ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ประเทศที่มีวัฒนธรรมและประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์มินิมัลและนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต ตั้งแต่หุ่นยนต์อาซิโมที่เติบโตมากับเราตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง ดูเหมือนว่าแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเมืองไปพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Toyota บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น จับมือกับ BIG สตูดิโอสถาปัตยกรรมเดนมาร์ก เผยแผนการสร้าง ‘Toyota Woven City’ เมืองต้นแบบแห่งอนาคต (Prototype City of the Future) ที่เป็นมิตรต่อผู้คนและธรรมชาติ แผนการออกแบบ Toyota Woven City เปิดเผยในงาน Consumer Electronics Show (CES) ซึ่งจัดขึ้นที่นครลาสเวกัส และนำเสนอโครงสร้างเมืองต่อสายตาสาธารณชนผ่านภาพเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นโดย Squint/Opera สตูดิโอดิจิทัลในกรุงลอนดอน โรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองซูโซโนะกำลังจะปิดตัวลงภายในปี 2020 และพื้นที่ขนาด 70 เฮกตาร์จะถูกเนรมิตให้กลาย Toyota Woven City ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างเฟสแรกในปี 2021 เมืองนี้จะสร้างขึ้นบริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ เพื่อให้นักวิจัย วิศวกร และเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งหุ่นยนต์, ปัญญาประดิษฐ์, สมาร์ตโฮม หรือแม้แต่ยานยนต์ไร้คนขับในสภาพแวดล้อมจริง
ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรจากวงกลมอาร์กติก (Arctic Circle) คุณจะพบกับเมือง Andenes ที่ตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะ Andøya ในเขต Nordland ของประเทศนอร์เวย์ ที่นี่เป็นทางผ่านระหว่างการอพยพของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 50,000 คน เดินทางมายัง Andenes เพื่อชมการย้ายถิ่นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นตั้งแต่บนบกยันใต้น้ำ บวกกับอุณหภูมิหนาวเย็น ความมืดมิด และระดับน้ำทะเลลึกว่า 1,000 เมตร ทำให้ Andenes ไม่เพียงเป็นพิกัดชมแสงเหนือยอดนิยม หากยังเป็นแหล่งอาศัยของปลาหมึก และปลาหมึกก็เป็นอาหารอันโอชะของวาฬสเปิร์มหรือวาฬหัวทุยด้วย หลังจากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันระดับนานาชาติ Dorte Mandrup สตูดิโอของสถาปนิกหญิงชาวเดนมาร์ก ก็ได้สิทธิ์ดีไซน์ ‘The Whale’ สถาปัตยกรรมสำหรับชมฝูงวาฬ ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งของเมือง Andenes ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ชมวาฬที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เห็นวาฬอพยพอย่างใกล้ชิดแล้ว Dorte Mandrup ยังตั้งใจให้ The Whale กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของนอร์เวย์ ที่ช่วยกระตุ้นให้คนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลมากยิ่งขึ้น แม้มองเผิน ๆ รูปร่างของอาคารหลังนี้จะดูเหมือนก้อนหินขนาดยักษ์ แต่จริง ๆ แล้วตัวอาคารถูกดีไซน์ให้คล้ายกับหางปลาวาฬที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
สโมสรฟุตบอลอังกฤษไม่ได้มีดีแค่นักเตะมากฝีมือ หากยังมีสโมสรฟุตบอลที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วย หลังจากปี 2016 ที่ Zaha Hadid Architects (ZHA) สตูดิโอสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลกชนะการแข่งขันออกแบบสนามฟุตบอลสำหรับสโมสรฟุตบอลอาชีพ Forest Green Rovers F.C. ในที่สุด Zaha Hadid Architects (ZHA) ก็สร้างสนามฟุตบอลขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นสนามฟุตบอลไม้แห่งแรกของโลก ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนด้วยพลังงานยั่งยืน และรองรับผู้ชมได้สูงสุดมากถึง 5,000 คน สนามฟุตบอลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับสโมสรฟุตบอลอาชีพ Forest Green Rovers F.C. และจะสร้างขึ้นในเมืองกลอเซสเตอร์เชียร์ (Gloucestershire) ของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกันกับสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ โครงสร้างของสนามสร้างขึ้นจากไม้ชนิดพิเศษที่ผ่านการเคลือบพื้นผิวด้วยสารเคมีหน่วงไฟ จึงติดไฟยากและลดการแพร่กระจายของเพลิงไหม้ได้ดี สนามปกคลุมด้วยหลังคาโปร่งใสชนิดพิเศษ ช่วยลดเงาบนสนามที่อาจรบกวนผู้เล่นในระหว่างการแข่งขัน พร้อมทั้งทำให้หญ้าเติบโตงอกงามภายใต้แสงแดดในเวลาเดียวกัน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับการสร้างสนามฟุตบอลแต่ละแห่ง และผู้คนส่วนใหญ่จะมองการว่าสร้างสนามฟุตบอลขนาดยักษ์ได้ ต้องกินพื้นที่ธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียวไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แต่สนามฟุตบอลแห่งนี้ช่วยลดความกังวลว่าการออกแบบสนามจะต้องสูญเสียพื้นที่สีเขียว เพราะสนามฟุตบอลไม้ของสโมสร Forest Green Rovers F.C. สร้างสนามฟุตบอลไปพร้อม ๆ กับพื้นที่สีเขียว Forest Green Rovers
ถ้าพูดถึงประเทศสกอตแลนด์ ผู้ชายหลายคนคงจินตนาการถึงเมืองเก่าแก่อย่างเอดินบะระ (Edinburgh) อันเป็นเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ แต่เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้จักสกอตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands) ดินแดนทางตอนเหนือและตะวันตกของเกาะอังกฤษ สกอตติช ไฮแลนด์ส ไม่เพียงเป็นบ้านเกิดของสายลับเจมส์ บอนด์ จากภาพยนตร์เรื่อง Skyfall ปี 2012 เท่านั้น แต่ที่นี่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเอาไว้ เป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยเทือกเขา ทุ่งหญ้า ทะเลสาบ และธรรมชาติเต็มพื้นที่โดยไม่เหลือที่ว่างให้ตึกระฟ้าผุดขึ้นมา Mary Arnold-Forster Architects สตูดิโอผู้คร่ำหวอดด้านการสร้างสถาปัตยกรรมแบบยั่งยืน จึงนำหลักสถาปัตยกรรมมาผสมผสานกับความงดงามของธรรมชาติ เพื่อดึงสุนทรียภาพของทั้งสองสิ่งนี้ออกมา จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมบ้านไม้รูปทรงเรขาคณิตในหมู่บ้าน “Nedd” ของเมืองซูเธอร์แลนด์ (Sutherland) ประเทศสกอตแลนด์ เนื่องจากทีมสถาปนิกตั้งใจจะสร้างบ้านโดยไม่ทำลายก้อนหินรอบข้าง พวกเขาจึงต้องสำรวจพื้นที่เพื่อกำหนดตำแหน่งที่แน่นอนก่อนตอกเสาเข็ม แม้การเข้าถึงไซต์ก่อสร้างจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะต้องวิ่งผ่านถนนเส้นเล็กเพียงเส้นเดียว แต่ทีมสถาปนิกก็สามารถสร้างบ้านขึ้นมาได้และเลือกพื้นที่ที่อยู่ระหว่างหินสองก้อนเป็นทำเลที่ตั้งของบ้านหลังนี้ วัสดุหลักที่ห่อหุ้มเปลือกนอกของบ้านใช้ไม้กระดานจากต้นสนที่เคยถูกไฟไหม้ นอกจากจะนำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว พื้นผิวผนังด้านนอกของไม้ยังมอบความงดงามที่ต่างจากวัสดุไม้ทั่วไปอีกด้วย แม้โครงสร้างของบ้านจะถูกยึดด้วยเสาคอนกรีต แต่กลับไม่ได้ปูด้วยพื้นคอนกรีต เพราะกลัวว่าผิวดินจะรองรับน้ำหนักของบ้านมากเกินไป จึงเลือกใช้เป็นพื้นไม้ลามิเนตแทน พื้นที่ใช้สอยในบ้านถูกแบ่งเป็นสามส่วนคือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอนหลัก และห้องนอนสำหรับแขก ซึ่งโถงทางเดินของบ้านก็สามารถเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกัน มีหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดให้เห็นวิวทุ่งหญ้า เทือกเขา และทะเลสาบ Loch
การมีบ้านพักตากอากาศสักหลังคงเป็นอีกหนึ่งความฝันของผู้ชายหลายคน เพราะคอนโดกลางใจเมืองอาจไม่ได้ตอบโจทย์ความสงบและเป็นส่วนตัวมากเท่าไรนัก บวกกับวิถีชีวิตรีบเร่งและความวุ่นวายที่หนุ่มคนเมืองต้องเจอ ทำให้บางครั้งก็อดโหยหาความสงบและส่วนตัวจากบ้านพักตากอากาศไม่ได้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ ทิ้งห่างจากป่าคอนกรีตที่ว้าวุ่นชั่วขณะ มาชมบ้านพักตากอากาศแสนสงบริมชายหาดเม็กซิกัน ที่เราเชื่อว่าคงเป็นบ้านในฝันอีกหลังของผู้ชายอย่างคุณ บ้านโทนสีอบอุ่นหลังนี้ออกแบบโดย Colectivo Lateral de Arquitectura สตูดิโอสถาปัตยกรรมสัญชาติเม็กซิกัน ที่ใช้ทำเลริมชายหาดปลายาบลองกา (Playa Blanca) ในเมืองซิฮัวตันเนโจ (Zihuatanejo) ของเม็กซิโก สร้างสถาปัตยกรรมโครงสร้างเรขาคณิตที่ดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ เนื่องจากชายหาดปลายาบลองกาตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเล็กน้อย จึงมีสภาพอากาศอบอุ่นกำลังดีบวกกับทัศนียภาพของชายหาดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของคนเม็กซิกัน บ้านพักตากอากาศหลังนี้ออกแบบผนังและหลังคาด้วยคอนกรีตผสมกับ Tepetate หรือดินเหนียวสีแดง อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของเม็กซิโกที่ช่วยให้บ้านมีโทนสีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่น แม้โครงสร้างคอนกรีตจะดูทึบตัน แต่ก็เพิ่มสเปซโปร่งโล่งให้บ้านด้วยประตูกระจกบานเลื่อน และหน้าต่างกระจกทรงสูงหุ้มกรอบไม้ แถมลานรอบบ้านยังสอดแทรกพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้พักอาศัยกับธรรมชาติ บริเวณกึ่งกลางของบ้านขนาด 750 ตารางเมตร ถูกจัดสรรให้เป็นสองห้องนอนขนาดใหญ่ ทั้งยังมีห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารแบบเปิดโล่งที่เชื่อมต่อกับห้องครัวได้ แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่ก็มีบันไดมุ่งหน้าไปยังลานดาดฟ้าเพื่อให้ผู้อาศัยได้กินลมชมวิวและผ่อนคลายกับธรรมชาติ บางส่วนของบ้านดีไซน์ให้เป็นห้องทำสมาธิที่ตัดเพดานเป็นช่องวงกลม เพื่อให้องค์ประกอบทางธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาในบ้านได้ ทั้งเม็ดฝน สายลม หรือแสงแดด แต่ก็มีช่องพื้นดินที่อุดด้วยก้อนหินช่วยระบายน้ำฝนอีกแรง บริเวณนอกบ้านสร้างบ่อน้ำขนาดเล็กช่วยเปลี่ยนลมร้อนที่พัดเข้าบ้านให้เย็นสบายยิ่งขึ้น มีพื้นที่สระว่ายน้ำรูปตัวแอล (L) ที่สร้างจากใต้ชายคายืดออกไปยังชายหาด ครอบคลุมทั้งการว่ายน้ำในร่มและกลางแจ้ง แถมยังมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี่เป็นบ้านอีกหลังที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของธรรมชาติและสะท้อนอิทธิพลของสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล ที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่น
คงมีผู้ชายน้อยคนที่เคยได้ยินชื่อประเทศไนเจอร์ หรือ สาธารณรัฐไนเจอร์ (Republic of Niger) ประเทศเล็ก ๆ ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกาที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนัก แต่หากพูดถึงทะเลทราย Sahara ก็คงทำให้หนุ่ม ๆ ต้องร้อง “อ๋อ” เป็นเสียงเดียวกันแน่นอน ใช่ครับ พื้นที่กว่า 80% ของประเทศไนเจอร์ถูกปกคลุมด้วยทะเลทราย Sahara ที่เราคุ้นหูกันดี แต่น่าแปลกที่ใครหลายคนกลับไม่เคยรู้จักประเทศนี้มาก่อนเลย จนในที่สุดสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญก็เผยตัวขึ้นที่นี่ และทำให้ประเทศในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสายตาของชาวโลก Atelier Masomi สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่นในการก่อสร้าง ได้นำอิฐดินดิบมาสร้างสรรค์อาคารทั้ง 5 หลังใจกลางเมืองนีอาเม เมืองหลวงของไนเจอร์ เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์วัฒนธรรมของประเทศ และเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของเมืองที่จะเปลี่ยนชีวิตของชาวเมืองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ศูนย์วัฒนธรรมจะถูกสร้างขึ้นบริเวณกึ่งกลางเมือง อันเป็นจุดแบ่งระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวแอฟริกันพื้นเมือง และ Atelier Masomi ก็หวังว่าสถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะรวบรวมผู้คนจากสองฝั่งเมืองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ อาคารทั้ง 5 จัดสรรให้เป็นพื้นที่หอประชุมสำหรับการแสดง แกลเลอรี่ คาเฟ่ พื้นที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และห้องสมุด ซึ่งนับเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในเมืองหลังจากที่ประเทศไนเจอร์ได้รับเอกราช วัสดุที่ห่อหุ้มตัวอาคารคืออิฐดินดิบ อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของไนเจอร์และเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคนี้ เฉดสีและพื้นผิวของอิฐสะท้อนถึงความอบอุ่นและซ่อนกลิ่นอายทะเลทรายเอาไว้ แถมยังทำให้อาคารแห่งนี้ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับมันเป็นโครงสร้างที่ผุดขึ้นจากพื้นอย่างไรอย่างนั้น การดีไซน์ภายนอกตอกเสาเข็มให้หอคอยครึ่งวงกลมทั้ง 4
มินิมัลเป็นอีกหนึ่งสไตล์การออกแบบที่ผู้ชายหลาย ๆ คนหลงใหล เพราะนอกจากจะใช้วัสดุน้อยชิ้นแล้ว บ้านที่ออกแบบด้วยสไตล์มินิมัลยังดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ธรรมดาของผู้ชายเราเป็นอย่างดี Think Architecture สตูดิโอสถาปัตยกรรมรายนี้ก็เชื่อว่ามินิมัลสไตล์ยังคงมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม พวกเขาจึงนำสไตล์มินิมัลอันโด่งดังของแดนปลาดิบมาสร้างสรรค์บ้านกลางเนินเขา ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสมบูรณ์ ‘House in a Park’ เป็นบ้านสไตล์มินิมัลในเมืองซูริคของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยออกแบบบ้านให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมภายนอก ดีไซน์ตัวบ้านเป็นรูปทรงเรขาคณิตโดยมีหลังคาสีขาวยึดตัวโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผนังหน้าบ้านเป็นปูนปลาสเตอร์และหินธรรมชาติสีอ่อน พร้อมจัดวางกระจกทรงสูงแซมไปกับผนังเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและทำให้บ้านดูปลอดโปร่งยิ่งขึ้น จุดนำสายตาของบ้านคือหินทรงสี่เหลี่ยมที่วางซ้อนกันเป็นขั้นบันได เหมือนกำลังหลอกตาว่าบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินและส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่วนภายในบ้านจะดีไซน์ผนังด้วยสีขาวเป็นหลัก ซอยย่อยเป็นโซนห้องนอน ห้องดนตรี และห้องโถง ซึ่งทุกห้องพักภายในบ้านจะเชื่อมต่อกับธรรมชาติภายนอกผ่านกระจกใสที่มีความสูงตั้งแต่พื้นดินจรดเพดาน ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาและทะเลสาบซูริคด้านนอกได้ ตัวบ้านแบ่งเป็น 2 ชั้น แต่ชั้นล่างจะสร้างลงไปในชั้นใต้ดิน เพื่อให้ตัวอาคารไม่กินพื้นที่และกลมกลืนไปเนินเขาอันเป็นที่ตั้งของบ้าน ชั้นล่างของบ้านยังมีมุมพักผ่อน มุมออกกำลังกาย รวมทั้งสระว่ายน้ำในร่มที่ใช้กระเบื้องโมเสคสีดำและแผงอะคูสติกซีดาร์สีแดงตกแต่งด้านบน สร้างบรรยากาศสงบ สบาย และช่วยให้ผู้พักอาศัยได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ‘House in a Park’ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของบ้านสไตล์มินิมัลที่ปลูกสร้างบนเนินเขาลาดชันได้อย่างงดงาม ทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับพื้นที่ธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ไม่หลงลืมทฤษฎีโครงสร้าง พื้นที่ใช้สอย และความสุขของผู้อาศัยที่เป็นหัวใจของงานสถาปัตยกรรม Photography is by Simone
นอกจากรถของเล่น เกมบอยตลับ และบรรดาหุ่นยนต์กันดั้มที่โตมากับเราตั้งแต่เด็ก ก็มีตัวต่อเลโก้ (LEGO) ที่เป็นหนึ่งในความทรงจำของเด็กผู้ชาย แถมยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานจนถึงปัจจุบัน เลโก้ (LEGO) เป็นตัวต่อพลาสติกที่เริ่มผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1949 ที่เมืองบิลลุนด์ (Billund) ประเทศเดนมาร์ก จากฝีมือของช่างไม้ระดับปรมาจารย์ Ole Kirk Christiansen ที่สร้างก้อนอิฐพลาสติกหลากสีขนาดต่าง ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ นำมาต่อประกอบกันจนเกิดเป็นรูปร่างมากมาย CF Møller Architects สตูดิโอสถาปัตยกรรมแห่งเดนมาร์กจึงนำเอกลักษณ์ของเลโก้ มาถ่ายทอดผ่านดีไซน์ของอาคารสำนักงานใหญ่เลโก้ เพื่อให้สถาปัตยกรรมแห่งนี้สะท้อนความทรงจำในวัยเด็กที่แสนมีค่าของใครหลาย ๆ คน อาคารทั้งสองหลังที่สร้างขึ้นครอบคลุมพื้นที่กว่า 52,000 ตารางเมตร ตัวโครงสร้างออกแบบให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต วางก้อนอิฐขนาดใหญ่ด้านหน้าอาคาร เน้นการใช้โครงเส้นหนาและกระจกทรงสูงเพื่อมอบความรู้สึกที่เปิดโล่ง แถมยังมีตัวต่อเลโก้ขนาดยักษ์ที่ยื่นออกมาจากหลังคาเป็นจุดนำสายตาหลัก ทีมนักออกแบบอยากถ่ายทอดความภาคภูมิใจของเด็กคนหนึ่งที่ต่อเลโก้จนสำเร็จ จึงดีไซน์ภายนอกอาคารให้ดูสนุกสนาน แม้จะใช้โครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบเรขาคณิตบอกถึงความแข็งแกร่งขององค์กร แต่ก็สอดแทรกจินตนาการและความสนุกสนานแบบเด็ก ๆ ผ่านตัวต่อเลโก้ที่ซ่อนไว้ตามจุดต่าง ๆ การออกแบบภายในก็โดดเด่นไม่แพ้ด้านนอก มีบันไดวนสีเขียวมะนาวและดีไซน์พื้นตลอดจนผนังให้เป็นหลากสีสัน นำแผ่นยิปซัมไฟเบอร์มาใช้เพื่อลดปริมาณการใช้โครงเหล็ก แถมยังใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุหลักในการออกแบบ สะท้อนสไตล์นอร์ดิก (Nordic Style) หรือ สแกนดิเนเวียน
Farnsworth House เป็นบ้านพักตากอากาศอันโด่งดังของ Edith Farnsworth ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองพลาโน ในรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา บ้านรูปทรงเรขาคณิตหลังนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1945-1951 ออกแบบโดย Ludwig Mies van der Rohe สถาปนิกลูกครึ่งเยอรมัน-อเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ บนพื้นที่ขนาด 10 เอเคอร์ ห้อมล้อมด้วยต้นไม้นานาชนิดและอยู่ห่างจากแม่น้ำฟ็อกซ์เพียง 100 ฟุต การออกแบบบ้านใช้โครงสร้างสถาปัตยกรรมเป็นเรขาคณิต นำเสาเหล็กรูปตัวไอ (I) แปดเสามารองรับโครงหลังคา และยกพื้นบ้านขึ้นจากพื้นดิน 5 ฟุต 3 นิ้ว เพื่อให้มองเห็นสเปซตั้งแต่พื้นจรดเพดานได้อย่างแจ่มชัด ด้วยแนวคิดที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ บวกกับรูปทรงเรขาคณิตที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Farnsworth House ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมสไตล์นานาชาติแห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นอื่น ๆ ทั่วโลก แถม National Trust ยังจัดให้ที่นี่เป็นโบราณสถานเพื่ออนุรักษ์ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม โดยผู้เข้าชมทุกคนจะต้องเช็กอินที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและเข้าชมบ้านหลังนี้ได้ต่อเมื่อมีไกด์นำเที่ยวเท่านั้น แต่เมื่อมีสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ ผุดขึ้นทั่วโลก บ้านเรขาคณิตหลังนี้ก็กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกลืม ซ้ำร้ายคือที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำมากนัก ทำให้
ในบรรดาสถาปัตยกรรมทั้งหมด คงต้องยอมรับว่า ‘สถาปัตยกรรมภายใน’ เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผู้ชายเรามากที่สุด มันครอบคลุมตั้งแต่การใช้ชีวิตในบ้านไปจนถึงที่ทำงาน นอกจากจะมุ่งเน้นจัดวางพื้นที่ในอาคารให้ตอบโจทย์ด้านสุนทรียศาสตร์แล้ว ยังเน้นหนักด้านประโยชน์การใช้สอยเพื่อให้ผู้คนที่อยู่แวดล้อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมาด้วย แม้แต่ Branch Studio Architects สตูดิโอสถาปัตยกรรมชื่อดังยังนำหลักการออกแบบภายในมาปรับใช้ และแปลงโฉมอาคารบริหารของโรงเรียน Caroline Chisholm College ในเขต Braybrook ของกรุงเมลเบิร์น ให้กลายเป็นผลงานสถาปัตยกรรมสุดเท่ โดยมีกระดาษแข็งทรงกระบอกเป็นพระเอกหลักในการออกแบบ ‘Office Square’ หรือ ‘Piazza Dell’Ufficio’ ในภาษาอิตาลี เป็นอาคารสำนักงานรกร้างที่ไม่ได้ถูกใช้งานมาตั้งแต่ปี 1970 เดิมทีผนังอาคารจะดีไซน์เป็นสีฟ้าหม่น มาพร้อมมูลี่สีเบจที่ยิ่งเพิ่มความหม่นหมองขึ้นเป็นเท่าตัว ก่อนที่ Branch Studio Architects จะเข้ามาปรับปรุงโครงสร้างภายในของอาคารและเนรมิตพื้นที่เก่าเก็บให้กลายเป็นผลงานดีไซน์สุดเท่ สำหรับรองรับแผนกบัญชีและสวัสดิการของโรงเรียน Caroline Chisholm College แห่งนี้ จุดประสงค์ในการออกแบบอาคาร Office Square ไม่เพียงทำพื้นที่ให้เกิดประโยชน์และยกระดับงานดีไซน์ให้มีเสน่ห์ยิ่งขึ้น หากสถาปัตยกรรมภายในยังเข้ามาช่วยทำให้การติดต่อสื่อสารของพนักงานและนักเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น บริเวณศูนย์กลางของสำนักงานสร้างเป็นสเปซเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “Clock Tower” จัดวางกระดาษแข็งทรงกระบอกให้โค้งเข้าหากันจนเกิดเป็นมุมพักผ่อนขนาดย่อม ด้านในมีเคาน์เตอร์ทรงโค้งมนที่ดีไซน์มาให้คล้ายกับหน้าปัดของนาฬิกา พื้นที่โดยรอบจะแยกออกเป็นห้อง ๆ