

Entertainment
METALLICA และ THE VELVET UNDERGROUND n NICO 2 อัลบั้มในตำนาน ถูกขับขานโดยศิลปินรุ่นใหม่
By: Chaipohn August 12, 2021 204212
นับเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับ 2 อัลบั้มในตำนานที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่มีวาระในการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่คล้าย ๆ กัน นั่นคือการเชิญชวนศิลปินมากหน้าหลายตา ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่ มาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานด้วยการตีความบทเพลงอมตะให้เป็นเพลงเวอร์ชั่นใหม่ ที่ทั้งแปลกและเต็มเปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์
เรามาดูกันว่า 2 อัลบั้มนี้ ในสมัยที่วางจำหน่ายใหม่ ๆ ได้สร้างคุณูปการอะไรให้กับวงการเพลงบ้าง และจวบจนปัจจุบัน เมื่อกาลเวลาผ่านไป อัลบั้มทั้ง 2 ชุดนี้ ได้มอบอะไรให้กับประวัติศาสตร์ทางดนตรีกันบ้าง
หนึ่งในทัพหน้าของวงการเมตัล ที่ปัจจุบันยังคงเป็นวงดนตรีผู้ทรงอิทธิพลที่คว้าทั้งเงินทั้งกล่อง และยืนหยัดอยู่แถวหน้าโดยไม่มีใครสามารถโค่นลงได้มาตลอดระยะเวลา 40 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งวงในปี 1981
โดยอัลบั้ม Metallica หรือที่สาวกหูเหล็กขนานนามอัลบั้มนี้ตามอัตลักษณ์ของปกที่ดำสนิทว่า The Black Album เป็นอัลบั้มชุดที่ 5 วางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 12 สิงหาคม ปี 1991 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของซาวด์ที่แตกต่างจาก 4 อัลบั้มแรก ที่หนักหน่วงระดับ Trash Metal แต่ The Black Album นั้นลดดีกรีความร้อนแรงลง แต่ยังคงไว้ซึ่งความหนักแน่นหนักหน่วงของซาวด์ และเสียงร้องของ James Hetfield ที่พลังยังคงเต็มเหนี่ยวเช่นเดิม
และด้วยการทำงานที่เข้าถึงผู้ฟังได้ง่ายกว่าอัลบั้มชุดก่อนๆ The Black Album จึงกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของวง โดยสามารถพาตัวเองขึ้นสู่อันดับ 1 ทั้งใน อเมริกา / สหราชอาณาจักร / สวิสเซอร์แลนด์ / นอร์เวย์ / นิวซีแลนด์ / เยอร์มัน / แคนาดา / และ ออสเตรเลีย
เฉพาะที่อเมริกาเพียงประเทศเดียว ยอดขายของอัลบั้มนี้ก็กวาดไปถึง 16,830,000 Copies ฟาดไป 16 แผ่นเสียงทองคำขาว โดยสร้างสถิติอัลบั้มที่ติดชาร์ทบิลบอร์ดผ่านหลัก 550 สัปดาห์ (หรือประมาณ 10 ปีครึ่ง) เป็นอัลบั้มที่ 4 ในประวัติศาสตร์บิลบอร์ด รองจากอัลบั้ม The Dark Side of the Moon ของ Pink Floyd ที่ครองอันดับ 1 มายาวนาน / อัลบั้ม Legend ของ Bob Marley and the Wailers / อัลบั้ม Journey’s Greatest Hits ของ Journey ตามลำดับ และคาดว่าปีนี้ที่ครบรอบ 30 ปี ก็น่าจะสร้างปรากฏการณ์และสถิติใหม่ให้กับอัลบั้มนี้อีกครั้ง
The Black Album เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของวง อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า วงเปลี่ยนแนวทางให้เบาลงจาก 4 อัลบั้มที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้นแฟนเพลงดั้งเดิมที่ติดตามพวกเขามาโดยตลอดก็ไม่ได้ผิดหวังที่พวกเขาลดระดับความหนักหน่วง ตรงกันข้าม พวกเขาก็ได้แฟนเพลงใหม่ ๆ ที่ชื่นชอบในอัลบั้มเข้มข้นกำลังดีอัลบั้มนี้เพิ่มขึ้น และกาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นยอดเยี่ยมครองใจร็อคเกอร์ได้ตลอดกาล
จากลิสต์อัลบั้ม All-Time ในหลายสถาบัน ต่างก็จัดอัลบั้มนี้รวมอยู่ในลิสต์แทบทั้งสิ้น และแน่นอนว่าบทเพลงอย่าง “Enter Sandman” “Sad but True” และ “Nothing Else Matters” ที่อยู่ในอัลบั้มนี้ก็เป็นเพลงยิ่งใหญ่ที่อมตะไม่เสื่อมคลายจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะ “Nothing Else Matters” ก็เพิ่งทำยอดวิวระดับ 1,000 ล้านวิวใน YouTube มาสด ๆ ร้อน ๆ
กระทั่ง 3 ทศวรรษผ่านไป อัลบั้มนี้ก็ประกายความยอดเยี่ยมผ่านศิลปินมากมายเป็นประวัติการณ์จำนวน 53 เบอร์ เพื่อขับขานตำนานแห่งเพลงร็อคอันยอดเยี่ยมนี้ ในอัลบั้มที่ชื่อ THE METALLICA BLACKLIST
1 ALBUM.
12 SONGS.
53 ARTISTS.
UNLIMITED POSSIBILITIES.
คือสโลแกนหลักของอัลบั้มชุดนี้ ที่ได้ศิลปินหลากแนวมากมายมาตีความใหม่อัลบั้มนี้อย่างล้นหลาม ตั้งแต่ MILEY CYRUS ไปจนถึง ELTON JOHN / IDLES ไปจนถึง PHOEBE BRIDGERS ซึ่งศิลปินต่างสร้างความแตกต่างของบทเพลงจนเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เปิดกว้างทางดนตรีสุดเจ๋งอัลบั้มหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย โดยซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยไปนั้นก็คือ “Nothing Else Matters” ที่ได้ MILEY CYRUS มา Feat. ร่วมกันกับ WATT, ELTON JOHN, YO-YO MA, ROBERT TRUJILLO, CHAD SMITH
อัลบั้ม THE METALLICA BLACKLIST นี้จะมาในรูปแบบ 4 CD / 8 LP และ สตรีมมิ่งจะได้ฟังพร้อมกันในวันที่ 10 กันยายนนี้ สาวกห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
ติดตามรายชื่อศิลปินและเพลงทั้งหมด ได้ที่เว็บ Official เว็บนี้ได้เลยที่ Metallica.com
ข้ามมาอีก 1 อัลบั้ม กับงาน Art Rock / Experimental Rock อมตะ อัลบั้มต้นๆ ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1967 ของวงปัญญาชน The Velvet Underground ร่วมงานกับสาวมั่นในยุคนั้นอย่าง Nico ร่วมกันทำอัลบั้มสุดอาร์ตหลอนโอสถ โดยการผลักดันของเจ้าพ่อ Pop Art อย่าง Andy Warhol พร้อมกับปกกล้วยบนพื้นขาว ที่กลายเป็นศิลปะบนปกอัลบั้มคลาสสิคลำดับต้น ๆ ของโลก
The Velvet Underground & Nico คืออัลบั้มที่รวมความเมามายทางดนตรีจากฤทธิ์ของยา ภายใต้เนื้อหาที่กล้าหาญไม่ว่าจะเป็นการเล่าถึงการใช้ยาเสพติด การค้าประเวณี ซาดิสม์ มาโซคิสต์ และความเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการเพลงเพราะในยุคนั้นยังไม่มีใครกล้าจนำเสนอเนื้อหาต้องห้ามแบบนี้ออกมา มันทะลุเพดานและนับเป็นอัลบั้มที่มาก่อนกาล นับอายุถึงปัจจุบันก็ 54 ปีเลยทีเดียว
แม้ว่าท้ายที่สุด เมื่อตอนออกขายครั้งแรก The Velvet Underground & Nico จะไม่ได้รับความนิยมจากคนฟัง เนื่องจากมันเซอร์และล้ำยุคจนเกินไป ซึ่งไม่แปลกใจเท่าไหร่ ท่ามกลางยุคสมัยที่ดนตรี Rock & Roll ยังเพิ่งจะตั้งไข่ และมีวงในกระแสอย่าง The Beatles ที่ทำอัลบั้มเมามายแบบนี้เช่นกันอย่าง Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ที่ฮอตกว่า แต่ทว่า The Velvet Underground ก็สั่งสมคำชื่นชมที่อยู่เหนือกาลเวลาจนนำพาให้อัลบั้มนี้ขึ้นไปสู่ระดับความคลาสสิคและยอดเยี่ยมในกาลต่อมา
และกาลเวลาก็ข้ามมาสู่ยุคปัจจุบัน คงไม่ต้องกล่าวถึงมากมายว่า The Velvet Underground & Nico สร้างแรงบันดาลใจกับศิลปินทั่วโลกขนาดไหน เพราะล่าสุด ศิลปินมากหน้าหลายตา มาร่วมกันทำอัลบั้ม Tribute ในชื่อ “I’ll Be Your Mirror: A Tribute to The Velvet Underground & Nico” ที่แม้จะไม่ได้เยอะในปริมาณเท่ากับของ Metallica แต่ในด้านคุณภาพนั้นศิลปินที่มา Tribute นั้นก็เจ๋งไม่แพ้กัน โดยซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยมานั่นก็คือ “Run Run Run.” โดย Kurt Vile & The Violators ที่เปลี่ยนเพลงเมามายให้กลายเป็นร็อคครบเครื่องอย่างน่าอัศจรรย์
โดย Kurt Vile ได้ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ว่า
“Lou Reed / Velvet Underground อาจเป็นอิทธิพลคลาสสิกร็อคยุคแรก ๆ ของผม ผมชอบอัลบั้มนี้มาก ครั้งแรกที่ได้ยินพวกเขาเล่นมันโดนใจผมอย่างจัง มันเป็นเพลงที่โคตรดิบและเป็นธรรมชาติ ไม่แปลกใจเลยที่อัลบั้มนี้จะส่งผลให้ศิลปินบนโลกนี้จวบจนปัจจุบัน”
นอกจากนั้น อัลบั้ม “I’ll Be Your Mirror: A Tribute to The Velvet Underground & Nico” ยังมีศิลปินเจ๋ง ๆ อย่าง Michael Stipe แห่ง R.E.M. / Thurston Moore แห่ง Sonic Youth feat. Bobby Gillespie แห่ง Primal Scream / Matt Berninger แห่ง The National ไปจนถึง Iggy Pop และศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Fontaines D.C. / Sharon Van Etten และ Angel Olsen อีกด้วย
ซึ่งอัลบั้มนี้ จะปล่อยพร้อมกันทางสตรีมมิ่งในวันที่ 24 กันยายนนี้ โดยรายชื่อศิลปิน และ เพลงที่ร้องมีดังนี้
นอกจากนั้น การเปิดตัว I’ll Be Your Mirror ถือเป็นการเริ่มต้นแคมเปญจากกิจกรรม The Velvet Underground ในปี 2021 นี้ ในเวลาเดียวกับที่ Todd Haynes ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นผู้กำกับ The Velvet Underground สร้างผลงานสำหรับ Apple Original ที่ทุกคนต่างรอคอย ภาพยนตร์ที่เพิ่งฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2564 เพื่อเป็นการยกย่องชมเชยและถือเป็นการบุกเบิกพื้นที่สารคดีครั้งแรกของ The Velvet Underground จะเปิดตัวให้รับชมในโรงภาพยนตร์และ Apple TV+ ทั่วโลกวันที่ 15 ตุลาคมนี้
ถือเป็นอัลบั้มคารวะศิลปินในตำนานที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าคุณจะแนวร็อคหนักแน่น หรือร็อคหลอนยา ก็ควรหาอัลบั้มทั้ง 2 ชุดนี้มาฟังให้ได้