Entertainment
DAMN! รู้จัก Kendrick Lamar แรปเปอร์คนแรกของโลกที่ได้รางวัล Pulitzer Prize และวันที่เขากลายเป็นพระเจ้าคุ้มครอง Compton
By: GEESUCH July 3, 2022 216000
ถ้าจะให้พูดถึงแรปเปอร์ชื่อ Kendrick Lamar สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามหรือชื่นชอบดนตรี Hip-Hop เป็นพิเศษ เขาคือศิลปินที่มีรางวัลการันตีตั้งแต่ปี 2015-2022 มากถึง 161 รางวัล! กวาดมาแล้วทุกสาขาในสายดนตรีของตัวเอง ที่เจ๋งมากคือเขาเคยเข้าชิง Grammy ในปีเดียว 11 สาขา จนเกือบทำลายสถิติอัลบั้มเข้าชิงสูงสุดตลอดกาลปี 1982 ของ Michael Jackson มาแล้ว
นอกจาก AKA. ที่ทั่วโลกรู้จักกันดี เคนดริกยังถูกเรียกด้วยอีกหลายชื่อซึ่งล้วนมีเพื่อการันตีความเก่งของเขา ทั้ง ‘นักกวี’, ‘อัจฉริยะในรุ่นเดียวกัน’ แต่สำหรับผู้เขียนที่เป็นแฟนคลับติดตามผลงานเคนดริกมาหลายปี จะขอเรียกด้วยชื่อที่ตั้งเองว่า ‘อัจฉริยะผู้อุตสาหะ’ สิ่งนี้รู้สึกได้เลยจากผลงานพาร์ทดนตรีอันน่าทึ่ง เต็มไปด้วยจินตนาการ และ Another Level ศิลปินคนอื่นมากๆ ทั้งการใช้ดนตรีแนวอื่นอย่าง Fast Swing Jazz หรือ Old Funnky ทำบีทฮิปฮอปได้อย่างลงตัว (รีเสิร์ชอย่างหนักหน่วงแน่นอน) ในขณะที่บีทเพลงแบบฮิปฮอปจ๋าๆ ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนตลอดเวลา
หลังจากที่หายไป 5 ปี วันนี้เคนดริกกลับมาแล้ว กับอัลบั้มใหม่ชื่อยาว Mr.Morale & The Big Steppers เดี๋ยวเราจะพูดถึงสิ่งที่น่าสนใจในอัลบั้มนี้กัน แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่จะต้องแก้ไขก่อน ถ้าบรรทัดที่แล้วทำให้ผู้อ่านคิดว่าผมติดตามเคนดริกเพราะพาร์ทดนตรีอย่างเดียว ก็จะขอเขียนแก้ตัวใหม่ในบรรทัดนี้เลย เพราะไรหม์ (Rhyme) คือเหตุผลหลักที่ทำให้ผมเริ่มติดตามเคนดริก แต่แทนที่จะชมด้วยตัวเอง เราไปอ่านสิ่งที่ Pulitzer Prize เขียนถึงตอนมอบรางวัลดีกว่า
“นี่คือผลงานอัลบั้มที่เรียกว่าอัจฉริยะ ซึ่งใช้ภาษาท้องถิ่นอันเป็นของแท้ และมีจังหวะจะโคนที่แสดงภาพความซับซ้อนของชีวิต Modern African-American ได้อย่างชัดเจน”
โดยปกติแบบที่เป็นเสมอมานั้น รางวัล Pulitzer Prize สาขาดนตรีจะไปตกอยู่กับสายคลาสสิกหรือแจ๊ซมาตลอด นับแต่ที่เคยแจกครั้งแรกตอนปี 1943 ส่วนในปี 2018 เคนดริกคว้ารางวัลนี้ด้วยอัลบั้ม DAMN. และทำให้เขากลายเป็นแรปเปอร์คนแรกของโลกที่ได้มันมา
การได้เป็นคนแรกของประวัติศาสตร์นำมาซึ่งความปลื้มปิติ และความรู้สึกหลายอย่าง ตัวเคนดริกเองเคยได้ยินชื่อรางวัลนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ก็มีความคิดมาตลอดว่าศิลปินฮิปฮอปควรได้รับรางวัลนี้ตั้งนานแล้ว เพื่อตอกย้ำให้ผู้คนที่อยู่นอกวัฒนธรรมหรือชุมชน ที่มองว่าดนตรีฮิปฮอปเป็นเพียงแค่การแรป แรป แรป จบ เห็นว่าสิ่งที่แรปออกไปคือความเจ็บปวด รอยแผลของจริง และสำคัญเหนืออื่นใดคือมันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง
ในสายตาเคนดริก รางวัลนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันต่อชาวโลกด้วยว่า ‘ฮิปฮอป’ คือรูปแบบหนึ่งของศิลปะอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผลงานของศิลปินที่เขานับถืออย่าง Tupac, Jay Z, Rakim, Eminem, Q-Tip, Big Daddy Kane, Snoop และคนอื่นๆ
ถ้าเทียบกับแรปเปอร์หลายคน เคนดริกเป็นศิลปินที่มีอัลบั้มเต็มน้อยมาก ตั้งแต่ปี 2011 ที่ปล่อยอัลบั้มแรก Section.80 จนถึงปี 2022 ที่ปล่อยอัลบั้มล่าสุด Mr.Morale & The Big Steppers รวมทั้งหมดแค่ 5 อัลบั้มเท่านั้น เคนดริกอาจจะมีเหตุผลอธิบายเรื่องนี้ยังไงไม่รู้ แต่สำหรับแฟนคลับแล้วมันคือการคราฟต์งานอย่างละเมียดเท่าที่จะเป็นได้
Album: Mr. Morale & the Big Steppers
Artist: Kendrick Lamar
Genre: Conscious Hip-Hop
Label: PGLang
Tracks: 19
Time: 1 hr 18 min
Release date: 2022
เมื่อฟังทั้ง 19 เพลงในอัลบั้มนี้จบแล้ว เข้าใจเลยว่าทำไมสื่อต่างประเทศถึงเขียนระบุแนวเพลงของเขาไม่ได้ แล้วใส่คำว่า Conscious Hip-Hop ให้แทน เอาจริงๆ ผลงานชุดนี้ใกล้กับคำว่า World Music อยู่เหมือนกัน เพราะแต่ละเพลงจะมีแนวดนตรีที่ต่างกันไปเลย ถึงขนาดที่บางเพลงอาจจะเรียกว่าฮิปฮอปได้ยากเลยด้วยซ้ำ
สื่อออนไลน์ Vulture อธิบายว่าการกลับมาในอัลบั้มนี้ของเคนดริก คือการกลับมาด้วยสภาวะอันสงบนิ่ง หลังจากที่ได้รับการบำบัดกับตัวเอง และเพื่อปฎิเสธชื่อเสียงที่เคยถูกยกย่องหลายอย่างมาตลอดหลายปี ทั้งการเป็นกระบอกเสียงแห่งยุคสมัย หรือ แรปเปอร์ที่เก่งที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ ปฎิเสธสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นเพื่อกลับมาเป็นเพื่อนที่ดี, เป็นลูกที่ดี หรือคนดีที่ขึ้นในความสัมพันธ์ของใครสักคน ซึ่งคำว่า คติธรรม (Morale) ในที่นี้ จึงเปรียบได้ดั่งหงส์อันสง่างามที่ว่ายลงไปในความไม่สมบูรณ์แบบในตัวเขา
ที่อัลบั้มนี้มีจำนวนมากถึง 19 เพลง เพื่อแบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วนที่ 1 (Track 1-9) คือช่วงเวลาแห่งการบำบัดกับตัวเอง กับสิ่งที่เขาได้เจอมาในช่วงเวลา 5 ปีที่หายไป และเพื่อก้าวผ่านสู่ข้างหน้า ในส่วนที่ 2 (Track 10-19) คือการเผชิญหน้ากับด้านมืดของเขาเอง
จากคอนเซปต์ของอัลบั้ม จึงสามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมการฟังเพลงในชุดนี้จึงให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย มีพื้นที่ให้ปล่อยวางจิตใจเยอะ แม้กระทั่งในเพลงที่ให้ความรู้สึกหนักหน่วง และในกระบวนการทำดนตรีแล้ว การจัดตำแหน่งเสียงที่มิกซ์และการดีไซน์รูปแบบเสียงก็รองรับแนวคิดทั้งหมดได้อย่างลงตัว อีกอย่างที่ต้องชมมากๆ คือการคิดสัดส่วน ‘ไรหม์’ อันสมบูรณ์แบบ ทั้งสัดส่วนและจังหวะดีขึ้นจากผลงานก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด
เป็นอัลบั้มของเคนดริกที่อยากแนะนำให้คนที่ต้องการสิ่งแปลกใหม่ ทว่าไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไปลองฟังกันดูนะ
สำหรับคนที่ฟังเพลงของเคนดริกอยู่แล้ว จะต้องเคยได้ยินคำว่า Compton อยู่ในเนื้อเพลงหลายครั้งมากๆ คำนี้หมายถึงชื่อเมือง Compton ใน California ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง และในวันที่ไต่ขึ้นสู่จุดสุด เคนดริกยังคงพาจุดเริ่มต้นไปกับตัวเองด้วย ในภาษาไทยเรียกว่า ‘ไม่ลืมกำพืช’ แต่สำหรับเคนดริกอาจจะต่างกันนิดหน่อย ตรงที่ไม่ใช่แค่ไม่ลืมว่าตัวเองมาจากไหน ตั้งแต่วันแรกที่แรป เขาตั้งใจทำมันเพื่อ Compton มาโดยตลอด อะไรทำให้เขาผูกพันกับบ้านเกิดขนาดนั้น กรอเทปกลับไปนาทีที่ 00:00 กัน
ครอบครัวของ Kendrick Lamar Duckworth ย้ายจากชิคาโกมาอยู่แคลิฟอร์เนียตอนปี 1984 (สามปีก่อนเคนดริกเกิด) พ่อของเคนดริก Kenny เป็นแก๊งสเตอร์ข้างถนนมาก่อน แต่เพราะแม่ของเคนดริก Paula จะขอเลิกถ้าเคนนี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เขาจึงลาออกจากชีวิตแก๊งทันที แล้วครอบครัว Duckworth ก็มาลงหลักปักฐานที่เมือง Compton เพราะพอลล่าหวังจะให้คนที่เธอรักมีชีวิตดีขึ้น และดูเหมือนว่า DNA ในส่วนนี้ของเธอจะถ่ายทอดมาถึงเคนดริกในเวลาต่อมา
เคนดริกมีความทรงจำที่ดีใน Compton สนุกตามประสาเด็ก ปั่นจักรยาน เล่นชิงช้า จนกระทั่งอายุได้ 5 ขวบ ทุกอย่างกลับด้านเหมือนโดนดูดเข้าไปในโลกคู่ขนาน … เคนดริกได้เห็นคนตายครั้งแรก วัยรุ่นขายยาคนนึงถูกยิงตายหน้าอพาร์ทเมนต์ ทุกอย่างผ่านสายตาเด็กชาย 4 ขวบที่กำลังเกาะหน้าต่างดูตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์
“เมื่อเกิดฆาตกรรมขึ้นเป็นครั้งที่ 2 3 และ 4 คุณก็จะชินชากับสิ่งที่เกิดขึ้นไปเอง”
เคนดริกให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์คนตายครั้งที่สองในชีวิต ตอนอายุ 8 ขวบ ปัง! ปัง! เสียงปืนดังตรง Drive Thru ของร้าน Tam’s Burgers ที่แฮงเอาท์สุดโปรดของเขาใน Compton สถานที่ในความทรงจำวัยเด็ก ที่มีภาพของ Louisiana Fried Chicken จานโปรดอยู่ในนั้น แต่นับจากนี้ภาพปืนและเขม่าควันนี้ก็จะมาคู่กันทุกครั้งที่นึกถึง แต่ยังไม่จบ ความรุนแรงของวันนั้นมีระลอกต่อมาถึงช่วงเย็น ในขณะที่เคนดริกใช้เวลาดูทีวีอยู่กับพอลล่า ข่าวของ Rodney King ที่ถูกตำรวจใช้ความรุนแรงเกิดกว่าเหตุจนเราแทบจำหน้าเดิมของเขาไม่ได้กำลังฉายอยู่ “ตำรวจทำร้ายคนดำ แล้วทุกคนก็โกรธมาก ผมเข้าใจแล้วว่าเรื่องเป็นยังไง”
และแล้วความรุนแรงใน Compton ก็เกิดขึ้นกับเคนดริกโดยตรงตอนอายุ 17 ขณะที่นั่งรถเล่นอยู่กับเพื่อน เขาโดนตำรวจเรียกให้จอดเพราะว่ามีบางอย่างผิดกฎหมายในรถ เพราะรู้ว่าผิด พวกเขาจึงทำตามสิ่งที่ตำรวจสั่งทุกอย่าง แต่จู่ๆ ตำรวจก็ชักปืนขึ้นมาจ่อที่เขากับเพื่อนทั้งๆ ที่ทั้งคู่ไม่ได้ขัดขืนหรือทำอะไรซึ่งผิดจากคำพูดเจ้าหน้าที่คนนั้นแม้แต่นิดเดียว
“เวลาที่มีคนตายเราจะถามว่าใครเป็นคนทำ แล้วคราวนี้มันคือตำรวจ ตำรวจคือแก๊งที่ใหญ่ที่สุดใน Compton คุณไม่มีวันชนะพวกเขาได้”
ปัง! ปัง! เสียงนี้กลับมาอีกครั้งในกลางดึกคืนหนึ่ง ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์ขับรถเล่น ต้นตอของเสียงห่างจากบ้านของเขาไม่ถึง 5 นาที แต่ที่ต่างไป ครั้งนี้คนที่ถูกยิงตายคือเพื่อนของเขา แต่ที่ยังคงเหมือนเดิมคือตำรวจเป็นคนทำ ความโกรธแค้นฝังอยู่ในใจเคนดริก เขาสะดุ้งตื่นเพราะรู้จริงๆ แล้วว่าความรู้สึกของการถูกกดขี่เป็นอย่างไร เจ็บปวดขนาดไหน มันถึงเวลาแล้วที่ต้องตะโกนออกมา
Kendrick Lamar เป็นแรปเปอร์ที่พูดถึงไอเดีย Express Yourself ทุกครั้งเมื่อถูกสัมภาษณ์ เพลงของเขาเล่าเรื่องราวของตัวเอง สถานที่ที่รู้จัก ผู้คนที่เคยใช้ชีวิตด้วย ผู้คนผู้ซึ่งถูกทำร้ายและกดขี่อย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา DNA จากพอลล่า หลอมรวมกับสภาพแวดล้อมตลอดชีวิต ทำให้เขาต้องการเปลี่ยนแปลงความรุนแรงในสังคม ผู้คน และบ้านเกิดให้ดีขึ้น เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาแรปถึงบ้านเกิดตลอดเวลา บ้านเกิดที่ชื่อว่า Compton
อัลบั้ม good kid, m.A.A.d city (2012) มีเพลงที่เล่าถึงเหตุการณ์ตอน Tam’s Burgers ตอนเขาอายุ 8 ขวบ
อัลบั้ม To Pimp a Butterfly (2015) มี 2 เพลงที่เขาถ่ายเอ็มวีฉายภาพของ Compton คือ king kunta กับ i
อัลบั้ม DAMN. (2017) เพลง Element แต่งเพื่อย้ำจุดยืนในความรักที่มีให้ต่อบ้านเกิด “I be hangin’ out at Tam’s, I be on Stockton / I don’t do it for the ‘Gram, I do it for Compton.”
(นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น)
บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นในการแรปของเคนดริกเกิดขึ้นในวิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียนมัธยม Centennial High School จากการที่ครูของเขาให้แต่งบทกวีเป็นการบ้านส่ง เคนดริกจึงเคารพสถานที่แห่งนี้มาก เขาเคยบริจาคเงินให้โรงเรียนมัธยมของตัวเอง เพื่อให้เด็กที่นี่ไม่ใช้ชีวิตเป็นผู้ค้ายา อาชญากร หรือลงเอยกับสิ่งเลวร้าย ในแบบที่สถานที่นี้ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากๆ จากจุดเริ่มต้นของผม จนไม่รู้ว่าจะซึมซับทั้งหมดอย่างไรเลย คิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือกลับไปที่ Compton โอบกอดกับผู้คนที่เติบโตมาด้วยกัน พร้อมเล่าเรื่องของผู้คนที่ผมไปพบเจอมาทั่วโลกให้พวกเขาฟัง”