Kings รวมไปถึงการร่วมงานกับ Jay Chou ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังจากประเทศไต้หวันในภาพยนตร์เรื่อง “Secret” การทำงานของผู้ผลิตสกอร์จะสนุกขนาดไหน มาติดตามไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ จากนักดนตรีกลางคืนสู่ผู้ทำสกอร์แบบไม่คาดฝัน “ต๋อย-เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” เดิมทีไม่เคยมีความคิด หรือแม้แต่มีความฝันในเส้นทางการผลิตซาวด์ประกอบอยู่ในหัวมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่กำลังเรียนปี 2 ณ
หลังจากเคยถอดออกจาก Netflix (ไทย) ไปแล้วครั้งนึง ตอนนี้ Death Proof ภาพยนตร์ปี 2017 ของเจ้าพ่อหนังคัลท์ยุคใหม่ Quentin Tarantino ก็กลับมาสตรีมมิ่งอีกครั้ง ใครที่ยังไม่เคยดูบอกเลยห้ามพลาด! ด้วยเสน่ห์ที่มีกลิ่นอายความสยองขวัญแบบปี 80s ซึ่งมาพร้อมกับความฟิล์มนัวร์ Noise มาเต็มที่ได้อารมณ์มาก ๆ และถ้าคุณรักรถ Vintage อย่าง Chevy Nova เรียกว่าจะได้เชยชมความงามที่มาพร้อมความแรงตลอดเรื่องกันเลยล่ะ สำหรับ Death Proof เควนตินเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นผลงานที่ชอบน้อยที่สุดตั้งแต่เคยสร้างมา แต่ถ้าถามความเห็นของเราที่เป็นแฟนคลับเขา และเพิ่งจะดูเรื่องนี้อีกครั้งไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าแย่ กลับกันคือยังเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ (และกวนตีน) สไตล์เควนตินเหมือนเดิม และที่ชอบมากโดยส่วนตัว คือการแตกไอเดียหัวข้อ ‘Death Proof’ อันเป็นเรื่องราวว่าด้วยรถซิ่งของสตั๊นแมนยุคเก่า ที่ใช้เพื่อชนจริง กระแทกจริง ไม่มี CGI ผสมใด ๆ มาเป็นเรื่องราว 2 ชั่วโมงได้อย่างสนุกจนน่าเหลือเชื่อ และปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่น่าประทับใจนอกจากการได้เห็น Mary Elizabeth Winstead ใส่ชุดเชียร์ลีดเดอร์สีเหลืองแล้ว
[เนื้อหามีสปอยล์เล็กน้อย] หากจะให้พูดถึงภาพยนตร์ทาง Netflix ที่มาแรงที่สุดในช่วงนี้คงต้องยกให้ “Gangubai Kathiawadi” หรือที่ทุกคนต่างเรียกกันสั้น ๆ ว่า “คังคุไบ” ภาพยนตร์ของประเทศอินเดียที่ถูกสร้างมาจากการอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ เป็นการนำเสนอเรื่องราวของโสเภณีที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิให้กับเหล่าหญิงสาวที่ประกอบอาชีพเดียวกับเธอ จนกลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วประเทศ “คังคุไบ” นำแสดงโดย อาเลีย บาตต์ นักแสดงสาวชาวอินเดียมากความสามารถ เธอสามารถตีทุกบทบาททุกอารมณ์ได้แตกกระเจิง ซึ่งมันถูกส่งออกมาผ่านแววตาที่ทำให้เราเชื่อในสิ่งที่เธอแสดงได้อย่างหมดจด รวมไปถึงบรรดานักแสดงสมทบทั้ง อชัย เทวคัน ซึ่งรับบทเป็น ราฮิม ลาลา มาเฟียผู้พลิกชีวิตคังคุไบ, จิม ซาร์บ รับบทเป็น เฟซี นักข่าวผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้คังคุไบกลายเป็นที่รู้จัก และนักแสดงอีกหลาย ๆ คนต่างก็สวมบทบาทแต่ละตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนต่างมีความสำคัญในเรื่องราวที่ดำเนินไปด้วยความเข้มข้นด้วยจังหวะที่มีกราฟขึ้นลงจนไปถึงจุดไคลแมกซ์ แม้ภาพยนตร์จะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะแต่ก็ไม่ได้ทำให้การรับชมรู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด อีกสิ่งที่โดดเด่นมาก ๆ คือภาพและบรรยากาศภายในภาพยนตร์ที่ถ่ายทำออกมาได้สวยและงดงามทุกซีนแบบชนิดที่ว่าสามารถแคปเจอร์ออกมาเป็นภาพถ่ายสวย ๆ ได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่เหนือสิ่งอื่นใด “คังคุไบ” ได้มอบแรงบันดาลใจให้เรามีความกล้าในหลาย ๆ เรื่องดังนี้ กล้าต่อสู้เพื่อความยุติธรรม คังคุไบเธอต้องมาประกอบอาชีพโสเภณีโดยไม่ได้สมยอม ทำให้เธอต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่เธอไม่ต้องการ แต่ถึงกระนั้นเธอก็มีมุมมองถึงศักดิ์ศรีในตัวมนุษย์เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอถูกทำร้ายร่างกายจนทำให้ต้องสูญเสียการหารายได้ไปช่วงใหญ่ ๆ ทำให้เธอตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อนำเรื่องราวดังกล่าวไปบอกถึงบุคคลที่เธอคิดว่าจะทวงคืนความยุติธรรมในครั้งนี้ได้ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้รู้จักคนคนนั้นมาก่อน แต่ด้วยวาทะศิลป์ของคังคุไบ ทำให้เธอสามารถพิชิตความไม่ถูกต้องได้สำเร็จ กล้าต่อสู้เพื่ออำนาจที่ต้องการ คังคุไบมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
โอกาสสำหรับนักสะสมรถยนต์ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์น่าสนใจติดตัว เมื่อผู้กำกับ Michael Bay จับมือกับ Curated supercar dealership ใน Miami นำรถยนต์ 4 คัน ดาวดังจาก Transformers จากหลายภาค มามัดรวมชุดเพื่อให้นักสะสมได้ประมูลกันไปในราคาราว $2 million USD การจัดชุดประมูลรถยนต์เป็นล็อต ช่วยเพิ่มเสน่ห์และมูลค่าให้นักสะสมได้เป็นอย่างดี โดยใน collection นี้ประกอบไปด้วยคันแรก ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “Bumblebee” 2010 Chevrolet Camaro เวอร์ชั่นจากภาค Transformers 3: Dark Side of the Moon ซึ่งเป็นคันเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายทำ มีทั้งกันชนหน้า ฝากระโปรง สปอยเลอร์หลัง และสติกเกอร์ตกแต่งที่ใครเห็นก็ต้องจำได้แน่นอน ตามมาด้วยคันท่ีสองจากภาคเดียวกัน เป็นรถยนต์ Mercedes-Benz SLS AMG ที่ขับโดย Rosie Huntington ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการตกแต่งเป็นพิเศษอะไร แต่แค่ความเป็น SLS AMG
แม้จะผ่านปี 2021 มาแล้ว 2 เดือน แต่สถานการณ์ของวงการหนังก็ยังไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะโรงหนังที่ยังไม่มีสตูดิโอไหนกล้าที่จะปล่อยหนังเด็ดหนังใหญ่ให้ได้ดูกันแบบปกติเหมือนปีก่อน ๆ เช่นเคย แต่ช้าก่อน…ถึงแม้บางคนยังไม่กล้าที่จะดูหนังในโรง แต่สตรีมมิ่งอย่าง Netflix ก็ยังเสนอความร้อนแรงผ่านหนังหลากหลายให้ได้ชมกันเช่นเดิม และในเดือน มีนาคม 2021 นี้ Netflix ก็ยังมีหนังดี ๆ หลากแนว หลายรูปแบบให้ชม ทั้งสารคดี / หนังแอ๊คชั่น ไปยันหนังตลกก็มีให้ชมอย่างจุใจ แถมยังมีหลายสัญชาติให้คอหนังได้ลองลิ้มชิมรสชาติที่แตกต่างอีกด้วย ไปดูกันว่าเดือนนี้ มีหนังอะไรเด็ด ๆ ที่ UNLOCKMEN ภูมิใจเสนอให้ดูกันบ้าง เริ่มต้นด้วยสารคดีที่เล่าถึงแร็ปเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญให้กับวงการ Hip Hop ก่อนถูกลอบสังหารอย่างเป็นปริศนาที่ค้างคาใจครอบครัวมาตลอด 24 ปี หนังเล่าเรื่องของ Christopher George Latore Wallace หรือ ฉายา Biggie Smalls ที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเกือบจะได้เป็นศิลปินแจ๊ส ก่อนชีวิตจะหักเหไปสู่หนทางแห่งการค้ายา อำนาจ และพลังแห่งดนตรี
เมื่อเทศกาล Halloween วนกลับมาอีกหน ปีนี้หลายคนอาจไม่ได้ออกท่องราตรีที่ไหนเพราะกลัวคนเยอะ คนแน่น แล้วต้องกลับมากังวลเรื่อง COVID-19 การเลือกอยู่บ้าน แล้วหาหนังหลอน ๆ รับกับบรรยากาศวันปล่อยผีดูสักเรื่องหรือหลายเรื่องก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หนังผีใคร ๆ ก็คงแนะนำกันบ่อยแล้ว UNLOCKMEN อยากชวนดูหนังที่ เฮ้ย ก็ไม่มีผีโผล่ออกมาหรอกนะ แต่ดูแล้วชวนหวาดหวั่น ประสาทมันสั่นกลัวสุดขีดคลั่ง รับรองว่าดูไปอดรีนาลีนหลั่งไปแน่นอน US ว่ากันว่าสิ่งที่ชวนขนพองสยองขวัญที่สุดอาจไม่ใช่ผี ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นตัวเรานี่เอง US คือหนังที่เล่นกับความหลอนในหัวใจมนุษย์ว่าถ้าเราไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียวอีกต่อไปล่ะ? ถ้ามีตัวเราอีกคน ที่รูปกายภายนอกเหมือนเราแทบทุกประการ แต่เรากลับไม่รู้ว่าลึก ๆ เราอีกคนต้องการอะไรกันแน่? และมันจะระทึกขวัญสักแค่ไหน เมื่อตัวเราอีกคนเริ่มออกมาไล่ล่าตัวเรา นอกจาก US จะทำให้ใจเต้นสั่นระรัวแล้ว ยังแฝงประเด็นให้ชวนขบคิดว่าที่เราเป็นเราทุกวันนี้มันเพราะความสามารถของเรา หรือเพราะโอกาสบางอย่างที่เราเข้าถึงได้มากกว่าคนอื่นกันแน่ และถ้าเราอีกคนเขาดันเติบโตในสภาวะแวดล้อมที่ผลักให้เขาต้องออกล่าอย่าป่าเถื่อน เรื่องราวชวนขนลุกนี้จะจบลงอย่างไร? เปิดดูในวันปล่อยผี ถึงไม่มีผีแต่มีหลอนแน่นอน Get Out ยังพาไต่ระดับความหลอนกับหนังเขย่าประสาทของผู้กำกับ Jordan Peele ถ้า US ว่าด้วยความหลอนของการมีตัวเราอีกคน Get Out ก็จะพาเราดำดิ่งไปในความหลอนของการติดอยู่ในร่างกายตัวเอง!
ในแต่ละปี ๆ จะต้องมีคดีความอย่างน้อยหนึ่งคดีที่ชวนให้มนุษย์อย่างเรา ๆ รู้สึกอัดอั้น หรือสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการยุติธรรมบางอย่างออกมาสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อข่าวนั้น ๆ ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมาให้เราเห็นในหน้าฟีดโซเชียลมีเดียและสื่อหลักต่าง ๆ ทำให้ความเครียด ความอัดอั้นพุ่งทะลุขีดไปหลายหน เพื่อระบายความคับข้องใจ เราชวนมาดูหนังแหกคุกเพื่อระบายความตึงเครียดชั่วคราว (หรือจะเครียดกว่าเดิมก็ไม่รู้) แต่รับรองว่ามันส์แน่นอน Escape Plan บนโลกใบนี้มีอาชีพแปลก ๆ อยู่ไม่น้อย และหนึ่งในนั้นคืออาชีพนักหาจุดอ่อนของเรือนจำ และแหกคุกออกมาให้ได้เพื่อเอาไปบอกว่าเรือนจำแต่ละแห่งยังมีข้อบกพร้อมต้องแก้ตรงไหนเพื่อให้คุมขังนักโทษได้รัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งเรย์ เบรสลิน ตัวเอกของเรื่องก็เป็นสุดยอดนักหาจุดอ่อนเรือนจำที่ทำงานมาจนเชี่ยวชาญ กระทั่งวันหนึ่งเขาถูกส่วตัวไปสำรวจเรือนจำแห่งใหม่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสุดโหด ไม่เคยมีใครแหกคุกที่นี่ได้มาก่อน ยิ่งระทึกไปกว่านั้นเมื่อเขาพบว่าเขาไม่สามารถถอนตัวจากภารกิจนี้ได้ เขาวางแผนกับรอทท์เมเยอร์นักโทษสุดเก๋าเพื่อหาทางแหกคุกสุดโหดนี้ไปด้วยกัน แม้แผนแหกคุกของ Escape Plan จะไม่ได้ซับซ้อนหรือหลักแหลมอะไร แต่หากวันตึง ๆ ต้องการความตื่นเต้น แอกชัน มันส์หยด ก็รับรองได้ว่า Escape Plan จะชวนให้ดูไปลุ้นไปเพลิน ๆ ได้แน่นอน The Next Three Days เมื่อการแหกคุกไม่ได้เกิดจากในคุก แต่เกิดจากใครบางคนที่อยู่นอกคุก และอยากทำเพื่อคนที่เขารัก! The
ถ้าจะมีสักช่วงวัยที่ทิ้งคราบน้ำตาและความทรงจำปวดเจ็บยากลืมเลือนไว้ในชีวิตเราได้มากพอ ๆ กับที่ฝากเสียงหัวเราะและเรื่องราวชวนอุ่นในใจเอาไว้ วันวัยที่ว่านั้นก็คงเป็น “วัยรุ่น” ช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน ณ ขณะที่ชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างการเป็นเด็กและการเป็นผู้ใหญ่ ณ ขณะที่เราเชื่อว่ามีแต่ความเป็นไปได้รอเราอยู่ วัยที่เต็มไปด้วยความหวังเจิดจ้า แต่ขณะเดียวกันการเติบโตก็นำบาดแผลใหม่ ๆ มาสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทุกที ๆ แม้บางคนจะผ่านวัยนั้นมาแล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงทีไรก็ชวนให้รู้สึกอะไรบางอย่างในใจทุกที เพราะนั่นคือชั่วขณะสำคัญที่ประกอบร่างสร้างให้เราเป็นผู้ใหญ่อย่างที่เราเป็นในตอนนี้ เพื่อให้ทบทวนตัวเองได้ดื่มด่ำกว่าเดิม เพื่อให้ระลึกถึงทุกเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตาของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ เราเลยอยากเอา ‘5 หนัง COMING OF AGE’ตีแผ่รอยยิ้มและบาดแผลของการเติบโตมาปลอบประโลมความทรงจำ และความเจ็บปวดจากการเติบโต The Perks of being a wallflower วินาทีที่เราตระหนักได้ว่าชีวิตตอนมัธยมก็ไม่เห็นจะหนักหนาอะไรนี่หว่า นั่นอาจเป็นวินาทีที่เราข้ามผ่านช่วงวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าหมุนเข็มนาฬิกากลับไปช่วงวัยก่อนจะ 20 ปี ความพยายามไขว่คว้าคะแนนดี ๆ มาครอบครอง การวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อเป็นที่รักในแก๊งเพื่อน การเอื้อมสุดแขนเพื่อให้สาวสักคนหันมามอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายของเราในวัยรุ่น The Perks of being a wallflower พาเราย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลาย ตอนที่ตัวละครหลักเพิ่งเข้าไฮสคูลเป็นครั้งแรก ที่ที่เราต้องปรับตัว
ลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญชีวิตท่ามกลางอุณหภูมิ 30 กว่าองศาฯ แต่รู้สึกร้อนราวกับว่า 40 กว่าองศาฯ อีกหนึ่งวัน แสงอาทิตย์คือชีวิต แต่อีกทางหนึ่งเราก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าหากแสงอาทิตย์แปรพักตร์ กลายเป็นปรปักษ์ต่อลมหายใจของมนุษย์ โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร? Into the Night คือซีรีส์ระทึกขวัญ เมื่อแสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นความอบอุ่นและสัญลักษณ์แห่งชีวิตอีกต่อไป แต่รุ่งอรุณกลับนำพาความตายมาเยือนโลกมนุษย์ ใครที่สัมผัสแสงแดดมีทางเลือกเดียวคือหมดลมหายใจ และผู้ที่อยากมีชีวิตรอดให้ได้ จึงต้องพาตัวเองมุ่งหน้าสู่ความมืดมิดแห่งคืนค่ำเท่านั้น ไม่เวิ้นเว่อวุ่นวาย เพราะโลกแตกสลาย ความหมายมีแค่การเอาตัวรอดเท่านั้น เราคงไม่ปฏิเสธว่าหนังโลกแตก มนุษย์ต้องเอาตัวรอดให้ได้ หนีตายบนพาหนะอะไรสักอย่างไม่ใช่พล็อตใหม่ และชวนให้สงสัยว่ามันยังดึงดูดใจคนดูอย่างเราได้จริงไหม? แต่ Into the Night พาเราหลุดเข้าไปในหนังโลกแตกระทึกขวัญเอาตัวรอดในรสชาติแปลกใหม่ ที่ขอกระซิบว่าถ้ายังไม่ได้เริ่มดูก็อย่าเพิ่งตัดสินหนังเรื่องนี้ หนังโลกแตกปกติ มักให้ความสำคัญกับความสมจริง จนฉายภาพปูพื้นให้เห็นว่า “เพราะอะไรโลกถึงเกิดหายนะขึ้น?” จนต้องมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ปูภาพ หรือฉากห้องแล็บนักวิจัยที่แสดงข้อมูลจำนวนมากน่าเชื่อถือ แต่ Into the Night กลับเปิดเรื่องเรียบง่าย กลุ่มคนเพียงหยิบมือหนึ่งที่กำลังจะขึ้นเครื่องบิน และถูกทหารนายหนึ่ง (ที่บังเอิญรู้เรื่องแสงอาทิตย์หายนะ) ปล้นเพื่อพาเครื่องบินมุ่งตรงสู่กลางคืน หนีแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตกของโลก บนเครื่องบังเอิญมีผู้มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ที่พออธิบายเหตุผลคร่าว ๆ อยู่บ้าง และที่เหลือคือการเสิร์ชหาเอาจากอินเทอร์เน็ต ในทางหนึ่งการปูเรื่องจากมุมมองตัวละครแบบนี้ทำให้เรารู้สึกสมจริงยิ่งขึ้น เพราะหากโลกใบนี้ต้องแตกแหลกสลายพังพินาศลงจริง
เดือนพฤษภาคมถือเป็นอีกเดือนที่อุดมไปด้วย “วันหยุด” ที่เราจะได้หยุดงานนอนตีพุงหรือไปเที่ยวไหนต่อไหนให้ชุ่มปอด แต่ COVID-19 ก็ทำให้โลกทัศน์วันหยุดเราต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วันหยุดจำนวนมากแต่ไม่อาจออกไปไหนได้ (เพื่อความปลอดภัยของตัวเราและผู้อื่น) รวมถึงสถานที่หลายแห่งที่ยังต้องปิดตามมาตรการของรัฐและเคอร์ฟิว ทำให้วันหยุด (และวันธรรมดา) ของเดือนพฤษภาคม 2020 นี้ มีแต่บ้าน บ้าน บ้าน และบ้านเท่านั้น โชคดีที่เราอยู่ในโลกยุคที่บ้านยังมีทีวี อินเทอร์เน็ต และสตรีมมิงให้ได้ท่องเที่ยว เดินทางไปกับหนัง ซีรีส์ สารคดี ฯลฯ การอยู่บ้านจึงน่าเบื่อน้อยลง ดังนั้นพฤษภาคมนี้ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้วันหยุดไปกับอะไร เราแวะเอาคอนเทนต์จาก NETFLIX มาให้เลือกสรร The Godfather ความดีงามของระบบสตรีมมิงคือการที่เราจะดูเมื่อใด หยุดเมื่อใดก็ได้ หนังทั้งเรื่องเป็นของเรา การได้ดูที่มีหลาย ๆ ภาคในวันหยุดยาวแบบฉ่ำใจจึงเหมือนเป็นการได้เสพของอร่อยเต็มอิ่มของคอหนัง โดยเฉพาะเมื่อหนังเรื่องนั้นเป็นหนังระดับตำนาน จะมีอะไรดีกว่านี้อีก? The Godfather คงไม่ใช่หนังใหม่อะไร (แต่เราเชื่อว่าหลายคนก็อาจยังไม่เคยดู) ใครที่เคยดูแล้วก็ถือเป็นโอกาสอันดีในช่วงเดือนที่วันหยุดเยอะได้ย้อนกลับมาดูหนังแก๊งสเตอร์ระดับตำนานเรื่องนี้อีกหน The Godfather เรื่องราวว่าด้วยครอบครัวมาเฟียที่ไม่ได้มุ่งไปที่อาชญากรรมโดยตรง แต่ให้ฟีลรุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง โคตรมาเฟียที่ไม่ต้องข้องแวะกับความเป็นอันธพาล แต่อหังการตราตรึงใจนักวิจารณ์และคนดูแม้เวลาผ่านมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วก็ตาม ความดีงามคือมาครบทั้ง