‘ภูมิสถาปัตยกรรม’ หรือ Landscape Architecture เป็นการนำหลักศิลปวิทยาที่ว่าด้วยการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ภายนอกอาคารมาปรับแต่งภูมิทัศน์โดยรอบของเมือง เริ่มตั้งแต่สวนสาธารณะ จัตุรัสกลางเมือง หรือแม้แต่ถนนเส้นเล็กที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่แวดล้อม จริงอยู่ที่โลกเรานั้นเจริญก้าวหน้าและไม่เคยหยุดอยู่กับที่ แต่อีกปัญหาที่หลากประเทศเป็นกังวล คือสังคมผู้สูงอายุซึ่งกำลังย่างกรายเข้ามาและเติบโตโดยสมบูรณ์แล้วในบางประเทศ ด้วยเหตุนี้สมาคมภูมิสถาปนิกแห่งอเมริกา (American Society of Landscape Architects) ที่รวมเหล่าสถาปนิกราว 15,000 คน จึงนำการดีไซน์แบบสากลมาประยุกต์ใช้กับถนนหนทางและพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เหล่าผู้สูงอายุตลอดจนคนธรรมดามีสถานที่พักผ่อนและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม บางครั้งการออกแบบพื้นที่ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นให้เลิศหรูอลังการ เพราะการแปลงโฉมและรังสรรค์สเปซด้วยความเรียบง่ายก็น่ายกย่องไม่แพ้กัน หากมันตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองได้จริง แล้วนี่คือ 3 ภูมิสถาปัตยกรรมที่มอบสิ่งปลูกสร้างธรรมดาเป็นพิเศษและพิชิตใจคนเมืองได้เต็มเปา Tongva Park, Santa Monica, California ชื่อ ‘Tongva Park’ ตั้งขึ้นจากการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมประเพณีอันยาวนานของชาวตองกาพื้นเมือง ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้มานานนับ 1,000 ปี บนพื้นที่สาธารณะขนาด 6 เอเคอร์ ถูกจัดสรรให้เป็น 4 ส่วนหลักคือ Observation Hill, Discovery Hill, Garden Hill, และ Gathering Hill
หากพูดถึง ‘ความร่วมสมัย’ หนุ่ม ๆ หลายคนคงมโนภาพไปถึงตึกรามบ้านช่องเก่าแก่และสไตล์การตกแต่งโบราณที่ดูจะหลุดออกจากความนิยมของคนหมู่มากไปแล้ว แต่แท้ที่จริงการตกแต่งแบบร่วมสมัย หรือ Contemporary Style เป็นการหยิบความนิยมของปัจจุบันมาผนวกเข้ากับเอกลักษณ์งานดีไซน์จากอดีตที่ยังมีเสน่ห์เหนือกาลเวลา การตกแต่งสไตล์นี้มักจะเน้นความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่ทำให้พื้นที่ดู ‘มากล้น’ จนเกินไป อาจเลือกใช้โครงสร้างยุคเก่าและเติมแต่งความทันสมัยด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งอื่น ๆ โดยไม่ได้มีกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่ตายตัว หากต้องเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ก่อร่างขึ้นแล้วกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเท่านั้น ด้วยความเร็วเครื่องบิน 14 ชั่วโมง 30 นาที เดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปยังสเปน ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเกาะอิบิซา (Ibiza) หนึ่งในหมู่เกาะแบลีแอริกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากที่นี่จะโด่งดังด้านสถานบันเทิงยามราตรี เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน และมีสีสันของชีวิตกลางคืนที่เป็นจุดเด่นและเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศให้มาเยือน เกาะอิบิซาแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของชุมชนแสนสงบและซุกซ่อนโรงแรมสไตล์ร่วมสมัย ที่ไม่ได้ขัดแย้งแถมยังไปกันได้ดีกับสภาพแวดล้อมภายนอก La Granja Ibiza Dreimeta สตูดิโอออกแบบชื่อดังในเยอรมนีเปลี่ยนแปลงไร่อายุร่วม 200 ปีและกระท่อมเก่าคร่ำคร่าให้กลายเป็นโรงแรมร่วมสมัยบนพื้นที่ 10 เฮกเตอร์ ที่นี่มีห้องพักให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งห้องธรรมดาและเกสต์เฮาส์ มีสระว่ายน้ำ ห้องครัว และฟาร์มในตัว ทำให้เมนูอาหารของ LA GRANJA IBIZA แห่งนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากผักผลไม้กว่า 30 ชนิด ทั้งบีทรูท,
ย้อนไปในปี ค.ศ. 1950-1970 เป็นช่วงเวลาที่การออกแบบสไตล์บรูทัลลิสต์ครองความนิยมทั่วโลก เพราะเน้นการแสดงออกเชิงโครงสร้าง เลือกใช้สัจจะวัสดุอย่างคอนกรีตเป็นพระเอกของเรื่อง อวดพื้นผิวที่เป็นธรรมชาติ พร้อมเปิดให้เห็นเนื้อแท้ของวัสดุก่อสร้างอย่างโจ๋งครึ่ม ไม่เพียงออกแบบเปลือกนอกของตัวอาคารด้วยรูปทรงเรขาคณิต แต่ยังนำแพตเทิร์นซ้ำไปซ้ำมาสร้างความโดดเด่นให้สถาปัตยกรรมสไตล์นี้ ซึ่งคอนเซ็ปต์การดีไซน์นั้นแฝงกลิ่นอายของยุโรปสมัยก่อนและคงเสน่ห์แห่งความร่วมสมัยมาจนถึงปัจจุบัน สถาปัตยกรรมที่ถูกนำมาใช้ในอาคารราชการ เพราะสะท้อนอุดมการณ์แรงกล้า BRUTALIST ARCHITECTURE ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่อัดแน่นไปด้วยอุดมการณ์และความซื่อสัตย์สุจริต ในอดีตมันคือสิ่งแปลกใหม่ที่โค่นล้มความคิดเก่าคร่ำครึในแวดวงสถาปัตยกรรมไปได้แบบขาดรอย แถมรูปแบบงานดีไซน์ยังถูกนำไปใช้ในการออกแบบอาคารราชการและอนุสรณ์สถาน เนื่องจากบ่งบอกถึงความแข็งแรง มั่นคงหนักแน่น และตรงไปตรงมา แต่บางทีมันก็แสดงออกถึงความเป็นเผด็จการ เมื่อสังคมเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ความคิดความอ่านของผู้คนก็แปรผัน สถาปัตยกรรมแนวบรูทัลลิตส์ที่เคยงดงามถูกมองว่าโหดร้าย เข้าถึงยาก และดูเป็นนามธรรม ทั้งยังนำไปผูกโยงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้รูปทรงเรขาคณิตและปูนเปลือยที่เป็นเอกลักษณ์กลับสื่อถึงความเป็นเผด็จการและแสดงความก้าวร้าวรุนแรง ต้องบอกว่าความคิดสมัยใหม่นั้นเจาะทำลายโครงสร้างของสถาปัตยกรรมแนวนี้ไปได้อย่างง่ายดาย แถมมีการประเมินว่าโครงสร้างแข็งแรงทนทานของสถาปัตยกรรมบรูทัลลิสต์ ต้องใช้เงินมหาศาลในการทำนุบำรุงและเป็นเรื่องยากที่จะดัดแปลงหรือแต่งเติม การกลับมาของสถาปัตยกรรมที่เคยถูกดูแคลน แต่แล้วแนวคิดที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าน่าเกลียดน่าชังในอดีต ก็หวนคืนสู่วงการสถาปัตยกรรมและกลับมาผงาดอีกครั้งอย่างสง่างาม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการหยิบเอารูปแบบงานดีไซน์คอนกรีตของบรูทัลลิสต์ มาดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน แม้จะลดทอนความแข็งกร้าวของรูปทรง แต่ยังคงการเล่นแพตเทิร์นและคอนกรีตที่เป็นเอกลักษณ์ แต่เปลี่ยนจากคอนกรีตเปลือยที่หนาเตอะวิวัฒนาการเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กกล้าที่ยังแข็งแกร่ง ทนทาน และงดงามเหนือกาลเวลาเช่นเคย Centre Point, London Habitat 67, Montreal Sirius Building, Sydney Robarts Library, Toronto Hayward
LAYAN สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังได้ดีไซน์บ้าน ‘LIGHT HOUSE’ แก่ผู้อำนวยการของ The Flaming Beacon ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบไฟระดับนานาชาติในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จากกระท่อมคนงานเก่าคร่ำคร่าถูกขยายและปรับปรุงให้เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างสเปซบริเวณลานกลางบ้าน พร้อมต่อเติมด้านบนของโครงสร้างเก่าเพื่อหยอกเย้ากับแสงอาทิตย์ จนเกิดเป็นเงาตกกระทบและช่องว่างที่เอื้อประโยชน์ต่อการระบายอากาศด้วยลมธรรมชาติ บริเวณส่วนบนของบ้านที่ถูกต่อเติมผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและพิถีพิถัน เลือกใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต 907 แผ่น มาเชื่อมติดกับท่อเหล็กที่ปรับหมุนได้ 67 ตัว สร้างกลไกขนาดย่อมที่มีแสงและลมเป็นฟันเฟืองหลักในการทำงาน ระนาบโพลีคาร์บอเนตที่รังสรรค์ขึ้นเป็นเหมือนพื้นที่ปิดล้อมกึ่งสมบูรณ์ ที่สร้างช่องว่างมากพอให้สายลมและแสงแดดลอดผ่านไปยังตัวบ้าน แต่ก็ควบคุมแสงจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมีเสถียรภาพในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และไม่ได้เปิดโล่งโจ้งจนทำให้ผู้พักอาศัยขาดความเป็นส่วนตัว ในตอนกลางวันเมื่อแสงแดดสาดส่องมายัง LIGHT HOUSE สภาพของแสงที่ตกกระทบก็จะเปลี่ยนไปตามองศาของพระอาทิตย์ แถมรูปแบบงานดีไซน์ที่ราวกับกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาก็ดูเป็นมิตรไม่น้อยต่อแขกผู้มาเยือน ส่วนตอนกลางคืนลูกบ้านก็สามารถเปิดไฟ LED สีเหลืองอำพันที่ติดตั้งในแผ่นโพลีคาร์บอเนตได้ โดยตัวไฟจะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย 60 วัตต์ และเพิ่มความโดดเด่นให้บ้านหลังนี้ในยามค่ำคืนได้อย่างเป็นอย่างดี ด้านนอกของตัวบ้านไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็รับรู้ได้ถึงดีไซน์ทรงเรขาคณิต ที่ไม่เพียงช่วยให้บ้านดูทันสมัยและทรงเสน่ห์ หากยังทำให้สเปซโดยรอบดูกว้างขวางยิ่งขึ้น แถมยังใช้ประตูบานเลื่อนทรงสูงสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่ทึบตัน และช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ชั้นล่างของบ้านมีโซนห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องส่วนตัว และสตูดิโอหลังบ้านที่รับกับวิวกังหันลมขนาดเล็กด้านบน วัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ตกแต่งจะเป็นไม้และเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ธโทน ทำให้บ้านดูเรียบง่ายแต่ไม่ล้าหลัง ทั้งยังสร้างลูกเล่นให้ผนังด้วยอิฐเคลือบสีขาวบางสลับกับไม้โอ๊คสไตล์อเมริกัน เพื่อเว้นระยะให้งานดีไซน์เกิดความแตกต่างหลากมิติ LIGHT
สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา ประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในสงคราม และโดดเด่นด้วยยอดมัทเทอร์ฮอร์นที่เป็นมงกุฎตั้งตระหง่านกลางเทือกเขาแอลป์ ตลอดพื้นที่ 41,285 ตารางกิโลเมตร มีหลาย ๆ เมืองที่ผู้ชายเราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ทั้งลูเซิร์น ซูริค และเจนีวา แต่คงมีน้อยคนที่จะรู้จัก ‘บาเซิล’ เมืองแสนสงบทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแม่น้ำไรน์ ถ้าเทียบกับเมืองอื่น ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ บาเซิลอาจไม่ได้มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อัดแน่นเท่าลูเซิร์น ไม่ได้ทันสมัยเฉกเช่นเจนีวา และไม่ได้โด่งดังเทียบเท่าซูริค แต่ที่นี่เป็นเขตแดนระหว่างสวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี จึงกลายเป็นเมืองนานาชาติที่ซุกซ่อนกลิ่นอายของวิถีชีวิตอันหลากหลายและมีเสน่ห์บางอย่างที่บางคนยังไม่รู้ SWIM CITY นิทรรศการเมืองว่ายน้ำที่เปลี่ยนชีวิตของผู้คน The S AM (Swiss Architecture Museum) และ Future Architecture Platform เปิดตัวนิทรรศการใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Swim City’ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและตีแผ่เรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการว่ายน้ำในแม่น้ำไรน์ พร้อมเชิญชวนให้ผู้คนที่หลงรักกิจกรรมนี้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ ความเจริญที่เยื้องกรายและความวุ่นวายของจราจรใจกลางเมือง อาจเป็นอีกเหตุผลที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของชาวเมืองบาเซิล The S AM จึงตั้งใจจะผละฝูงชนออกจากตัวเมืองและชวนมาทำกิจกรรมยามว่างในพื้นที่สาธารณะ จากความคิดที่เชื่อว่า ‘แม่น้ำ’ คือทรัพยากรที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในเมือง นำไปสู่การจัดนิทรรศการกลางน้ำที่หวังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับคนที่นี่
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเลยว่าหลาย ๆ เมืองเริ่มคิดแผนปรับปรุงและวางผังเมืองเพื่อรองรับการใช้รถใช้ถนนอย่างจริงจัง แต่ BICYCLE ARCHITECTURE BIENNALE (BAB) ยังคงกล้าหาญที่จะจัดนิทรรศการประจำปี เพื่อแสดงงานสถาปัตยกรรมที่ช่วยยกระดับทางจักรยาน หวังเปลี่ยนชุมชนทั่วโลกให้ดีขึ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้คนหันมาใช้จักรยานสองล้อมากกว่ารถยนต์พ่นควัน ปี 2019 นี้นับเป็นปีที่สองของนิทรรศการดังกล่าว BAB ได้คัดเลือกนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกที่เห็นความสำคัญของจักรยาน มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมครั้งนี้ ซึ่งในปีนี้มีทั้งหมด 15 โปรเจ็กต์จาก 9 ประเทศถูกเลือกเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการของ BIENNALE โดยมี Routes, Connections และ Destinations เป็นธีมหลักในการดีไซน์ สถาปัตยกรรมของแต่ละเมืองล้วนมีรูปลักษณ์ ฟังก์ชัน และเสน่ห์แตกต่างกัน แต่ทั้ง 15 โปรเจ็กต์ต่างเผยให้เห็นความหลากหลายของวิถีชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมต่างที่ ทั้งยังถ่ายทอดความสมดุลระหว่างการเคลื่อนไหวและชุมชนพักอาศัยออกมาได้อย่างสมบูรณ์ CYCLING AND PEDESTRIAN CONNECTION (Barcelona, Spain) COFFEE & BIKES (Delft, the Netherlands) CURTIN BIKE HUB (Perth, Australia) XIAMEN
BAHÁ’Í TEMPLE OF SOUTH AMERICA เป็นวิหารรูปทรงแปลกตาในสาธารณรัฐชิลีที่ถูกคัดเลือกจาก Royal Architectural Institute of Canada (RAIC) ให้เข้ารับรางวัลระดับนานาชาติในฐานะสถาปัตยกรรม transformative ซึ่งถือเป็นอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตให้กับคนชุมชน วิหารรูปโดมแห่งนี้ถูกออกแบบโดย Hariri Pontarini Architects บริษัทสถาปนิกชื่อดังของเมืองโตรอนโต นี่เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการเลือกบริษัทสัญชาติแคนาดาให้เข้ารับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ พื้นที่กว่า 25 เอเคอร์ ในแถบชานเมืองซันติอาโกถูกเลือกเป็นที่ตั้งของวิหาร BAHÁ’Í TEMPLE OF SOUTH AMERICA จากที่ตั้งในจุดนี้คุณสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของเมืองหลวงได้ไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมชื่นชมความงามของเทือกเขาแอนดีสที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง วิหารแห่งนี้เป็นวิหารลำดับที่ 8 และเป็นวิหารหลังสุดท้ายในทวีปที่สร้างขึ้นสำหรับศาสนิกชนผู้ศรัทธาในศาสนาบาไฮ แต่ถ้าหนุ่ม ๆ หลายคนจะไม่คุ้นชื่อศาสนานี้ก็คงไม่แปลกนัก เพราะเพิ่งเกิดขึ้นบนโลกเมื่อ 100 ปีก่อน เราจะขยายความให้ฟังอีกนิดว่าบาไฮเป็นศาสนาที่เชื่อว่าทุกคำสอนจากทุกศาสดาคือสิ่งที่ดี จุดประสงค์ในการออกแบบวิหารแห่งนี้คือสร้างขึ้นเพื่อต้อนรับผู้คนโดยไม่คำนึงถึงความศรัทธาด้านศาสนา และตัวอาคารก็ถูกดีไซน์มาให้เปิดกว้างตามคอนเซ็ปต์ที่ทีมสถาปนิกตั้งใจไว้ แถมก่อนที่จะสร้างขึ้นจริงยังต้องใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ในการวัด เพื่อให้วิหารแปลกประหลาดหลังนี้เปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภายนอกของวิหารถูกห่อหุ้มด้วยแผงกระจกรูปทรงปีกนกแก้ว ปีกทั้ง 9 ปีกถูกร้อยเรียงและมาบรรจบกันตรงจุดมงกุฎด้านบนของวิหาร สร้างสรรค์เลเยอร์ด้านนอกด้วยกระจก borosilicate กว่า 1,129 ชิ้น
ในวันนี้โลกอบอวลความเศร้าอีกครั้งกับการสูญเสียยอดสถาปนิกที่สร้างผลงานสะเทือนวงการสถาปัตยกรรม เมื่อ I.M. Pel ชายผู้หลงใหลในรูปทรงเรขาคณิตจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยวัย 102 ปี เพราะเขาถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ต่อยอดแนวคิดของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว Ieoh Ming Pei (เป้ย์ ยวี่ หมิง) หรือชื่อในวงการ I.M. Pei สถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ผู้โด่งดังเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่เน้นรูปทรงเรขาคณิตกับความเกลี้ยงเกลาของโครงสร้างที่ไม่นิยมตกแต่งมากนัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่เริ่มใช้กันช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และแพร่หลายมากหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 I.M. Pei ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่ชูเรื่องเรขาคณิตและความงามที่สะอาดสะอ้านของตึก เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพีระมิดแก้วจากผลงานที่ทำให้โลกต้องจดจำอย่าง Louvre Pyramid ที่ทำจากเหล็กกับกระจกทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจำนวน 603 แผ่น และกระจกทรงสามเหลี่ยม 70 แผ่น ประกอบกัน ก่อร่างเป็นรูปทรงดั่งพีระมิด The solid is for the dead, but the transparent is for the living – I.M. Pei
ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนเรามั้ย แต่เวลาว่าง ๆ เราชอบเปิดรูปบ้านดีไซน์สวย ๆ จากทั้งในและต่างประเทศขึ้นมาดูเล่น ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษ ไม่ใกล้เคียงกับการเก็บเป็นไอเดียไว้สร้างบ้านในอนาคต เพราะที่อยู่ปัจจุบันยังเช่าเขาอยู่เลย แต่เอาเป็นว่าดูแล้วมันสบายใจ รู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะดีไซน์บ้านจากประเทศ ‘ญี่ปุ่น’ สถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างบอกไม่ถูก มีความ Minimal ไม่ฉูดฉาดหวือหวา แต่เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกแบบเรา และด้วยความที่ประเทศญี่ปุ่นหนาแน่นไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะในโตเกียวที่มีประชากรมากถึง 38 ล้านคน หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศไทยเลยทีเดียว จึงทำให้บ้านแต่ละหลังยิ่งต้องใส่ไอเดียเข้าไป เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุดในพื้นที่จำกัด Vice ได้รวบรวม 10 บ้านดีไซน์สุดคูลในย่านโตเกียวจนถึงฟุกุโอกะจากหนังสือ 411 of Japan’s Most Incredible Modernist Houses. เขียนโดย Naomi Pollock เราจึงอยากนำมาแบ่งปันให้กับชาว UNLOCKMEN เก็บไว้เป็นไอเดียเผื่อว่าใครกำลังมีแผนจะสร้างบ้านใหม่ เราว่าถ้ามีบ้านแบบนี้ในไทยน่าจะเจ๋งไม่น้อยเลย KHT House IRA, Kahoku, Yamagata Prefecture House Snapped, Naf Architect, Saitama, Saitama Prefecture
คนเราให้ความสำคัญของแต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเจ้าของบ้านหลังงามในเมือง Yokohama ครอบครัวนี้ เป็นบ้านที่รักการอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษ จึงมีชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตกว่าบ้านทั่วไปนัก แต่ติดปัญหาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ต้องพบกับแผ่นดินไหวบ่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าชั้นวางหนังสือที่ใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมทำให้เสี่ยงอันตราย และชั้นวางรูปทรงทั่วไป ยิ่งทำให้หนังสือตกเสียหายได้ จึงตัดสินใจไปปรึกษากับบริษัทออกแบบ Shinsuke Fujii Architects ได้ออกมาเป็นบ้านในคอนเซปต์ชื่อ The Bookshelf House Shinsuke Fujii Architects แก้ไขปัญหาชั้นหนังสือ ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมชั้นวางที่มีขนาดใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพง ให้มีองศาโน้มเอียงลึกลงไปแบบเส้นทะแยงมุม แต่ละชั้นมีไม้ยื่นออกมาเหมือนขั้นบันได ช่วยให้ทุกคนในบ้านสามารถใช้งานได้ง่าย แม้ต้องปีนขึ้นไปหยิบหนังสือชั้นบนสุด ก็สะดวกเหมือนเดินขึ้นลงทั่วไป ที่สำคัญคือความปลอดภัยในสุขภาพของคนในบ้านเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะจะไม่โดนหนังสือถล่มทับ และสุขภาพของหนังสือสะสมหายาก ที่จะไม่หล่นลงมาชำรุดเสียหาย นอกจากชั้นหนังสือ พื้นที่ฟังก์ชั่งทั้งหมดของตัวบ้านออกแบบสไตล์ Seamless แทนที่จะแบ่งพื้นที่เป็นชั้น 1 ชั้น 2 เจ้าของบ้านตัดสินใจรวมพื้นที่ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนห้อง Penthouse ขนาดใหญ่ โต๊ะทานข้าวและครัวอยู่บริเวณด้านล่าง ส่วนด้านบนซึ่งเป็นพื้นยกระดับ เป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่น ห้องทำงาน และห้องนอน ไม่ใช่เด่นแค่ด้านใน ภายนอกก็ออกแบบได้เท่ไม่น้อย แผ่นเหล็กสีดำขนาดใหญ่ยาวต่อเนื่องตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานคอนกรีต ทำให้เห็นประโยชน์ใช้สอยอีกอย่างของชั้นหนังสือจากภายนอก ซึ่งมุมทะแยงช่วยกันฝนขณะเปิดปิดประตูได้อีกด้วย และเพื่อความเป็นส่วนตัว