ถ้าจะพูดว่าการออกกำลังกายกับผู้ชาย (บางคน) เป็นของคู่กันก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะในปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้ชายส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และการออกกำลังกายก็ไม่เพียงช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง หากยังสร้างมัดกล้าม สร้างรูปร่างกำยำล่ำสัน และทำให้ผู้ชายหลายคนดูภูมิฐานขึ้นมาได้ แต่คงต้องบอกว่าสภาพแวดล้อมของฟิตเนสก็มีผลต่อการออกกำลังกายไม่น้อย เพราะฟิตเนสที่มีผู้คนพลุกพล่านและทัศนียภาพไม่เอื้ออำนวย อาจทำให้หนุ่ม ๆ หลายคนไม่จดจ่อและจริงจังกับการออกกำลังมากเท่าที่ควร จะดีแค่ไหนถ้าพื้นที่ออกกำลังกายของหนุ่ม ๆ มีงานดีไซน์ที่ถูกยกระดับให้เอื้อประโยชน์แก่การออกกำลังกายและทำให้คุณจริงจังกับกิจกรรมเรียกเหงื่อมากยิ่งขึ้น VSHD Design นำสถาปัตยกรรมแนวบรูทัลลิสต์ (Brutalist) มาประยุกต์เข้ากับพื้นที่ออกกำลังกาย จนเกิดเป็น ‘WAREHOUSE GYM’ ฟิตเนสสุดคูลที่ใช้ดีไซน์เรขาคณิตเข้ามาเพิ่มความจริงจังให้กับการออกกำลังกายของหนุ่ม ๆ นี่เป็นฟิตเนสล่าสุดจากบริษัทฟิตเนสแวร์เฮ้าส์ยิม ตั้งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงดูไบ การออกแบบภายในเน้นหนักรูปทรงเรขาคณิตและแพตเทิร์นเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาจากอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบบรูทัลลิสต์ ไฮไลต์ของฟิตเนสแห่งนี้คือมีการจัดหาดีเจเข้ามาสปินแผ่นเพลงเจ๋ง ๆ พร้อมตกแต่งแสงไฟให้เหมือนไนต์คลับ เพื่อสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับการออกกำลังกาย VSHD Design ตั้งใจจะสร้างพื้นที่ออกกำลังกายให้มีกลิ่นอายเหมือนอยู่ในห้องใต้ดิน มอบความสงบ เป็นส่วนตัว และใช้งานดีไซน์เคร่งขรึมช่วยกระตุ้นให้ผู้ชายจริงจังกับการออกกำลังมากขึ้น ภายในโดดเด่นด้วยคาน เสา และผนังคอนกรีต พร้อมนำพาร์ติชั่นมากั้นเพื่อแบ่งโซนการออกกำลังกายอย่างเป็นระบบ แทนที่จะใช้การดีไซน์เปิดโล่งเพื่อให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามา ทีมนักออกแบบกลับประดับประดาแสงไฟสปอตไลต์มุ่งเน้นไปยังอุปกรณ์ออกกำลังกาย หวังปลุกเร้าอารมณ์และสะท้อนภาพลักษณ์ของฟิตเนสดั้งเดิม ทั้งยังติดตั้งกระจกทรงกลมเพื่อให้เกิดพื้นที่ต่อเนื่องแบบ open plan ช่วยให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกว่าฟิตเนสแห่งนี้กว้างขวางและไม่อึดอัดคับแคบ WAREHOUSE GYM ยังเลือกใช้วัสดุและของตกแต่งท้องถิ่นจากส่วนประกอบของธรรมชาติ
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา หนุ่ม ๆ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเวียนนาเมืองหลวงของประเทศออสเตรียได้เฉือนเอาชนะแชมป์เก่า 7 ปีซ้อนอย่างเมืองเมลเบิร์นของประเทศออสเตรเลีย ขึ้นแท่นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร Economist แต่ไม่ต้องเห็นผลการจัดอันดับก็พอทราบอยู่บ้างว่าเมืองเวียนนานั้นมีพื้นฐานการคมนาคมที่เป็นระบบ มีบรรยากาศอบอุ่นน่าอาศัย ทั้งยังมีเทคโนโลยีที่เอื้อประโยชน์ต่อชีวิตของชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้นเวียนนายังซ่อนกลิ่นอายทางสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่เป็นเอกลักษณ์และเสริมเสน่ห์ให้เมืองแห่งนี้ดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น OMA (Office for Metropolitan Architecture) สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1975 โดย Rem Koolhaas สถาปนิกชาวเนเธอร์แลนด์ ออกแบบสถาปัตยกรรมแห่งแรกในกรุงเวียนนาที่มีชื่อว่า ‘THE LINK’ ตั้งอยู่บนถนน Mariahilfe หนึ่งในถนนสายสำคัญใจกลางเมือง THE LINK เป็นทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เมือง และเชื่อมโยงเมืองเก่า ผู้คน สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ด้านหน้าดีไซน์ให้เป็นห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อเดินลอดผ่านซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่เรียงรายด้วยต้นไม้และพื้นที่นั่งสาธารณะ จะสามารถเชื่อมไปยังโรงแรมต่าง ๆ ด้านหลังได้ นอกจากที่นี่จะอัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมมากมาย ยังมีสวนบริเวณชั้นดาดฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่สวนผลไม้ไปจนถึงลานอาบแดด เพื่อสร้างสวนสาธารณะแห่งใหม่ให้ชาวเมืองและเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบเมืองได้อย่างแจ่มชัด การออกแบบภายนอกอาคารจะใช้สีขาวและครีมเป็นหลัก สอดแทรกโครงสร้างที่เป็นแพตเทิรน์เพื่อให้กลมกลืนกับเมืองเก่า พร้อมใช้กระจกใสสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบายและไม่อึดอัด การออกแบบด้านหน้าอาคารจะสอดแทรกแนวคิดเวียนนาซีเซสชัน (Vienna Secession) ที่ได้อิทธิพลจากศิลปินระดับตำนานอย่าง
การออกแบบพื้นที่พักอาศัยนับเป็นอีกหนึ่งผลงานสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญไม่น้อย ไม่เพียงสร้างสเปซเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้พักอาศัยในแง่ฟังก์ชัน แต่ยังต้องสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ เพื่อมอบประสบการณ์การพักอาศัยเหนือระดับและนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญปัญหาโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลาย และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม เหล่าสถาปนิกและสตูดิโอสถาปัตยกรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด หากขบคิดและสร้างสรรค์ไอเดียการออกแบบโดยหยิบนำ ‘ธรรมชาติ’ มาผนวกเข้ากับงานดีไซน์ จนได้ออกมาเป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่เล็งเห็นทั้งคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของธรรมชาติ BIG สตูดิโอสถาปัตยกรรมเจ้าดังได้ดีไซน์ ‘KING TORONTO’ สถาปัตยกรรมเรือนกระจกกลางกรุงโตรอนโตที่ปกคลุมไปด้วยธรรมชาติสีเขียว ตั้งอยู่ในย่าน King West ที่ตรอกซอกซอยทะลุถึงกันได้หมด แถมยังเป็นย่านที่มีชีวิตชีวาที่สุดแห่งหนึ่งของแคนาดา ผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ซ่อนกลิ่นอายบรูทัลลิสต์ เน้นหนักในการใช้แพตเทิร์นเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยได้อิทธิพลมาจากผลงาน Habitat 67 ในกรุงมอนทรีออลที่ดีไซน์โครงสร้างให้เป็นสามมิติ แต่จะต่างตรงที่ KING TORONTO เลือกใช้บล็อกแก้วโปร่งใสแทนบล็อกคอนกรีต บล็อกแก้วโปร่งใสนั้นทำให้มองเห็นการตกแต่งภายในของตัวอาคารได้เป็นอย่างดี แถมยังนำต้นไม้น้อยใหญ่มาผสมผสานกับงานดีไซน์ มีการปลูกต้นไม้ตามระเบียง ปลูกพืชเกาะผนังตามฟาซาด และสอดแทรกพื้นที่สีเขียวไว้ตามจุดต่าง ๆ ของอาคาร ธรรมชาติสีเขียวถือเป็นอีกหัวใจของโครงการ KING TORONTO เพราะนอกจากจะมอบบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้พักอาศัยแล้ว ยังช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวโดยไม่ปิดบังทัศนียภาพโดยรอบมากจนหนาทึบและน่าอึดอัด ด้านการตกแต่งภายในก็มีเสน่ห์ไม่แพ้ด้านนอกเลย ภายในอาคารได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสถาปัตยกรรมสแกนดิเนเวียนสมัยใหม่ เน้นการใช้วัสดุเรียบง่ายอย่างพื้นไม้ ผนังสีขาว และหินสีขาว เพื่อสะท้อนความอบอุ่น ดูเรียบง่าย แต่ยังคงทันสมัยพร้อมก้าวไปในทุกยุค นอกจากนั้นเพนเฮาส์แห่งนี้ยังมีสระว่ายน้ำในร่ม
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพกำแพงเมืองจีนที่ใช้โครงสร้างอิฐก้อนใหญ่ถมทับด้วยดินเหลืองและเศษหินความยาว 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศแดนมังกร และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ในอดีตกำแพงอิฐที่ทอดยาวนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานดินแดน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันล้ำค่า ที่เป็นรากฐานให้งานออกแบบชนิดอื่น ๆ นอกจากไม้ที่เป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมจีน การออกแบบพื้นที่ให้กว้างขวางก็เป็นอีกเอกลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทีมสถาปนิกของ Zaha Hadid Architects จึงหยิบโครงสร้างสถาปัตยกรรมจีนโบราณผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ จนออกมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง-ต้าซิง ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลงตัว แม้อาคารผู้โดยสารขนาด 700,000 ตารางเมตร จะดีไซน์ออกมาให้กะทัดรัด แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 72 ล้านคนต่อปี โครงสร้างของอาคารผู้โดยสารถูกล้อมด้วยหลังคากระจกที่เป็นเหมือนสกายไลต์ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติ พร้อมสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ให้กับเหล่านักท่องเที่ยว ที่นี่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ระบบดูดความร้อนจากชั้นพื้นดิน ทั้งยังออกแบบช่องทางลำเลียงน้ำฝนและมีระบบจัดการน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การออกแบบภายในถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่เน้นหนักในการจัดพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้แบบ open plan จากจุดศูนย์กลางของท่าอากาศยานผู้โดยสารสามารถเดินเชื่อมไปยังเครื่องบินโดยตรงผ่านประตูทั้ง 79 แห่ง เมื่อมองจากมุมสูงท่าอากาศยานแห่งนี้จะมีรูปทรงคล้าย ๆ ปลาดาว 5 แฉก ที่ไม่เพียงสวยงามแปลกตา
เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่พลาดจะที่หาเวลาไปเยือนเมืองเกาะอย่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อชื่นชมความงดงามของ ‘มหานครโตเกียว’ ที่เป็นเมืองหลวงและสัมผัสกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว แต่คงมีผู้ชายน้อยคนที่จะรู้จัก ‘เกียวโต’ อดีตเมืองหลวงของประเทศนี้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาของภูมิภาคคันไซ ที่นี่ไม่เพียงเป็นเมืองเก่าแก่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และมรดกโลกเอาไว้ หากยังเป็นที่ตั้งของคาเฟ่ช็อกโกแลตแบรนด์ดังใต้ชายคาบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุร่วมร้อยปี Fumihiko Sano Studio ได้สร้างร้านกาแฟควบช็อปช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ ‘Dandelion Chocolate’ ซึ่งถือเป็นบริษัทผลิตช็อกโกแลตอันโด่งดังที่มีสาขากระจายตัวอยู่ทั่วอเมริกาและญี่ปุ่น เมื่อเล็งเห็นเสน่ห์บางอย่างของเมืองเกียวโต แบรนด์ช็อกโกแลตรายนี้จึงเนรมิตบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุกว่าร้อยปี ให้กลายเป็นคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นและถอดแบบรสชาติช็อกโกแลตดั้งเดิมของซานฟรานซิสโกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน Dandelion Chocolate ตั้งอยู่บนนถนนที่เงียบสงบในย่าน Ichinenzaka ของเมืองเกียวโต ภายในพื้นที่ 200 ตารางเมตร มีช็อปช็อกโกแลตขนาดย่อมสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อกลับบ้าน มีบาร์โกโก้ให้สั่งเครื่องดื่มหรือแอลกอฮอล์แกล้มกับช็อกโกแลตของทางร้าน แถมภายนอกยังรายล้อมไปด้วยบรรยากาศสวนแบบดั้งเดิมสไตล์ญี่ปุ่น การตกแต่งภายในร้านเลือกใช้ไม้ซีดาร์เป็นวัสดุหลักของตัวโครงสร้าง พร้อมวางต้นซีดาร์ไว้บริเวณจุดศูนย์กลางของร้าน เพื่อสะท้อนถึงความสอดรับกันของเมนูช็อกโกแลตและไม้ซีดาร์ ซึ่งต้องใช้ทักษะงานคราฟต์และส่วมผสมที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจึงจะสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาได้ นอกจากนั้นไม้ซีดาร์ที่ประดับประดาตามจุดต่าง ๆ ยังบ่งบอกเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย จากความตั้งใจอยากรื้อฟื้นบรรยากาศเมืองเกียวโตแบบดั้งเดิมและสอดแทรกความเป็นซานฟรานซิสโกเข้าไว้ด้วยกัน ทีมสถาปนิกจึงรีโนเวตพื้นที่ภายให้ดูร่วมสมัย แต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเก่าของตัวบ้านอย่างคานและเสา ออกแบบพื้นที่ให้โปร่ง โล่ง สบาย ด้วยบานหน้าต่างกระจกทรงสูงที่ประดับแนบผนังตามทิศต่าง ๆ ของร้าน ช่วยเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน แถมยังเป็นการสร้างสเปซกว้างขวางในพื้นที่ขนาดย่อมได้อย่างไร้ที่ติ Dandelion Chocolate
จริงอยู่ที่ ‘สถาปัตยกรรม’ คือการออกแบบสิ่งก่อสร้างเพื่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร คอนโดมิเนียม หรือสิ่งก่อสร้างชนิดอื่น ๆ ที่มนุษย์ไม่อาจอยู่อาศัยได้อย่างเจดีย์ สถูป และอนุสาวรีย์ แต่สถาปัตยกรรมนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวงหรือหัวเมืองใหญ่เสมอไป ยังมีผลงานสถาปัตยกรรมเจ๋ง ๆ อีกมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้ในป่าทึบที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต ก็มีพื้นที่มากพอให้สถาปัตยกรรมได้เผยตัวตนและสอดแทรกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อย่างแนบเนียน BIG หนึ่งในสตูดิโอสถาปัตยกรรมชั้นนำของโลก ได้เข้ามารีโนเวตและแปลงโฉม Kistefos Museum and Sculpture Park ของประเทศนอร์เวย์ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางทางวัฒนธรรมที่เหล่านักท่องเที่ยวอยากมาเยือน ในอดีต Kistefos Museum and Sculpture Park ก่อตั้งเมื่อปี 1996 โดย Christen Sveaas นักธุรกิจและนักสะสมชาวนอร์เวย์ ซึ่งภายในประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรม หอแสดงนิทรรศการ และสวนประติมากรรม ที่จัดแสดงคอลเลกชันศิลปะของศิลปินดัง ทั้ง Anish Kapoor, Olafur Eliasson และ Fernando Botero เพื่อยกระดับผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ให้ดียิ่งขึ้น BIG จึงได้นำคอนเซ็ปต์ ‘The
หากพูดถึงความวุ่นวายและเร่งรีบ มโนภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวของหนุ่ม ๆ หลายคนคงหนีไม่พ้นสี่แยกกลางเมืองหลวงที่มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน เป็นเหมือนป่าคอนกรีตที่ห้อมล้อมกอดแน่นด้วยทัศนียภาพของสิ่งปลูกสร้างไร้ระเบียบ และแออัดยัดเยียดด้วยการจราจรที่ติดขัด ตลอดเส้นทางการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ดูเป็นเรื่องยากถ้าจะมองหาสเปซที่ช่วยให้คนเมืองอย่างเราได้พักผ่อนจากวิถีชีวิตอันรีบเร่ง สำหรับบ้านเราสเปซดังกล่าวอาจจะดูบางตา แต่ในกรุงลอนดอนเมืองหลวงของอังกฤษนั้นมีสถาปัตยกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาความวุ่นวาย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Paul Cocksedge ดีไซเนอร์หนุ่มชาวอังกฤษออกแบบ ‘Please Be Seated’ สถาปัตยกรรมกลางแจ้งขนาดยักษ์ ที่ใช้ไม้กระดานเรียงร้อยต่อกันจนเกิดเป็นวงแหวนทรงคลื่นสามชั้น ตั้งตระหง่านกลางทางเดินเท้าของย่าน Broadgate นอกจากสถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะสร้างสเปซให้คนเมืองได้มานั่งพักผ่อนในยามว่าง มันยังสร้างขึ้นเพื่อต้อนรับงาน London Design Festival ครั้งที่ 17 ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14-22 กันยายน ซึ่งถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองกรุงลอนดอนในฐานะศูนย์กลางการออกแบบระดับโลก Please Be Seated ถูกสร้างขึ้นบริเวณ Finsbury Avenue Square ข้าง ๆ อาคารสำนักงานหมายเลขหนึ่งแห่งกรุงลอนดอน แม้สถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้เป็นหลัก แต่รูปแบบงานดีไซน์ที่คล้ายกับคลื่นน้ำ ก็ช่วยทำให้ไม้แข็งทื่อนั้นมีชีวิตชีวาราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา Paul Cocksedge กล่าวว่าสถาปัตยกรรมกลางแจ้งชิ้นนี้ถูกดีไซน์มาอย่างรอบคอบ และคิดดีแล้วว่ามันจะช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมของทางเดินเท้าให้ดีขึ้น พร้อมยังสอดแทรกฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มเติมนอกจากความสวยงาม ตลอดพื้นไม้กระดานถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยโครงสร้างเหล็กและบล็อกทรงสี่เหลี่ยมคอยค้ำ ไม้กระดานที่ดีไซน์สโลปลงมาด้านล่างจะเป็นเหมือนเก้าอี้ควบพนักพิง ส่วนที่เป็นลูกคลื่นพุ่งทะยานขึ้นด้านบนจะเป็นทางเข้าเล็ก ๆ เพื่อให้ผู้คนเดินลอดผ่านไปยังวงแหวนอีกสองวงด้านใน
หากพูดว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่ง ‘วัสดุไม้’ ก็คงจะไม่ผิดนัก แม้ในอดีตไม้จะเป็นวัสดุจากธรรมชาติที่เหล่านักออกแบบต่างเมินหน้าหนี เพราะคิดว่ามันเปราะบาง ไม่ทนทานต่อสภาพอากาศ และยากที่จะนำมาสร้างงานทางสถาปัตยกรรม แต่ในปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าทั้งเปลือก กิ่งก้าน หรือแม้แต่ส่วนใบไม้สามารถนำมาต่อยอดและรังสรรค์ผลงานชิ้นต่าง ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ บวกกับนวัตกรรมการก่อสร้างที่ก้าวล้ำของมนุษย์ยุคก้าวกระโดด ทำให้ไม้ที่เคยเปราะบางถูกแปรรูปและพัฒนาจนมันหลุดออกจากข้อจำกัดด้านความแข็งแรงทนทาน ทั้งยังทนต่อความร้อนและยืดหยุ่นมากพอที่จะนำไปก่อสร้างตึกรามบ้านช่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งอาคารสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล อาคารสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่น หรืออาคารอบอุ่นแบบสแกนดิเวียน ล้วนมี ‘ไม้’ เป็นพระเอกหลักในการก่อสร้างด้วยกันทั้งนั้น วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ มาชมงานสถาปัตยกรรมเท่ ๆ ที่ใช้ไม้ซ้อนทับจนเกิดสเปซอบอุ่น แถมยังเล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมืองในเวลาเดียวกัน Odunpazari เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสไตล์โมเดิร์นที่ตั้งตระหง่านกลางเมือง Eskisehir ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี เกิดจากฝีมือของสถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น Kengo Kuma เขาใช้ไม้ทับซ้อนและเสียบประสานกันจนเกิดเป็นรูปร่างอาคารทรงบล็อกที่มีเอกลักษณ์ สร้างความอบอุ่น แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชื่อ Odunpazari ของอาคารนิยามถึง “ตลาดฟืนในตุรกี” ที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าไม้อันโด่งดังในยุคก่อน Kengo Kuma จึงหยิบนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาผูกโยงกับคอนเซ็ปต์การออกแบบ เพื่อให้พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้สามารถบอกเล่าประวัติศาสตร์และความทรงจำในอดีตของเมืองนี้ได้โดยสมบูรณ์ รูปแบบการดีไซน์ของตัวอาคารประกอบด้วยบล็อกทรงสี่เหลี่ยมเป็นหลัก อันเกิดจากคานไม้ลามิเนตที่ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บสะสมผลงานศิลปะในแขนงต่าง ๆ ตลอดพื้นที่ 4,500
‘ศิลปะ’ เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกแขนงหนึ่งของโลกที่ไม่เพียงสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ และแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานของศิลปิน หากยังเป็นสิ่งที่ช่วยจรรโลงจิตใจมนุษย์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแทบทุกรายละเอียดยิบย่อยในชีวิตเราล้วนมีศิลปะเกี่ยวพันอยู่เสมอ แม้ศิลปะจะไม่เคยหยุดอยู่กับที่และถูกนิยามความหมายใหม่ในบริบทที่แตกต่างกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังจำกัดศิลปะไว้เพียงในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ติดภาพจำเดิม ๆ ว่าศิลปะต้องเป็นภาพวาดหรืองานประติมากรรมที่ตั้งตระหง่าน แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลปะกว้างขวางมากกว่านั้น แล้วความสงสัยใคร่รู้ด้านศิลปะแขนงใหม่ก็พาเราเดินดุ่มมาหาคุณ ‘เบียร์-พันธวิศ’ คอลเลกเตอร์มือทองควบตำแหน่งพ่อมดแห่งวงการอีเวนต์ที่เชื่อเหมือนเราว่า ศิลปะไม่จำเป็นต้องอยู่ในแกลเลอรีเสมอไป มุมมองของคนเล่นของและศิลปะนอกแกลเลอรี “เบียร์-พันธวิศ” ถ้าเอ่ยชื่อนี้ในวงการอีเวนต์ เชื่อว่าหลายคนคงพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง เพราะเขาคือหนุ่มนักสร้างสรรค์ที่มีไอเดียในหัวพลุ่งพล่านไม่รู้จบ เป็นเจ้าของบริษัทด้าน New Media & Interactive Media, บริษัทตกแต่งภายใน, บริษัทร่วมทุนรับเหมาก่อสร้าง หรือแม้แต่ดิจิทัลเอเจนซี่น้องใหม่ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ นอกจากตำแหน่งงานในหลากมิติอุตสาหกรรม สิ่งหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้คือคุณเบียร์ พันธวิศ ลวเรืองโชค เป็นหนึ่งในคอลเลกเตอร์ตัวยงที่รวบรวมของสะสมไว้เต็มโกดัง เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้คือศิลปะอย่างหนึ่งที่แตกแขนงแยกย่อย “ศิลปะมันไม่ใช่อะไรที่สูงส่ง แค่เป็นสิ่งที่คนเข้าถึงได้” “ตั้งแต่เด็ก ๆ มาจนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าคนที่ทำงานในแวดวงศิลปะกำลังถูกละเลย ไม่ว่าจะนักออกแบบ ศิลปิน หรืออาชีพอะไรต่อมิอะไร เพราะหากพูดถึงงานศิลปะ ผู้คนมักจะนึกถึงภาพวาดและงานประติมากรรมเท่านั้น แต่แก้วน้ำ เสื้อผ้า จานชาม ผ้าห่ม หรือเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นศิลปะเหมือนกัน หากอยู่ใกล้ตัวมากไปจนผู้คนมองข้าม แค่นั้นเอง” แรงบันดาลใจที่เปลี่ยน ‘คนเล่นของ’
สไตล์มินิมัล (Minimal Style) เป็นอีกหนึ่งผลผลิตของศาสนาพุทธนิกายเซนที่หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น โดยมีคำสอนหลักคือเน้นความเรียบง่ายแต่ซ่อนความหมายสุดลึกซึ้งเอาไว้ แล้วแนวคิดทางศาสนาอันแรงกล้านี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้สไตล์มินิมัลเป็นที่ยอมรับและครองความนิยมอย่างล้นหลามในประเทศแดนปลาดิบ ด้วยพฤติกรรมการถอยห่างจากลัทธิบริโภคนิยมของวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น ทำให้คอนเซ็ปต์ ‘Less is more’ เริ่มคืบคลานเข้ามาในสังคมและผสมผสานกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลงตัว แล้วในปัจจุบันนี้คงต้องบอกว่าการออกแบบตกแต่งสไตล์มินิมัลนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีอิทธิพลต่องานดีไซน์ทั่วโลก เริ่มตั้งแต่แฟชั่น ของตกแต่ง การใช้ชีวิต หรือแม้แต่การออกแบบบ้าน ที่ลดทอนสิ่งไม่จำเป็นออกไป เหลือไว้เพียงความพอดี เป็นธรรมชาติ และกลิ่นอายความเรียบง่ายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตัวบ้าน วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะพาหนุ่ม ๆ มาชมงานดีไซน์มินิมัลเท่ ๆ ของบ้านขาวดำในบราซิลที่ผนวกความเรียบง่ายเข้ากับอิทธิพลของศิลปะ Bauhaus โดยสมบูรณ์ ‘RP HOUSE’ บ้านสีดำสุดเท่หลังนี้เป็นผลงานการออกแบบของ Estúdio BG สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังแห่ง São Paulo ที่ตัดสินใจตอกเสาเข็มใจกลางเมือง Ribeirão Preto ของ Brazil จนเกิดเป็นตัวบ้านเรียบง่ายสองชั้น ที่สร้างพื้นผิวเรียบเนี้ยบจากสีขาวโพลน ก่อนจะชูความโดดเด่นของโครงเหล็กสีดำทึบที่เป็นพระเอกหลักของบ้านหลังนี้ จุดนำสายตาที่ขโมยความสนใจเราไปตั้งแต่แรกเห็น คือทฤษฎีการทำซ้ำที่จัดวางเค้าโครงให้เป็นแพตเทิร์นเดียวกัน ทั้งยังนำมาตรฐานของโรงเรียนสอนศิลปะและการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง Bauhaus ช่วงศตวรรษที่ 20 เข้ามาสอดแทรกในผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ด้วย ตัวโครงสร้างหลักเป็นการจัดองค์ประกอบบ้านด้วยรูปทรงเรขาคณิต ใช้หลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กกล้า