Entertainment

SPOTLIGHT MY SOUL: ส่องจิตวิญญาณ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ ผ่านดนตรีและแฟชั่นที่มันส์ไปด้วยกัน

By: PEERAWIT April 6, 2018

เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเป็นวัยรุ่นยุค ’90s – 2000 กันมาก่อน…

เปิดเรื่องมาแบบนี้เราไม่ได้มีเจตนาแซวว่าคุณกำลังเข้าสู่ช่วง ‘วัยรุ่น(ใหญ่)’ แล้ว แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ตั้งใจจะบอกว่าถ้าใครที่เป็นวัยรุ่นยุคนั้นก็น่าจะเติบโตมาพร้อมกับเพลงแนว Disco, Soul, Funk จากผู้ชายที่ cool ที่สุดคนหนึ่งซึ่งก็คือ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ หรือ บุรินทร์ Groove Riders ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเขาแจ้งเกิดในทันทีนับตั้งแต่อัลบัมแรกของวงที่ใช้ชื่อว่า DiscoVery ปล่อยออกมาเมื่อปี 2544

ทั้งงานเดี่ยวของเขา และกับวง Groove Riders ทำให้เราดิ้นกระจายมานาน และไม่ได้มีแต่เพลงแดนซ์มันโคตรเท่านั้น เพลงซึ้ง ๆ ก็ถูกนำไปใช้ในงานวิวาห์กันเป็นว่าเล่น ส่วนเพลงเศร้าทำน้ำตาร่วงก็ทำงานได้ดีเหลือเกิน ซึ่งเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ติดหูทุกคนก็คือเสียงร้องของคุณบุรินทร์ที่มีทั้งความนุ่มลึก mood & tone ที่เข้ากับแนวเพลง ยังไม่รวมลีลาบนเวทีและสไตล์การแต่งตัวที่จัดจ้าน

สำหรับผลงานทางด้านดนตรีของเขากับ Groove Riders มีสตูดิโออัลบัม 3 ชุด ไล่มาตั้งแต่ DiscoVery (2544) , DiscoVery2 (2545) และ The Lift (2550) ส่วนอัลบัมพิเศษก็มี The Lift (Karaoke) (2551) , In The Groove (อัลบั้มพิเศษแถมกับหนังสือ GR In The Groove) (2551) , Electric Eel (Remix Album) (2552) และ Last Call For GR007 (Live Concert) (2552) ขณะที่ผลงานเดี่ยวมีอัลบัมเดียวคือ Gran Turismo (2553) ยังไม่รวมเพลงพิเศษอีกหลายเพลงที่ชายคนนี้ใช้เสียงพิฆาตใจคนฟัง แต่จากนั้นเขาก็หายไปจากการทำเพลงใหม่ออกมาถึง 7 ปี

มาวันนี้เชื่อว่าใครหลายคนคงจะได้ฟังเพลง ‘Spotlight’ ซิงเกิ้ลล่าสุดของบุรินทร์แล้วหลังจากรอคอยกันมานาน หนนี้เขาย้ายมาสร้างสรรค์ผลงานกับค่าย Muzik Move Records ด้วยดนตรีแนว Electro Soul (อิเล็กโทร โซล) โดยได้ อะตอม ชนกันต์ และ Cyndi Seui มาร่วมงานด้วย แถมอัลบัมใหม่ที่บุรินทร์กำลังทำอยู่ก็ได้ศิลปินระดับโลกมาช่วยในพาร์ทของดนตรี โดยเฉพาะ Nathan East สุดยอดมือเบสที่เคยร่วมงานกับศิลปินระดับโลกอย่าง Michael Jackson, Eric Clapton, Stevie Wonder และ Daft Punk ทำเราอึ้งไปเลย

 

แต่ถ้าจะให้เราแชร์เพลงใหม่ของบุรินทร์อย่างเดียวมันก็จะน้อยไปหน่อย ไหน ๆ หนึ่งในไอดอลกลับมามีผลงานใหม่ทั้งทีก็ต้องบุกไปคุยกับเขาให้ลึกไปเลยดีกว่า เริ่มต้นมานักร้องนำเสียงนุ่มก็เล่าให้เราฟังถึงงานใหม่ของเขาเลยว่า…

“เพลง Spotlight ทำกันมาเกือบ 4 ปี ที่จริงแพลนว่าจะออกเพลงนี้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว แต่โอกาสและเวลาไม่ค่อยพร้อม ติดภาระหน้าที่ในการทำงานหลาย ๆ อย่าง ตอนนั้นเพลงนี้ถูกทำเกือบจะเสร็จอยู่แล้วแต่ก็เก็บไว้อยู่ ที่จริงก็มีอีกหลายซิงเกิ้ลที่พร้อมจะออกเหมือนกัน แต่ตอนนั้นจังหวะไม่ได้จริง ๆ ครับ จนเวลาผ่านมาถึงกลางปีที่แล้ว (2560) ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว มันเก็บไว้นานแล้ว สิ่งที่คิดว่าใหม่ในตอนนั้นก็เริ่มไม่ใหม่แล้ว ควรจะปล่อยออกมาดีกว่า ก่อนหน้านี้ผมออกมาทำเองประมาณปีนึง สุดท้ายก็มาเจอข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้จาก Muzik Move กับรุ่นพี่ที่เรารู้จักกันมากว่า 30 ปี คือ พี่จุ๊บ วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี ตอนนั้นคุยกันไปมา สุดท้ายดีลจบภายใน 5 นาที”

“Spotlight เป็นเพลง Soul ที่มีกลิ่นของยุคปัจจุบันกับยุค ’80s เครื่องไม้เครื่องมือที่นำมาใช้ในเพลงนี้มีความแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยทำมาตลอดกว่า 10 ปี เมื่อก่อนผมจะมีเครื่องเป่ากับเครื่องสาย ครั้งนี้ซาวด์ที่ได้ยินจะเป็นซาวด์ที่ทันสมัย พระเอกของการนำเรื่องคือ Synthesizer หรือพวกคีย์บอร์ดต่าง ๆ ซึ่งผมก็ไปตามหาพวกอุปกรณ์ที่ถูกยุคถูกสมัย เป็นเครื่องเก่า ๆ ที่เราไม่เคยใช้มาก่อน วิธีการอัดเราก็ใช้วิธีการอัดแบบ Analog ผมอยากจะทำอะไรที่มันแตกต่างในแบบที่เราชอบ ข้อดีของ Analog คือมันจะมีซาวด์ที่นุ่มนวลกว่า ลึกกว่า ส่วนตัวผมรู้สึกเหมือนกับฟังจากแผ่นเสียง ผมแฮปปี้กับเพลงนี้ ตอนนี้ก็สามารถไต่ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทได้แล้ว”

หายไป 7 ปี อะไรคือสิ่งที่ดึงคุณบุรินทร์กลับมาสร้างผลงานดนตรีอีกครั้ง ?

“เหตุผลหลักคือความชอบในดนตรี มันเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราขาดไม่ได้เหมือนข้าวเหมือนน้ำเหมือนที่อยู่อาศัย ดนตรีมันอยู่กับผมทุกวันตลอดมา ตื่นเช้ามาก็ต้องเปิดเพลงฟัง ขับรถก็ต้องฟังเพลง อยู่บ้านก็ฟังเพลงตลอด มีแค่ช่วงทำงานที่ไม่ได้ฟัง ถ้ามีโอกาสผมก็จะเปิดเพลงฟัง หา input ใหม่ ๆ หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องดนตรี”

 

ถ้าหากดูจากผลงานโดยรวมของคุณบุรินทร์แล้ว เราจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานกันระหว่างแนว Disco, Soul และ Funk แต่ที่เขาหลงใหลและติดใจมากที่สุดคือดนตรี Soul ที่มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายยุค ’50s จนถึงต้นยุค ’60s ที่มีการผสมผสานระหว่างดนตรีแนว African-American, Gospel, R&B และ Jazz เข้าไว้ด้วยกัน

“ถ้าเป็นนักดนตรีก็อาจจะชอบเพลง Blues เพลง Jazz เพราะมันสามารถปลดปล่อยอารมณ์ ปลดล็อกตัวเองออกมาโดยที่มีคอร์ดไม่กี่คอร์ด นั่นคือในแง่ของนักดนตรี ถ้าในแง่ของนักร้องผมว่าเพลง Soul เป็นเพลงที่นักร้องสามารถปลดปล่อยอารมณ์ไปตามบทเพลงนั้น ๆ ตามเรื่องราวนั้น ๆ มันไม่มีข้อจำกัดว่าต้องร้องแบบไหน แต่ต้องถ่ายทอดความรู้สึกออกมาจากข้างใน ผมคิดว่าร้องแนวนี้สนุก ไม่จำเจ ก็เลยเป็นสิ่งหนึ่งที่ตัวเองเลือกฟังมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและก็ยังชอบอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ผมไม่เคยปิดกั้น ดนตรี Jazz, Blues, Rock ผมก็ชอบ หรือ Eletronic บางแนวผมก็ชอบเหมือนกัน ปัจจุบัน Soul ถูกแตกแขนงออกไปมาก แต่สุดท้ายมันก็คือดนตรีที่ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกภายในใจ ส่วนศิลปินแนว Soul ที่ผมชอบมากที่สุดคือ Stevie Wonder, Michael Jackson และ Jamiroquai

ได้รับฉายาว่า ‘เจ้าพ่อ Disco เมืองไทย’ มาได้อย่างไร ?

“ตอนที่ผมทำกับ Groove Riders เราทำดนตรีแนว Soul ในรูแบบ Disco คือมีเครื่องเป่า มี Percussion ต่าง ๆ มีเครื่องสาย ซึ่งดนตรีมันถูกสร้างมาให้เต้นรำ ตอนนั้นผมอินกับ Disco และก็อยากจะทำอะไรที่มันเป็นทางเลือกสำหรับผู้ฟัง ตอนนั้นไม่มีแบนด์ในเมืองไทยวงไหนเล่นแนวนี้เลย การได้รับฉายาเจ้าพ่อ Disco เมืองไทยมาก็รู้สึกโอเคครับ ไม่ได้เป็นเจ้าแม่ Disco ก็โอเคแล้ว (หัวเราะลั่น)

 

อย่างที่เราเห็นกัน สิ่งที่คุณบุรินทร์มีไม่ใช่แค่การร้องและ performance บนเวทีที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ยังมีความ cool คู่กับสไตล์ที่ชัดเจน ทุกครั้งที่เราเห็นเขาขึ้นเล่นคอนเสิร์ตหรือปรากฏตัวในสื่อต่าง ๆ เราก็จะได้เห็นชายที่แต่งตัวจัดจ้าน มาดเท่ เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าจับไมค์และร้องออกไปด้วยจิตวิญญาณ

“ดนตรีกับแฟชั่นมันเป็นสิ่งที่คู่กัน คนที่ชอบฟังดนตรีหลาย ๆ คนก็ชอบแฟชั่น และการที่เราทำอาชีพศิลปินเราก็ต้อง perform มันต้องมี concert ต้องมี event ต้องมี workshop หรืออะไรต่าง ๆ ที่เราอยากนำเสนอศิลปะของเรา ผมเชื่อในประโยคที่ว่า ‘People hear what they see.’ บางทีการได้ยินอย่างเดียวอาจจะอธิบายไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้เห็นด้วยก็จะเข้าใจทั้งหมดในสิ่งที่ศิลปินอยากให้เห็น ไม่ใช่แค่มิติเดียวแต่มันเป็นหลายมิติ”

“ผมออกอัลบัมแรกในยุค Alternative ตอนนั้นศิลปินในเมืองไทยส่วนใหญ่ต้องแต่งตัวให้เรียบที่สุด ง่ายที่สุดขึ้นเวที มีทั้งเสื้อยืดกางเกงยีนส์ และเสื้อยืดกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบหรือสนีกเกอร์ เราเลยคุยกันว่า เห้ย ถ้าดนตรีเราแตกต่างขนาดนี้แล้วในยุคนั้นก็ต้องแต่งตัวให้แตกต่าง แต่ถ้าจะให้แต่งแบบ Disco ยุค ’70s เราก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนั้น เราอยากจะเป็น Disco ในยุคใหม่ ก็เลยคิดว่าต้องลองทำอะไรใหม่ ๆ ชุดแรกก็เลยหยิบแว่นกันแดด ใส่สูท สวมแจคเก็ต พอมาถึงอัลบัมที่ 2 ก็ใส่โอเวอร์โคทกับหมวกท็อปแฮต จนอัลบัม 3 ก็บานปลาย มีเฟอร์กับอะไรอีกเต็มไปหมด ซึ่งมันถูกพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้ชมที่มาดูเราได้อรรถรสที่ครบรส ได้เสพทั้งดนตรี ดู performance และได้เห็นแฟชั่นของเราด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำสม่ำเสมอมาตลอด”

“ผมพูดเสมอว่าโชว์ต้องเป็นโชว์ ต้องไม่ใช่อะไรที่คนดูมาฟังดนตรีเสร็จแล้วกลับบ้านไป”

Style Direction ของอัลบัมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?

“อัลบัมใหม่ต้องเป็นอะไรที่มันแตกต่างจากสิ่งที่เคยทำมา เพลง Spotlight เป็นเพลงแรกและเป็นเพลงที่สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของอัลบัมใหม่ได้ชัดเจนที่สุด มี Synthesizer เป็นพระเอก จากวงดนตรีที่มีเครื่องเป่า เครื่องสายหลายชิ้นจะถูกเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในอัลบัมใหม่ ผมมองว่าพอเราโตขึ้นบางทีของมันก็ไม่ต้องเยอะก็ได้ ของน้อย ๆ แต่มันกลมกล่อมมันก็สามารถอยู่ไปได้นาน ผมเคยอยู่กับการทำดนตรีที่ใช้องค์ประกอบทั้งดนตรีและแฟชั่นเยอะ ๆ มาแล้ว ถ้าผมยังอยากให้ใหญ่ขึ้นไปอีกมันก็ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็จะอยู่ที่เดิม ก็เลยย่อไซส์ลงมาแต่ยังอยู่ในความกลมกล่อมและมีคุณภาพที่เราพอใจ”

“ส่วนเรื่องสไตล์แฟชั่น ที่ผ่านมาผมอยู่กับสีเข้ม ๆ คลาสสิค ๆ มาตลอด พอมาถึงชุดนี้สีสันมันจะชัดเจน มีกลิ่นของยุค ’80s ที่มีสีสันจี๊ดจ๊าด ก็เลยใช้ direction นี้เพื่อสะท้อนแนวดนตรีที่ทำออกมาด้วย จะใช้สีเหลือง สีเขียว ชมพู ฟ้า ซึ่งผมสนุกกับการที่ได้แต่งตัวให้แตกต่าง แล้วครั้งนี้ก็ได้ร่วมงานกับ RAMS ซึ่งมันเป็นพรหมลิขิตจริง ๆ “

อะไรที่ทำให้ตัดสินใจร่วมงานกับ RAMS ?

“ผมมีโอกาสได้ไปเจอกับน้อง 2 คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนที่งาน ๆ หนึ่ง ก็คือ กอล์ฟ กับ มิเชล พอคุยไปคุยมารู้สึกถูกคอกัน ก็เลยมาคุยกันเรื่องเสื้อผ้า โชคดีที่ทั้งคู่มีรสนิยมเรื่องการแต่งตัวที่ดี และก็ทำร้าน RAMS อยู่ด้วย ซึ่งผมคิดว่าร้านนี้ไม่ใช่ร้านทั่วไป แต่เป็นร้านที่เจาะลึกความชอบของสุภาพบุรุษจริง ๆ สุดท้ายก็ได้ทำงานร่วมกัน อย่างชุดที่ใส่อยู่นี้ RAMS ก็ทำให้ เรามานั่งเลือกผ้ากันตั้งแต่แรก สนุกตรงที่เราได้คิดอะไรร่วมกัน ผมชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนั้น สุดท้ายเราก็พัฒนาร่วมกัน และก็ออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นในซิงเกิลแรก และจะยิ่งสนุกขึ้นไปอีกในเพลงต่อ ๆ ไป ”

“ผมชอบร่วมงานกับคนที่ถูกใจกัน อย่างแรกต้องคุยกันรู้เรื่อง ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน เรื่องของศิลปะเราถนัดกันคนละด้าน ผมถนัดด้านเพลง RAMS ถนัดด้านเสื้อผ้า เพราะฉะนั้นเขาจะให้ความคิดเห็นที่ดีเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัว เช่น ชุดแบบนี้จะทำให้พี่สบายขึ้น อยู่ทรงขึ้น ซึ่งผมเคารพความเห็นของเขา แต่ตอนแรกผมไม่เคยเห็นเสื้อผ้าเขาหรอก แต่ผมชอบนิสัยเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การจะทำเสื้อกับใครสักคนผมคิดว่า tailor ต้องเข้าใจคุณ เขาต้องดึงความเป็นตัวคุณออกมา และนำมาบวกกับสไตล์ของเขา ที่ RAMS เป็น one stop shop คุณมาที่นี่คุณจะได้ทุกอย่างกลับไป มีเครื่องดื่มให้ดื่มด้วย (หัวเราะ) มันเป็น total solution ของผู้ชายคนหนึ่งที่จะเข้ามานั่งที่ใดที่หนึ่งแล้วมีความสุข มีเสื้อผ้า มีแว่น มีเข็มหมุด มีรองเท้า มีที่ขัดรองเท้า มีทุกดีเทลที่ผู้ชายต้องการ ร้านแบบนี้มีไม่มาก”

Skill กับ Style สิ่งไหนสำคัญกว่ากันในทางดนตรี ?

“มันต้องไปคู่กันตลอด ถ้ามี Style อย่างเดียวแต่ไม่มี Skill ก็จะถ่ายรูปสวยอย่างเดียว แต่ถ้ามี Skill อย่างเดียว ไม่มี Style ก็คงจะเอาไว้ฟังอย่างเดียว ไม่ต้องไปดูคอนเสิร์ตก็ได้ ถ้าจะยกตัวอย่างให้ฟังก็อยากพูดถึง Jimi Hendrix มือกีตาร์ Blues/Rock ระดับตำนานผู้ล่วงลับ เขามี Skill ที่ดีมาก ส่วน Style ของเขาก็ทำให้คุณจดจำได้ทันที เขาต้องมีผ้าโพกหัว กับเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์ ผมว่าต้องควบคู่กันนะ มันถึงจะเป็นภาพรวมที่เป็นก้อนกลมที่เพอร์เฟคต์”

“ผมไม่เคยตามแฟชั่น แฟชั่นมาแล้วก็ไป แต่สไตล์มันจะอยู่กับเราชั่วชีวิต ผมยึดถือมาตลอด ผมชอบแต่งตัวอย่างไรผมก็จะแต่งอย่างนั้น ผมจะไม่แคร์ว่าปัจจุบันเขาต้องใส่กางเกงขาอะไร รองเท้าอะไร ทำไมเราต้องใส่เหมือนคนอื่นอีกหลายคน ทำไมต้องซ้ำกับอีกลาย ๆ คนข้างนอก เป็นตัวของเราเองดีที่สุด เราจะจำตัวเราเองได้ว่านี่คือตัวเรา ตลอดการทำงานของผมในวงการดนตรีผมออกสื่อเยอะมาก ส่วนใหญ่เขาจะมี Stylish มาช่วยในการแต่งตัวให้ แต่ผมบอกตรง ๆ ว่าผมเป็นคนที่ทำงานกับ Stylish ยากมาก อาจเป็นเพราะผมชอบในสิ่งที่ผมชอบ แต่ส่วนใหญ่เขาจะเลือกแฟชั่นในปัจจุบันที่กำลังฮิต ผมอยากใส่ที่ผมชอบที่ผมมั่นใจและไม่ไร้รสนิยม”

 

มาถึงตรงนี้เราก็คงซาบซึ้งในความจัดจ้านในเรื่องดนตรีและสไตล์ของบุรินทร์แล้ว แต่ชีวิตของเขาคนนี้ยังมีอะไรอีกมาก นอกจากการทำหน้าที่ศิลปินมอบความเป็นเทิงให้กับเราทุกคน คุณบุรินทร์ยังเป็นนักธุรกิจที่ร้อนแรงอีกคนหนึ่ง เป็นทั้งผู้บริหารของบริษัท เมโทร ออโต้เฮ้าส์ จำกัด (Metro Autohaus) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Mercedes Benz และผู้บริหาร บริษัท เมโทร ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด (Metro Honda Automobile) ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Honda รวมถึงร่วมสร้าง อาคาร ยิปซั่ม เมโทรโปลิแทน (Gypsum Metropolitan Tower) อีกด้วย และก็มีคอมมูนิตี้มอลล์ The Grove แหล่งรวม Lifestyle แบบครบวงจร ซึ่งคุณบุรินทร์ได้เปิดร้านชาบูชื่อ Shab Shab Shabu และร้านอาหารนานาชาติ Lambic Eatery ที่นี่ด้วย โดยได้รับกระแสตอบรับดีมาก พอรู้แบบนี้ก็ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าคุณบุรินทร์มีวิธีการบริหารงานทั้งหมดได้อย่างไร แถมแต่ละงานก็ดูจะแตกต่างกันขนาดนี้ ?

“ทุกอย่างต้องมีพื้นฐานมาจากความชอบของเรา ถ้าเราไม่ชอบงานเรา มันก็จะไม่สนุกกับงานทำงานเลย พอไม่สนุกมันก็ไม่อยากทำ พอไม่อยากทำงานมันก็ไม่ดี โชคดีที่ผมค้นพบตัวเองเจอ งานไหนที่ผมไม่ชอบผมก็จะไม่เลือกทำ จะได้ไม่เจ็บตัว ไม่เจ็บใจ ไม่ทำให้คนรอบข้างเสียใจ จากนั้นก็เป็นเรื่องประสบการณ์ เรามี input ที่ดีกับมัน เราได้รับคำปรึกษาที่ดีจากคนรอบข้าง สำคัญสุดคือเรารักในสิ่งที่เราทำ ผมเหนื่อยมากนะแต่ไม่ทิ้ง เพราะว่าผมชอบ อยากจะเห็นมันพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ อยากให้เติบโตไปในทางที่ดี”

“วันที่ยุ่งสุด ๆ ของผมก็คือตื่นนอนมาแล้วเข้า Headquarter ก่อน ต่อด้วยเข้าสาขาทั้ง Benz และ Honda แล้วก็เข้า The Grove ไปดูร้าน 2 ร้าน แล้วกลับมาเจอครอบครัวที่บ้านตอนเย็น ๆ พอถึงกลางคืนก็ออกไปร้องเพลง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นอย่างนี้ ถ้าช่วงไหนที่งานต้องการการเอาใจใส่มาก ๆ ผมเคยทำงานติดต่อกันแบบไม่หยุด 30-40 วัน การเป็นนักดนตรีมันหมายความว่า วันหยุดของคนอื่นคือวันที่เราทำงานของเรา เทศกาลของคนอื่นคือวันทำงานของเรา ถ้าเราไม่สนุกกับมัน มันจะอยู่ไม่ได้”

“ผมเคยทำงานติดต่อกันแบบไม่หยุด 30-40 วัน การเป็นนักดนตรีมันหมายความว่า วันหยุดของคนอื่นคือวันที่เราทำงานของเรา เทศกาลของคนอื่นคือวันทำงานของเรา ถ้าเราไม่สนุกกับมัน มันจะอยู่ไม่ได้”

ในฐานะที่เป็น working man ตัวจริง มีอะไรแนะนำคนรุ่นใหม่เรื่องการทำงานบ้างไหม ?

“คนยุคใหม่ที่ผมเห็นก็คือ เขาจะเลือกงานที่เขาชอบ และต้องการมีเวลาใช้ชีวิตเยอะ ๆ ซึ่งเป็นข้อดีนะ แต่ถ้าในระยะยาว คุณต้องมองตัวเองดี ๆ คุณอาจจะชอบอะไรหลาย ๆ อย่าง ถ้ามีโอกาส มีแผนสำรองที่ดี มีเวลา ก็ควรลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างดู โดยที่ต้องทำงานที่ตัวเองชอบมากที่สุดให้แข็งแรงที่สุดก่อน จากนั้นก็หาทีม สร้างทีมที่แข็งแรง ชอบอะไรเหมือนกัน มีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน สามารถทำงานร่วมกับเราได้ ผมคิดว่าการทำงานคนเดียวอาจจะไม่สามารถทำให้เราทำอะไรได้หลายอย่าง พอเราทำสิ่งที่รักที่สุดให้ดีแล้ว ก็แบ่งเวลาไปทำสิ่งที่ชอบรองลงมา สำคัญที่สุดต้องรักทุกงานที่ตัวเองทำ จะได้ไม่เบื่อจนสุดท้ายก็ทิ้งมัน”

ที่ผ่านมาเคยเจออุปสรรคอะไรหนัก ๆ บ้างไหม ?

“อุปสรรคเกิดขึ้นมาตลอดเวลาในทุก ๆ การทำงาน อยู่ที่เราจะ handle มันอย่างไร ผมโชคดีอย่างหนึ่งที่ครอบครัวของผมให้คำปรึกษาได้หลาย ๆ ด้าน กว่าจะมาถึงวันนี้ที่มีฐานแฟน ๆ เยอะขึ้น กว้างขึ้น ได้รางวัลหลายสาขา ต้องผ่านการพัฒนา ผ่านการฝึกฝนทั้งการเพิ่มความรู้และการขึ้นโชว์ ทำอย่างไรให้เราร้องเพลงนี้แล้วคนเขาเชื่อเรา เราคือผู้เล่าเรื่องคนหนึ่ง ต้องทำให้จริง ทำให้น่าฟัง และเราต้องเชื่อในเรื่องราวเหล่านั้นด้วย”

“ผมเคยโดนคนด่าในยุคที่เราร้องเพลงใหม่ ๆ เคยโดนผู้ใหญ่ด่าว่าทำไมโชว์ไม่มันเลย ทำไมไปดูโชว์ของ Groove Riders แล้วมันไม่สนุกเหมือนฟัง CD อยู่บ้าน ตอนนั้นผมโกรธนะ แต่ผมไม่เอาความโกรธนั้นกลับไปเกลียดเขา หรือนำมาเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ผมเอาความโกรธนั้นมาพัฒนา มาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าโชว์เราโคตรดีเลย วันนั้นผมคิดเลย พี่รอสักวันหนึ่งนะ ผมจะทำให้พี่อยากชวนผมเข้าไปทำในอัลบัมพี่ ซึ่งมันก็มีวันนั้นจริง ๆ ผมคิดละเอียดมากว่าแพทเทิร์นของโชว์เราควรจะเป็นอย่างไร ผมออกทางนี้ มือกีตาร์ผมควรจะออกทางไหน มือเบสส์ผมควรจะออกยังไง การแต่งตัวของเรา เพอร์ฟอร์แมนซ์ของเราควรจะเป็นอย่างไร มันก็เลยเริ่มพัฒนามาจากตรงนั้น ผมต้องขอบคุณพี่คนนั้นก็คือ พี่สุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่สุกี้ฟัง ผมเขียนลงในหนังสือที่เคยทำเล่มนึงด้วย ผมใช้วิธีเปลี่ยนความโกรธมาเป็นแรงผลักดันบ่อยครั้ง นำสิ่งที่โดนคอมเม้นต์มา สิ่งที่คนเขาไม่เชื่อเรา สิ่งที่เขามองแล้วไม่ตรงกับเรา ทำอย่างไรให้เขากลับมามองเรา”

คุณบุรินทร์วางเป้าหมายเรื่องงานดนตรีในปีนี้ไว้อย่างไร ?

“ปีนี้อยากทำโชว์ที่พิเศษขึ้นมา เรามีไอเดียอยู่แล้ว เราจะทำ world tour และจะมีโชว์พิเศษที่เป็นรูปแบบเดียวกับ world tour เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น เราจะมีความพิเศษตรงการเรียบเรียงดนตรี, visual, sound และ lighting ที่ได้รับการออกแบบมาให้เข้ากับโชว์ของเราและสร้างอรรถรสที่แปลกใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ส่วนสเกลน่าจะเป็นไซส์กลาง ๆ ไม่เกิน 2,000 คน ซึ่งมันสนุกและได้ใกล้ชิดกัน ผมชอบเห็นหน้าแฟนเพลง อยากเห็นว่าเขาสนุกกันมั้ย ชอบเห็นฟีดแบคจากการเพอร์ฟอร์มของเรา”

“เป้าหมายชีวิตผมในระยะยาวผมก็อยากมีความสุขโดยที่ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ผิดต่อจริยธรรมและศีลธรรมอันดีของคนหมู่มาก เป็นคนที่ดีของสังคม ทำให้ครอบครัวมีความสุข อยากประสบความสำเร็จในการงาน อยากมีสุขภาพดี อยากให้พนักงานที่เราดูแลสามารถเจริญเติบโตและยิ้มได้ มีความสุขร่วมกับเรา”

มีเรื่องไหนในชีวิตไหมที่อยากปลดล็อกออกมาให้ได้ ?

“คงเป็นอีกหนึ่งงานที่อยากทำมาก ผมอยากทำสารคดีมาก ๆ อยากทำเรื่องอารยธรรมโบราณ ผมชอบดูสารคดีแนวนี้มาตั้งแต่เด็ก สารคดีของต่างประเทศดูเพลินมาก โปรดัคชั่นดีมาก โอเคหละ มันคงจะต้องมีเงินทุนที่สูงมากถึงจะไปทำอะไรอย่างนั้นได้ สารคดีไทยเดี๋ยวนี้ก็ดีมากขึ้นแต่ก็อาจจะติดอยู่ที่เรื่องทุนเลยไปได้ไม่สุด การถ่ายสารคดีอาจไม่ได้ถ่ายจบแค่เดือนเดียว บางทีต้องนั่งเฝ้าเป็นปีกว่าจะได้ชอตนกบินมากินดอกไม้ เราต้องมีทีมงานที่ทุ่มเทชีวิตให้กับงานนี้ได้ ตัวผมเองก็ยังทำไม่ได้ ลูกผมก็ยังเล็ก ถ้าผมไปทำตอนนี้ผมต้องห่างครอบครัวไปนาน ตอนนี้ช่องที่ฉายสารคดีไทยมีไม่กี่ช่อง และคนส่วนใหญ่ก็จะชอบดูละคร”

“สิ่งที่ผมอยากเติมในตัวผมเหรอครับ ก็จะกลับไปเรื่องสารคดีอีก ผมมีไอดอลอยู่คนหนึ่ง เขาคือ Sir David Attenborough ผู้คร่ำหวอดในวงการสารคดีมานานมาก ปัจจุบันเขาอายุ 91 แล้ว เขาทำรายการสารคดีมาตั้งแต่อายุ 20 กว่า คนนี้สุดยอดมาก เล่าเรื่องได้น่าฟังมาก วันไหนที่ผมเครียดกับเรื่องงานจนนอนไม่หลับ ผมจะเปิดรายการของเขาดู แล้วผมจะนอนหลับสบาย เขาเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งในสายตาผม เขาเท่มากแม้จะทำตัวธรรมชาติ แต่งตัวอะไรก็ได้ เรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่เซตผม นอนอยู่ข้างแมวน้ำตัวหนึ่งก็ดูเท่มาก สักวันหนึ่งผมอยากจะทำอะไรแบบเขาให้ได้ และก็เล่าเรื่องได้อย่างเขา ผมคิดว่ามันสนุก และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่”

สุดท้ายครับ คุณบุรินทร์คิดว่าการเป็น gentleman ที่แท้จริงต้องเป็นอย่างไร ?

“ต้องไม่เป็นอย่างนี้ครับ (ฮา) สุภาพบุรุษในรูปแบบของผมต้องรู้จักกาลเทศะ เคารพสังคม รู้จักว่าอะไรดีอะไรไม่ดี มีรสนิยม”

เรานั่งคุยกับพี่คุณบุรินทร์ที่ร้าน RAMS อยู่พักใหญ่ และเราได้เรียนรู้อะไรมากมายจากตัวชายคนนี้ โดยเฉพาะแง่คิดของคนที่อยู่ภายใต้ spotlight มานาน และคนที่มีหลายด้านในชีวิต ต้องขอขอบคุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ที่แชร์เรื่องราวจากจิตวิญญาณให้กับทีมงาน UNLOCKMEN ในวันนี้

ส่วนใครที่กำลังรอผลงานต่อไปของคุณบุรินทร์อยู่ ไม่เกินกลางปีนี้เดี๋ยวจะมีซิงเกิลที่ 2 ปล่อยออกมาอีกเพลงแน่นอน ส่วนอัลบัมใหม่ก็จะเป็นอัลบัมที่ craft สุด ๆ ทีมงานปึ๊กมาก ทุกคนตั้งใจผลิตงานเพลงคุณภาพให้ทุกคนได้ฟัง รออีกอึดใจเดียว ไม่นานก็จะได้มันส์กันอีกครั้ง สำหรับแฟน ๆ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของคุณบุรินทร์ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ BURIN BOONVISUT

“แสงจันทร์พุ่งตรงลงมาส่องเธอดั่ง Spotlight หัวใจเต้นรัวดังจังหวะเพลงของ Jackson Five” แหม่ แค่เพลงแรกยังสำบัดสำนวนขนาดนี้ แล้วเพลงต่อ ๆ ไปจะขนาดไหน

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line