“AI จะเปลี่ยนโลกนี้ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” คำพูดนี้ไม่เกินจริงเลย เพราะในปี 2024 เรียกว่าเป็นปีแห่งการเริ่มต้นนำ AI เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ยังรวมไปถึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพนักงานและอยู่ในชีวิตของผู้คนทั่วไป ปี 2025 มั่นใจว่า AI ก็จะยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้มีความฉลาดและการทำงานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าก็เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก และนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ทั้งช่วยปลดล็อคการทำงานของพนักงาน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร หาแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของประเทศไทยและระดับโลก ในขณะเดียวกันก็จะต้องสร้างหลักการกำกับดูแลการใช้งาน AI ให้มีจริยธรรมและความรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ‘ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์’ (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย) เผยเทรนด์ AI ที่น่าจับตามองในปี 2025 เพื่อให้องค์กรไทยทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และคนไทยได้เตรียมความพร้อมประยุกต์ใช้ AI ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น จุดประสงค์เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เป็นตัวกำเนิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะมีเทรนด์อะไรบ้าง เลื่อนลงไปอ่านพร้อมกันเลย 1.Scaling Laws : AI จะยกระดับศักยภาพและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปีหน้า AI จะได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดยิ่งกว่าทุกการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ฉีกกฏการเติบโตจากเดิมที่เติบโตด้วยตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา โดยคาดการณ์ว่า AI จะเพิ่มขึ้นแบบเป็นทวีคูณในทุก ๆ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมาของเทคโนโลยี A.I. (Artificial Intelligence ) หรือโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ ที่มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ประมวลผลเชิงลึก นั้นได้พลิกโฉมการใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ให้สะดวกสบายง่ายดายขึ้นในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านการแพทย์ การศึกษา การคมนาคม ธุรกิจอาหาร / การเกษตร หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า แกดเจ็ต สมาร์ตดีไวซ์ต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยี A.I. เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอย่างพวกเราให้ได้มากที่สุด และแน่นอนว่าอุปกรณ์สมาร์ตโฟนที่พวกเราทุกคนพกพาเอาไว้เป็นผู้ช่วยสารพัดประโยชน์ เป็นได้ทั้งเครื่องมือติดต่อสื่อสาร, ตัวช่วยในการทำงาน, อุปกรณ์ให้ความบันเทิง รวมไปถึงเป็นกล้องถ่ายรูปคู่ใจ ก็ได้ถูกยกระดับความฉลาดให้สามารถเรียนรู้, ประมวลผล และถ่ายทอดออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ ตรงใจ ตอบสนองการใช้งานที่สะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่ง OnePlus Nord 2 5G สมาร์ตโฟนรุ่นต่อยอดความสำเร็จของ OnePlus Nord รุ่นแรกเมื่อปีก่อน ก็ได้นำเอาความล้ำของเทคโนโลยี A.I. มายกระดับความสามารถเพื่อสานต่อเจตนารมย์ของ Nord รุ่นพี่ที่ชูจุดเด่นความเป็น Lite Flagship Smartphone สมาร์ตโฟนสเปกล้ำที่ใครก็เป็นเจ้าของได้ ด้วยนิยามใหม่อย่าง A.I.
หลังจากทำงานหลังขดหลังแข็งมาตลอด 11 เดือน ในที่สุดปฏิทินก็วนมาถึงเดือนธันวาคม (สักที) นอกจากเดือนนี้จะเป็นเดือนตัดสินว่าผลกำไรที่ทำมาตลอดหนึ่งปีของบริษัทคุณเป็นอย่างไร ธันวาคมยังเป็นเดือนสุดท้ายก่อนจะก้าวสู่ศักราชใหม่แห่งปี 2020 ตลอดเกือบปีที่ผ่านมาคงต้องยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรานั้นก้าวหน้า พัฒนา และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่วิธีการทำงานที่คุ้นชินของปีนี้ ก็อาจเปลี่ยนไปสู่รูปแบบใหม่เพื่อให้สอดรับกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยของปีหน้าก็ได้ หนุ่มมนุษย์เงินเดือนอย่างเราจึงต้องเรียนรู้ เตรียมรับมือ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 โปรดจำให้ขึ้นใจ เพราะนี่คือ 3 แนวโน้มการทำงานที่จะเปลี่ยนไปในปีหน้า! ระบบเศรษฐกิจเสรีและความยืดหยุ่นในการทำงาน ในปีที่ผ่านมานี้เราเห็นการเติบโตของระบบเศรษฐกิจเสรี หรือ Gig Economy อย่างต่อเนื่อง ระบบเศรษฐกิจประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่การทำงานแบบโปรเจกต์ระยะสั้นและถือเป็นตลาดที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้บริการโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Airbnb, Alibaba หรือแม้แต่ Uber Gig Economy ไม่เพียงช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทรัพยากรและเวลา หากยังช่วยให้นายจ้างและผู้รับเหมาอิสระได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ แถมไลฟ์สไตล์การทำงานที่ยืดหยุ่นของพนักงานยังช่วยเสริม Work-life Balance ให้พวกเขาทำงานอย่างมีความสุขอีกด้วย ผลสำรวจจาก Global Workplace Analytics และ FlexJobs เผยว่าระบบเศรษฐกิจเสรีและการทำงานที่ยืดหยุ่น ส่งผลให้การทำงานแบบระยะไกลมีอัตราการเติบโตสูงถึง 91% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในปี
สังคมโลกปัจจุบันกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ถือกำเนิดขึ้นบนโลก โดยเฉพาะเมื่อมนุษย์เริ่มนำ AI มาปฏิรูปสังคม สนับสนุนการใช้เหตุผล หรือส่งเสริมความรู้สารพัดด้าน แทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในโลกดิจิทัล การทำงาน หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันของผู้ชายเรา ไม่ว่าจะเป็น AI ออกแบบเว็บไซต์, AI ด้านกฎหมาย, AI ที่สร้างเนื้อหาการตลาดออนไลน์ หรือแม้แต่ AI ในรูปแบบเสียงอย่าง Siri ของ Apple ที่หนุ่ม ๆ คุ้นเคยดี ด้วย Deep Learning ที่เป็นความสามารถหลักทำให้ AI คิด วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้มนุษย์อย่างเราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความชาญฉลาดสุดทึ่งของสมองกลยังช่วยสาวบริสุทธิ์ ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ให้พ้นจากอันตรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ MOLLY สาวบริสุทธิ์ที่ถูกทำร้าย Molly เป็นสาวเอสคอร์ต (Escort) ที่ได้รับฉายาว่า “New Bunny” แห่งเมืองแอตแลนตาในรัฐจอร์เจียของสหรัฐฯ เธอแสดงเปลื้องผ้าเพื่อสร้างความสุขทางเพศให้กับผู้ชายมานักต่อนัก แต่ใต้ฉากหลังของการแสดงวาบหวิวบนเว็บไซต์ลามก
‘ศิลปะ’ บ่งบอกถึงความคิด ความรู้สึก และแรงบันดาลใจในการสรรสร้างชิ้นงานของศิลปิน นอกจากมันจะเป็นหนึ่งในความสวยงามที่ประดับไว้บนโลกนี้แล้ว บางครั้งก็เป็นเครื่องมือสะท้อนมุมมืดของสังคมและโลกตามขนบ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ สมองกล AI แห่งโลกอนาคตอันมีวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เป็นเบ้าหลอม มันเต็มไปด้วยความสามารถอันน่าทึ่งทัดเทียมมนุษย์และกำลังคืบคลานเข้ามาในโลกดิจิทัล การทำงาน ตลอดจนชีวิตประจำวันของเรา ดูเผิน ๆ แล้วศิลปะและปัญญาประดิษฐ์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเหมือนจะอยู่กันคนละโลกซะด้วยซ้ำ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าศิลปะที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ผสมผสานกับเทคโนโลยี AI จนได้ออกมาเป็นนิทรรศการศิลปะยุคใหม่ของโลกอนาคต The Barbican Centre London ศูนย์ศิลปะ ดนตรี และการแสดงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เปิดให้เข้าชม ‘AI: MORE THAN HUMAN EXHIBITION’ นิทรรศการที่จัดแสดงความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ภายใต้ฉากหลังของงานศิลปะ ใช้สมองกล AI สุดล้ำประยุกต์งานศิลปะให้หลากหลาย ทันสมัย และมีชีวิต ถือเป็นนิทรรศการ AI แบบ interactive ที่ไม่เคยจัดขึ้นที่ไหนมาก่อน งานนี้รวบรวมสิ่งประดิษฐ์จากศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัย พร้อมผลงานผลเท่ ๆ ของคนดังในอดีต ไม่ว่าจะเป็น Charles Babbage นักคณิตศาสตร์และผู้บุกเบิกคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษที่สร้างเครื่องวิเคราะห์เชิงกลชิ้นแรกของโลก Ada Lovelace
โลกของธุรกิจมีมากกว่าตัวเงิน สำหรับคนที่ไม่ชอบเรื่องตัวเลขหรือต้นทุนเลยอาจจะมองว่าน่าปวดหัว แต่ความจริงมันยังมีหลายมิติที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแง่ของการตลาดและการโฆษณา เพราะมันคือแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ล้วน ๆ ซึ่งถ้าเรารู้ทันและเข้าใจมัน เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อและนำความคิดสร้างสรรค์เหล่านั้นไปต่อยอดได้ ช่วงนี้ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนก็เริ่มบุกตลาด AI และ AR กันเป็นแถบ อย่างล่าสุดที่เราเพิ่งนำเสนอกันไปก็เป็น Application วัดขนาดเท้าของ Nike อย่าง “Nike Fit” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการซื้อรองเท้าแต่ขนาดไม่ตรงกับความจริง แต่ล่าสุดเราเพิ่งไปพบรูปแบบการตลาดของ AI ที่น่าสนใจ เรียกได้ว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่เขย่าวงการด้วยการใช้ AI กับ “สุนัข” เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างจริงจัง ร้านขายสัตว์เลี้ยงประเทศบราซิลในเครือ Petz แหวกแนวเปิดชอปปิงออนไลน์สำหรับสุนัขอย่างแท้จริง โดยเรียกมันว่า Pet-Commerce หรือการซื้อของออนไลน์ที่เลือกจากความต้องการของสัตว์เลี้ยงเอง โดยใช้ AI ดักจับความสนใจของสุนัขผ่านกล้องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน แท็ปเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ การเลือกซื้อของระหว่างสุนัขกับระบบ AI จะใช้วิธีการ access เข้าเว็บไซต์ก่อนโดยให้สุนัขนั่งอยู่ที่หน้าตักเราหรือจุดไหนก็ได้ที่มองเห็นกล้องหน้า จากนั้นให้เราเลือก Pet Commerce หน้าจอจะแสดงคลิปสินค้าแบบแรนดอม ไม่ว่าจะเป็นกระดูก บอลยาง ฯลฯ ขั้นตอนนี้เอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าวงการที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ท้ายตารางอย่าง “ศาสนา” วันนี้ก็เจอ disrupt กับเขาเหมือนกัน เทคโนโลยีกับความเชื่อแม้จะดูสวนทาง เพราะความเชื่อมักมากับลุค old fashioned และความเชื่อส่วนใหญ่บล๊อกทุกการตั้งคำถามและปฏิเสธการตอบรับสิ่งใหม่ เนื่องจากศรัทธาที่ปลูกมานานนับศตวรรษแข็งแรงเกินกว่าจะยกลงจากหิ้ง หรือเอาอะไรไปงัดง้าง แต่ข่าวล่าสุดที่ญี่ปุ่นได้นำนวัตกรรมล้ำ ๆ อย่าง AI มาใช้ร่วมกับศาสนา ด้วยการสร้าง Mindra ปัญญาประดิษฐ์ที่ถอดแบบจาก Kannon พระโพธิสัตว์ที่เปี่ยมเมตตา เข้ามาทำหน้าที่หน้าที่เผยแผ่ศาสนาที่วัด Kodaiji วัดโบราณของเกียวโต การจำลองรูปพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นเครื่องเชื่อมระหว่างศาสนากับมนุษย์ในยุคนี้ ผู้ดูแลวัดกล่าวว่ามาจาก 2 ปัจจัยหลัก ประการแรกคือเพื่อสร้างความเข้าใจคำสอนให้กับผู้มาสักการะหรือศึกษา เนื่องจากทุกวันนี้ “วัด” กลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวของประเทศ Mindra ทำหน้าที่กล่าวถึงปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระสูตรที่เปรียบดังหัวใจของพุทธศาสนา นิกายมหายาน เป็นภาษาญี่ปุ่น ระบบเทคโนโลยีจะแปลข้อความเป็น subtitle ภาษาอังกฤษและภาษาจีนขึ้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเข้าใจคลาดเคลื่อน และอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือการมีรูปลักษณ์ที่เรียกศรัทธา เพราะพวกเขาเชื่อว่าวัจนะกับคำสอน ถ้าออกมาจากปากของบุคคลที่ผู้คนเคารพจะเรียกศรัทธาได้มากกว่า AI กับศาสนา เท้าความกันก่อนว่า หลายคนที่เพิ่งเห็นข่าวนี้อาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย! เรื่องนี้มันใหม่มาก แต่ความจริงก่อนจะมี AI เข้ามาทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาอย่างที่เห็นนี้ จักรกลก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาก่อนแล้ว
เรื่องการหาหมอผ่านระบบ AI การวินิจฉัยโรคหรือการตรวจสุขภาพทั่วไปผ่านช่องทางออนไลน์เป็นกระแสที่หลายคนคงพอได้ยินมาบ้าง แต่อาจไม่ค่อยเชื่อกันว่ามันใช้งานได้จริงหรือมันจะโตได้ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่น่ายอมฝากชีวิตไว้กับเทคโนโลยีมากกว่าคนจริง ๆ ด้วยกัน แต่สำหรับประเทศที่มีจำนวนคนมากกว่าหมอหลายเท่าอย่างจีน การพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ก้าวหน้าผ่านแอปพลิเคชั่นดูแลสุขภาพออนไลน์ได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีความสำคัญและมีบทบาทกับชีวิตอย่างมาก Ping An Good Doctor คือแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นสุขภาพที่กำลังมาแรงในจีน นับเฉพาะผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็มีจำนวนสูงถึง 28 ล้านรายแล้ว จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นด้านเทคโนโลยีการแพทย์ ทำให้ล่าสุดในการประชุมงานอินเทอร์เน็ตโลก (World Internet Conference) ครั้งที่ 5 Ping An Good Doctor ผู้นำด้านเทคโนโลยีการรักษาได้ประกาศแผนการสร้างคลินิกรักษาพยาบาลไร้มนุษย์ที่ทำงานด้วยระบบ AI แห่งแรกในโลกขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคลินิกหนึ่งนาทีของคุณหมอ AI ขึ้นโชว์ในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางงานประชุมให้คนได้เข้าทดลองใช้งานกันจริง ๆ ถึงบอกว่าเป็นคลินิกหมอ AI แต่ก็ยังเป็นการทำงานควบคู่กับหมอที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ด้วย โดยหมอจริงทำหน้าที่กำกับและตรวจสอบการทำงานของ AI สม่ำเสมอ ส่วนลักษณะของเจ้าคลินิกสีส้มนี้ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก คล้ายกับห้องคาราโอเกะในบ้านเรา แต่คอนเซ็ปต์ของมันค่อนข้างเนี้ยบและดีทีเดียว เนื่องจากมันสามารถให้การรักษาได้ในระยะไกล คนอยากเจอหมอเก่ง ๆ ก็ไม่ต้องไปต่อคิวที่โรงพยาบาลให้เสียเวลาเหมาะกับคนกรุงที่มีไลฟ์สไตล์รีบเร่ง และหลังรักษาสามารถจ่ายยาให้ได้ตามต้องการทันทีด้วย ส่วนยาไหนที่ไม่มีในสต๊อกระบบก็ให้ซื้อได้ผ่านแอปฯ และจัดส่งให้ถึงบ้านภายใน
แว่วมาสักระยะแล้วเรื่องการนำ AI มาทำตำแหน่ง Hr คัดคนเข้าทำงาน เราเชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินอาจรู้สึกกลัวเพราะนับวันเจ้าปัญญาประดิษฐ์เริ่มจะมีอำนาจควบคุมเรามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการปรักปรำและเท่าทันระบบการหางานในโลกวันนี้ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป UNLOCKMEN จึงได้ติดตามและไขภาพมัว ๆ ที่คนอาจจะคิดไม่ออกว่าทำไมถึงต้องมีการใช้ AI เข้ามาทำหน้าที่นี้ และมันยุติธรรมกับมนุษย์อย่างเราไหม JUST EXTENSION ก่อนจะพารานอยด์กับอาชีพ ว่า Hr จะโดนขโมยงานไปอีกอาชีพหนึ่งแล้วเหรอ ขอให้งดแตกตื่นเพราะการนำ AI มาช่วยคัดกรองคนเข้าทำงาน เขาใช้มันเป็นแค่ส่วนขยายที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น เนื่องจากสุดท้ายแล้วความกดดันระหว่างคนสัมภาษณ์กับคนสมัคร หรือการใช้จิตวิทยาเข้าประกอบการทดสอบเพื่อคัดเลือกคนมันก็ยังจำเป็นอยู่ วิชาชีพของการเป็น Hr ก็ยังคงสำคัญกับองค์กรเสมอ แต่นั่นจะเป็นขั้นตอนในสเตปที่ 2-3 ไม่ใช่ขั้นตอนแรกถ้าหากบริษัทที่เราจะเข้าไปทำงานเขาใช้ปัญญาประดิษฐ์มาร่วมในการกรองคน… MATCH ME WITHOUT BIAS ในเมื่อ Hr เดิมก็ไม่ได้หายไปแล้วทำไมเราถึงต้องมี AI ซึ่งไร้หัวใจมาเป็นผู้ร่วมตัดสิน Resume ที่เรามุ่งมั่นทำแทบเป็นแทบตายด้วย ถ้าคุณกำลังตั้งคำถามนั้นตอนที่กำลังอ่านอยู่ นั่นแหละ คำตอบมันอยู่ตรงนั้น “ความไร้หัวใจมันจำเป็นกับการคัดกรอง” มนุษย์ละเอียดอ่อนเรื่องอารมณ์กับการให้คะแนนมากเกินไป เราให้แต้มกับบางอย่างที่ถูกใจ และตัดแต้มเมื่อเหม็นขี้หน้าหรือไม่ถูกชะตา และไม่ว่าคุณจะทำเช่นไรคุณจะไม่มีวันเอาตัวเองออกจากความ Bias โดยสัญชาตญาณของตัวเองได้
นาทีนี้ในวงการเกมคงไม่มีเกมไหนมาแรงเป็นกระแสและถูกพูดถึงได้เท่า Detroit: Become Human เกมแนว Interactive Drama (เกมที่มีตัวเลือกมาให้ผู้เล่นเลือกและทุกการเลือกจะส่งผลต่อเนื้อเรื่องของเกม) ซึ่งขึ้นแท่นเกมยอดเยี่ยมแห่งปีไปเรียบร้อยแล้ว ความยอดเยี่ยมของ Detroit: Become Human ที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกมนี้กลายเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มีด้วยกันหลายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดของตัวเกมที่ทุกการกระทำของตัวละครที่เราเลือกนั้นสามารถส่งผลถึงการดำเนินเรื่องที่แตกต่างกันมากกว่า 1000 รูปแบบ เนื้อเรื่องที่เข้มข้นและแปลกใหม่ โดยเป็นเรื่องราวของโลกอนาคตค.ศ. 2038 ที่ หุ่นยนต์ Android เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันและสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนมนุษย์ โดยเล่าเรื่องผ่านหุ่นยนต์ Android 3 ตัว ถึงแม้ว่า Detroit: Become Human จะเป็นเกม แต่ประเด็นที่นำเสนอออกมานั้นหนักหน่วงเข้มข้นไม่แพ้หนังรางวัลดี ๆ สักเรื่องเลย มีการตั้งคำถามจริยธรรม ตีแผ่ข้อดีข้อเสียของโลกที่มี Android ให้เราเห็นภาพชัดเจน ซึ่งทุกประเด็นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงในเวลาอันใกล้ UNLOCKMEN จึงอยากนำเรื่องนี้มาพูดคุยกัน เพราะตอนนี้ AI เป็นสิ่งใกล้ตัวและไม่อาจหนีพ้นได้อีกแล้ว จะมีประเด็นอะไรบ้างไปดูกันเลย Unemployed Human นี่คือปัญหาที่ถูกยกมาทุกครั้งเมื่อมีการพูดถึงเรื่องบทบาทของ AI ในอนาคต และ Detroit: Become Human ก็นำเสนอเรื่องนี้ออกมาได้น่ากลัวแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นจริง