

Entertainment
อำลาอาลัย JOEY JORDISON ด้วย 9 บทเพลงที่สะท้อนตัวตนของมือกลองเมทัลระดับตำนาน
By: Chaipohn August 8, 2021 204085
“ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง กับครอบครัวและคนรักของ Joey
ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้
ศิลปะ พรสวรรค์ และจิตวิญญาณของ Joey Jordison
ไม่สามารถกักขังตัวตนของเขาไว้ได้
การจากไปของเขาส่งผลกระทบต่อ Slipknot, ชีวิตของพวกเรา
และดนตรีที่เขารัก อย่างไม่สามารถประเมินค่าได้
ไม่มีJoey ก็คงไม่มีพวกเรา ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียของเขากับครอบครัว Slipknot ทั้งหมด
เรารักนายมาก… Joey”
ถ้อยแถลงของวง Slipknot ที่มีต่อมือกลองอัจฉริยะ Joey Jordison สมาชิกคนสำคัญผู้ก่อตั้ง Slipknot ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวง รวมไปถึงโปรเจกต์อันหลากหลายที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง
การจากไปของเขานั้น นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจแห่งวงการ Nu-Metal มือกลองในตำนานผู้จากไปก่อนวัยอันควร ผลงานได้ยอดเยี่ยม และศิลปินที่นักดนตรีทั่วโลกยกย่องในฝีไม้ลายมือของเขาตลอดช่วงเวลาแห่งการทำงาน พระเจ้าช่างใจร้ายที่พรากเขาไปในช่วงเวลาอันแสนสั้นด้วยวัยเพียงอายุ 46 ปี หากแต่อายุขัยในวงการดนตรีนั้น ตลอด 22 ปีในวงการ Joey มอบผลงานดีประดับไว้ให้กับวงการเมตัลยุคใหม่มากมาย
และบทเพลงเหล่านี้ คือ 9 เพลงยอดเยี่ยมที่บ่งบอกถึงความยอดเยี่ยมของตัวเขา ที่เราอยากแนะนำให้คุณหวนกลับมาฟังเพื่อรำลึกถึงการจากไปของผู้ชายคนนี้ มือกลองอัจฉริยะแห่งโลกเมทัลที่จะอยู่ในใจตลอดกาล
เมื่อ Slipknot เดินทางจากรัฐไอโอว่าบ้านเกิด สู่เมืองใหญ่อย่างลอสแองเจลิสเป็นครั้งแรก ภายหลังจากทำอัลบั้ม อย่าง Mate. Feed. Kill. Repeat. (1996) และ Slipknot demo (1998) พวกเขาก็แจ้งเกิดกับอัลบั้มชุดแรกพร้อมภาพลักษณ์ของเหล่าหน้ากากทมิฬอย่างเป็นทางการ และ กับอัลบั้มเปิดตัวชื่อเดียวกัน โดยมีซิงเกิ้ลเปิดตัวในชื่อ Wait and Bleed
แต่หากเลือกบทเพลงที่ Joey ได้โชว์ฝีไม้ลายมือการหวดกลองระดับปีศาจแล้ว Surfacing แทรคที่ 5 คือความบ้าคลั่งที่สยบความรู้สึกของกลุ่มเด็กหนุ่มบ้านนอกผู้มาแสวงโชคในเมืองใหญ่ได้ชะงักงันด้วยเสียงคำรามที่ไปพร้อมกันกับเสียงกลองอันบ้าคลั่งนี้ว่า ‘Fuck It All!’
จาก Meme ของ Danny DeVito ที่ถือปืนใส่จอในซิตคอม It’s Always Sunny in Philadelphia กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ Joey Jordison บอกกับเพื่อนพ้องในวงว่า “เอาล่ะ…กูว่าเราควรบอมบ์มันได้แล้ว” ว่าแล้วเขาก็เขียนเพลง ๆ นี้ขึ้นมา พร้อมอัลบั้มชุดที่ 2 Iowa เพื่อผลักดันซีนดนตรี Nu-Metal ที่ในช่วงนั้นเคลื่อนตัวแสนช้าให้สปีดเร็วขึ้นจนกลายเป็นกระแสสำคัญแห่งโลกเมตัล
People = Shit คือแทรคที่ 2 ต่อจาก Interlude แทรคแรกที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องทรมาน และเมื่อเสียงกลองและกระเดื่องตีอย่างคุ้มคลั่ง ศักราชแห่ง Nu-Metal ก็เปิดให้โลกได้ประจักษ์อย่างท่วมท้นและรุนแรง จนกลายเป็นกระแสสำคัญแห่งดนตรีในยุค 2000s
“อัลบั้มแรก เราสนุกสัส ๆ … อัลบั้มที่ 2 เราเหมือนจะตายห่า พอมาอัลบั้มที่ 3 พวกเราต้องการจะบำบัด” คือคำพูดของ Shawn Crahan ที่พูดถึงอัลบั้มชุดที่ 3 ที่พวกเขาเลือกโปรดิวเซอร์ระดับพระกาฬอย่าง Rick Rubin มาเปิดโลกของพวกเขาสู่การเป็น Mainstream Metal อย่างเป็นทางการ ด้วยงานวัดใจของวงว่าความโด่งดังของเขาจะพรากตัวตนของพวกเขาไปได้หรือไม่
แต่นอกจากคอนเสิร์ตที่โปรดักชั่นอลังการมากขึ้นแล้ว ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนความเดือดดาลและความระห่ำของการหวดกลองของ Joey ไปได้เลย และ Three Nil คือคำตอบของความระห่ำนี้
อีก 1 บทเพลงในอัลบั้มชุดที่ 3 ที่นำพาให้ Slipknot เป็นวงขวัญใจมหาชนอย่างแท้จริง ด้วยบทเพลงที่สามารถทะยานได้ถึงอันดับที่ 15 ในชาร์ท Billboard หรือ MV สุดคุ้มคลั่งที่ค่ายเพลง Roadrunner ยกให้เป็น MV ที่ดีที่สุดตลอดกาล เพราะเป็นการแสดงพลังจากการประกาศให้แฟนเพลงจากทั่วทุกมุมโลกให้รวมตัวเพื่อมาทำลายบ้านที่กำลังจะรีโนเวทอย่างบ้าคลั่ง!!!
แน่นอนว่าทั้งสมาชิกและแฟนแพลงต่างร่วมแรงร่วมใจพังบ้านหลังนี้ประกอบการบรรเลงเพลงของ Slipknot อย่างสุดเดือดดาล โดยมีกลองของ Joey คอยคุมจังหวะหนักเบาของเพลงได้อย่างยอดเยี่ยมราวกับพระเจ้าที่ควบคุมฟ้าฝนยังไงยังงั้น
อัลบั้มชุดที่ 4 หวนคืนสู่รากเหง้าของการกลับไปทำงานที่ Iowa บ้านเกิด มันเป็นทั้งอัลบั้มที่สมาชิกวงส่วนหนึ่งรักมาก แต่บางคนก็เกลียดอัลบั้มนี้ไปเลย ทั้งจากการเร่งรีบทำอัลบั้ม และการเปลี่ยนแปลงแนวดนตรีด้วยการทำดนตรีเมทัลอันหนักหน่วง ในขณะเดียวกันก็เป็นอัลบั้มสุดท้ายของ Joey เมื่อเขาถูกไล่ออกจากวง บางเพลงในอัลบั้มนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งเสียงกลองของเขา และ 1 ในนั้นก็คือเพลงนี้นั่นเอง ซึ่งเพลงนี้ยังโดดเด่นขนาดได้เข้าชิงรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 51 ในสาขา Best Metal Performance อีกด้วย
ไซด์โปรเจกต์แรกของ Joey กับการทำวง Murderdolls แนว Horror-Punk ที่หนักหน่วงไม่แพ้ Slipknot โดย Joey ลองเปลี่ยนจากการรัวกระเดื่องมาเล่นกีตาร์ได้อย่างร้อนแรง และ Dead In Hollywood ก็คือซิงเกิ้ลเปิดตัวอัลบั้มที่แสดงให้เห็นถึงความรักชอบในดนตรีอันกว้างใหญ่ไพศาลของ Joey ซึ่งหาก Slipknot เปรียบได้ดั่งหนังฆาตกรโรคจิตที่ไล่ล่าฆ่าคนไม่เลี้ยง Murderdolls ก็คือหนังสยองขวัญเกรดบีที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไม่ต่างกัน
หนึ่งในวาระสำคัญของการเฉลิมฉลองค่ายเพลงเมทัลที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล Roadrunner Records คือการรวมพลพรรคนักดนตรีแนวเพลงหนักกะโหลกและจัดตั้งวงซูเปอร์กรุ๊ปในนาม Roadrunner United โดยมี 4 จตุรเทพแห่งวงการ Metalhead อย่าง Machine Head, Trivium, Fear Factory และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Slipknot
โดยมี Joey เป็นตัวแทนของวงที่นอกจากจะหวดกลองในเพลงที่ผสมผสานแนวทางอันหลากหลายของเมทัล เขายังร่วมเล่นเบสในอัลบั้มนี้ด้วยถึง 2 เพลง โดยเพลง Annihilation By The Hands Of God เป็นหนึ่งในบทเพลงที่ Joey โชว์ความเทพของการหวดกลองให้โลกได้ประจักษ์จนต้องอ้าปากค้าง
แผลใจจากการถูกไล่ออกจากวงที่ก่อตั้งมา ทำให้ Joey พยายามจะสร้างงานให้ทัดเทียมกับ Slipknot แต่ผลลัพธ์ของวง Scar The Martyr ที่เขาก่อตั้งร่วมกันกับเพื่อนศิลปิน ไม่สามารถกอบกู้ชื่อเสียงให้เทียมเท่าได้ แต่ Joey ก็ยังคงเป็นอัจฉริยะในการหวดกลองที่โดดเด่นเหนือเครื่องดนตรีชิ้นอื่นเช่นเดิม
Scar The Martyr คือการผสมผสานดนตรี Nu-Metal เข้ากันกับ Industrial Metal อย่างเมามันส์ และ Blood Host คือ single ครบรสที่รวมความมันส์ระดับ 5 กะโหลกไว้เช่นเดิม แม้จะออกมาเพียงอัลบั้มเดียว แต่ก็ยังเป็นงานมาตรฐานของ Joey ที่ไม่ควรมองข้าม
นับเป็นโปรเจกต์ท้าย ๆ ของ Joey และเป็นโปรเจกต์ทิ้งทวนด้วยการยกระดับความโหดของการหวดกลองจนเรียกได้ว่าบรรลุอรหันต์อย่างแท้จริง เพราะ Sinsaenum คือวง Death Metal ที่โหดในทุกอนู ที่ Joey สร้างงานมาสเตอร์พีซด้วยการใช้ทรัพยากรทุกชิ้นของกลองได้อย่างบ้าคลั่ง เป็นหลักศิลาจารึกแห่งเสียงที่บันทึกฝีมือของมือกลองแห่งตำนานให้อยู่คู่โลกตลอดไป
แม้การจากไปของ Joey Jordison จะนำความเสียใจให้กับสาวกเมทัลอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะหลายคนต่างรอคอยการกลับมารวมตัวอีกครั้งระหว่างเขากับ Slipknot แม้ความฝันนั้นจะไม่มีวันเป็นจริงอีกต่อไป แต่ผลงานที่ทิ้งไว้มากมายหลายโปรเจกต์ ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ได้ถึงความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี ซึ่งผลงานเหล่านี้จะเป็นตำนานใจวงการเพลงไปอีกนานเท่านาน