เชื่อไหมครับว่าภาพยนตร์หลายพันเรื่องที่เคยผ่านตาเรา ล้วนสอดแทรกโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจเอาไว้ และถ้าคุณหลงใหลงานดีไซน์มากพอก็คงจะรับรู้ได้ เนื่องจากสถาปัตยกรรมเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ แถมยังครอบคลุมตั้งแต่การพักอาศัยไปจนถึงการใช้ชีวิต การออกแบบสถาปัตยกรรมจึงนับว่ามีบทบาทไม่น้อยต่อภาพยนตร์ นอกจากจะเป็นฉากหลังประกอบเนื้อเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายตาผู้ชมแล้ว สถาปัตยกรรมในแต่ละฉากตอนยังสะท้อนถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม รวมถึงยุคสมัยที่ปรากฏในภาพยนตร์แต่ละเรื่องได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นรายละเอียดเล็ก ๆ ของงานสถาปัตยกรรมยังช่วยเสริมแนวคิดตลอดจนเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ให้เด่นชัดขึ้นในเวลาเดียวกัน แล้วนี่คือภาพยนตร์ 5 เรื่อง 5 รสชาติที่ซ่อนความพิเศษทางสถาปัตยกรรมบางอย่างที่เราอยากให้คุณได้รับชม! PARASITE, 2019 ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีของผู้กำกับ Bong Joon-ho ที่นอกจากจะคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและอีกหลายรางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์ ยังซ่อนผลงานสถาปัตยกรรมสุดน่าทึ่งเอาไว้ด้วย เนื้อเรื่องของ Parasite เล่าถึงครอบครัวต่างฐานะของเกาหลีใต้ที่ฝั่งหนึ่งใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์หรู แต่อีกฝั่งต้องกัดฟันสู้ชีวิตท่ามกลางสภาพสังคมที่เหลื่อมล้ำ ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นด้วยการเสียดสีสังคมและเผยให้เห็นช่องโหว่ของคนรวยกับจนอย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้ผู้ชมซึมซับความต่างระหว่างชนชั้นคือผลงานสถาปัตยกรรมในเรื่องนี้ ผนังหน้าบ้านของครอบครัวคนรวยดีไซน์ด้วยกำแพงสูงทึบตัน ที่ช่วยแบ่งกั้นระหว่างภายในกับภายนอกอย่างชัดเจน ทางเดินเข้าบ้านยกระดับให้สูงขึ้นสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัย และเหมือนบอกโดยนัยว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าถึงง่าย ภายในยังสร้างบันไดไว้บริเวณจุดศูนย์กลางบ้านช่วยแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น แม้จะใช้กระจกบานกว้างเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและบ่งบอกถึงรสนิยมหรูหรา แต่กลับเลือกเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่ดูเรียบง่ายมาตกแต่ง บวกกับโทนสีในบ้านและเปลือกนอกอาคารที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวกับบอกว่าบ้านหลังนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ BLACK PANTHER, 2018 แม้แต่ Black Panther ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ลำดับที่ 8 ในจักรวาลมาเวล ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยของสถาปัตยกรรมผังเมืองฝีมือ Zaha Hadid สถาปนิกหญิงชื่อก้องโลกผู้คร่ำหวอดในแวดวงสถาปัตยกรรม
ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องพบเจอความวุ่นวายนับไม่ถ้วน เวลาจำนวนจำกัดที่แกมบังคับให้ต้องใช้ชีวิตรีบเร่ง สุขภาพย่ำแย่จากการสูดดมฝุ่นควันบนท้องถนน และความยากลำบากเมื่อต้องแทรกตัวเข้าไปยังรถไฟฟ้าที่มีคนแน่นขนัด ทั้งหมดนี้ทำให้เราเผลอคิดว่า “ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว” วลีนี้ยังคงใช้สื่อความหมายได้อยู่หรือเปล่า เพราะต่อให้คนเมืองจะได้ใช้ประโยชน์จากโครงข่ายการคมนาคมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ถ้ายังต้องติดแหง็กบนถนนกับระบบจราจรป่วย ๆ หรือไม่อาจแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่คนเมืองเผชิญได้อย่างจริงจัง เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ก็คงไม่ได้น่าอยู่สักเท่าไร ถ้าการใช้ชีวิตในเมืองมันวุ่นวายนัก เราแนะนำให้คุณผละตัวออกมาสักนิดและเขยิบเข้าใกล้ชนบทอีกสักหน่อย ละสายตาจากความแออัดยัดเยียดของป่าคอนกรีต หันไปมองทัศนียภาพหนาทึบของแมกไม้และสัมผัสความสงบสบายที่เมืองใหญ่อาจให้คุณไม่ได้ ‘Woodwork Enthusiast’ เป็นผลงานการออกแบบของสตูดิโอ ZMY Design ที่เปลี่ยนโรงงานปูนซีเมนต์เก่าในตะวันออกเฉียงใต้ของจีนให้กลายเป็นบ้านไม้แสนสงบที่มีดีไซน์เฉพาะตัว บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในเมืองเซี่ยเหมิน (Xiamen) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของมณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) และสร้างขึ้นเพื่อให้เป็น “Physically Static Place” สถานที่ที่มอบความรู้สึกสงบ คงที่ และเป็นสเปซของธรรมชาติที่ออกแบบแก่ผู้พักอาศัยอย่างแท้จริง จากอาคารทรงกระบอกที่ถูกทิ้งร้างไว้หลายปีและเต็มไปด้วยชิ้นส่วนสึกหรอ ตอนนี้ถูกรีโนเวตให้เป็นพื้นที่พักอาศัยขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ชีวิตครบครัน ภายในดีไซน์แบบ open plan ไม่ปิดกั้นและเชื่อมโยงทุกภาคส่วนของบ้านเข้าด้วยกัน มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอน ห้องน้ำ ระเบียง และดาดฟ้าชมวิวที่ชั้นบน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่อยากสร้างบ้านให้สงบและสบาย ทีมนักออกแบบจึงเว้นระยะห่างจากการเชื่อมต่อของโลกภายนอก เน้นใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเพื่อชูความโดดเด่นภายใน เปิดพื้นที่บางส่วนให้แสงและลมลอดผ่านเข้ามา และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติทั้งหมดภายในบ้านสร้างความผ่อนคลายแก่ผู้พักอาศัย เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เป็นโรงงานปูนซีเมนต์เก่าและมีความสูงเพียงสองชั้นเท่านั้น
ถ้าพูดถึง ‘เมืองแห่งการออกแบบ’ เชื่อว่านิยามของแต่ละคนคงต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนนึกถึงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีที่เต็มไปด้วยสถาบันออกแบบชื่อก้องโลก บ้างว่ามอนทรีออลของแคนาดานี่แหละที่เป็นตัวเต็ง เพราะนอกจากจะพัฒนาเมืองด้านการออกแบบอย่างจริงจัง ยังมีผลงานเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเมืองนับไม่ถ้วน แต่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ‘เซินเจิ้น’ เมืองชาวประมงเก่าแก่ของประเทศแดนมังกร เปลี่ยนแปลงและพัฒนาข้ามขั้นจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการออกแบบและนวัตกรรมที่ถูกยอมรับในระดับสากลไปเรียบร้อยแล้ว จากเมืองประมงริมชายฝั่งสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ย้อนไปในอดีตเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเก่าที่อยู่ตรงข้ามกับฮ่องกงเท่านั้น แต่ในช่วงปี 1980 เมืองนี้กลับถูกเลือกให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน จากนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1978 หลังจากนั้นเซินเจิ้นก็ถูกพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า ทันสมัย และกลายเป็นแหล่งการค้าการลงทุนที่สำคัญของจีน นอกจากความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งแล้ว ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจก็มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเมืองนี้ไม่แพ้กัน เมื่อ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประกาศมอบสถานะพิเศษให้เซินเจิ้นเป็นพื้นที่ทดลองปฏิรูปเศรษฐกิจและการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม นับแต่นั้นเซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในเมืองกลุ่ม Greater Bay Area อันเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไข่มุก เช่นเดียวกับ ฮ่องกง, มาเก๊า, กวางโจว, จูไห่ และอีกหลายเมืองสำคัญ รากฐานความสร้างสรรค์ของเจ้าแห่งการจำลอง ดูเผิน ๆ แล้วเซินเจิ้นแทบไม่มีรากฐานด้านศิลปะหรือการออกแบบเฉกเช่นปารีส มิลาน หรือฟลอเรนซ์ แต่เราเชื่อว่าเซินเจิ้นเองก็คงมีบางสิ่งเป็นเบ้าหลอมให้มุ่งมั่นพัฒนาเมืองไปในทิศทางการออกแบบอย่างแน่วแน่เช่นนี้ ถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของเซินเจิ้นให้เป็นเรื่องใกล้ตัวยิ่งขึ้น คงคล้ายกับเมืองโบราณในจังหวัดสมุทรปราการของบ้านเรา ที่รวบรวมสถานที่สำคัญต่าง
ถ้าพูดถึง ‘เซินเจิ้น (Shenzhen)’ ใครหลายคนคงลำดับภาพสินค้าก๊อบปี้จากหลากแบรนด์ดังทั่วโลกขึ้นมาในหัว แต่คนส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้ว่าในช่วงสิบปีให้หลัง ภาพลักษณ์เก่า ๆ ของเมืองเซินเจิ้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมืองริมฝั่งตรงข้ามเกาะฮ่องกงเมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองแห่งการลอกเลียนเหมือนก่อน หากกลายเป็นเมืองนวัตกรรมและศูนย์กลางการออกแบบของจีนแผ่นดินใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากผลงานดีไซน์เจ๋ง ๆ จาก Shenzhen Design Week สองปีซ้อนที่ทำเอาคนทั่วโลกตกตะลึง เมืองเซินเจิ้นยังมีผลงานสถาปัตยกรรมเท่ ๆ ซุกซ่อนอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมือง และร้านอาหาร ‘Voisin Organique’ ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานสถาปัตยกรรมภายในที่โดดเด่นไม่น้อยในเมืองนี้ Voisin Organique เป็นร้านอาหารจีนในเขตฟูเทียน (Futian) ที่เน้นเสิร์ฟอาหารจีนดั้งเดิมและจีนร่วมสมัยแบบ farm-to-table โดยมีวัตถุดิบหลักเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช้สารเร่งโต รวมทั้งผักออร์แกนิกที่ไม่ได้ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมหรือใช้ปุ๋ยเคมี ร้านนี้คือหนึ่งในผลงานการออกแบบของ Various Associates สตูดิโอออกแบบในเซินเจิ้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์หลงทางในหุบเขาอันมืดมิด ทีมนักออกแบบจึงฉาบเพดานขึ้นสลับลงเพื่อเล่นกับความสูงชันต่างระดับ ตั้งใจดีไซน์สเปซออกมาให้คล้ายกับช่องว่างระหว่างหุบเขา โดยหวังว่าความต่างของความสูงจะดึงดูดผู้คนให้แหงนมองขึ้นไป สมทบด้วยแสงไฟสลัวที่สาดยาวลงมาจากด้านบน ราวกับแขกในร้านกำลังรับประทานอาหารจากก้นบึ้งของหุบเขา พื้นผิวภายในร้านตั้งแต่ผนังไปจนถึงฝ้าเพดานถูกเคลือบด้วยกระดาษฟอยล์สีเงินด้าน สร้างบรรยากาศสลัวรางที่ทำให้แขกรู้สึกเหมือนตนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางสายหมอกที่คลุมเครือ จะชัดก็ไม่ใช่ จะเลือนรางก็ไม่เชิง ภายในร้านแบ่งเป็นโซนเลานจ์ ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัวสุดกว้างขวางที่มีขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตร โซนเลานจ์ดีไซน์เป็นบาร์เครื่องดื่มหรูมาคู่กับเก้าอี้สีแดงทรงสูง มีโต๊ะกลมคู่โซฟาสำหรับแขกที่มาเป็นกลุ่ม รวมทั้งโต๊ะไม้กลมติดกับหน้าต่างช่องเล็ก
แม้จะไม่เป็นที่พูดถึงมากเท่าโคโรนาไวรัสหรือโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้ แต่ผู้ชายหลายคนคงยังไม่ลืมว่าภาวะโลกร้อนนั้นเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เราเผชิญอยู่เช่นกัน อากาศร้อนอบอ้าวในช่วง 10 ปีให้หลัง ไม่เพียงสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ หากยังก่อให้เกิดน้ำท่วม หิมะตกช้ากว่าฤดูกาล รวมทั้งเหตุการณ์ที่น้ำแข็งขั้วโลกหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด วงการสถาปัตยกรรมเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ต่างคิดหาสารพัดวิธีออกแบบเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอีกเทรนด์สถาปัตยกรรมที่กำลังมาแรงในตอนนี้ คือการเลือกใช้วัสดุหรือกระบวนการก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน Generate สตูดิโอออกแบบได้เผยแผนการสร้าง ‘Model-C’ อพาร์ตเมนต์ปลอดคาร์บอน ในย่าน Lower Roxbury ของเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถอดแบบการพัฒนาอาคารสไตล์ Passive House ของโลกอนาคตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างอาคารที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) เพื่อทุเลาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ต้องเผชิญ Passive House เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่ปี 1988 เน้นหนักเรื่องการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทีมสถาปนิกของ Generate คาดว่าเมื่อสร้างอพาร์ตเมนต์จนเสร็จสมบูรณ์ ที่นี่จะกลายเป็น Passive House บนพื้นไม้ลามิเนตเต็มรูปแบบแห่งแรกและเป็นหนึ่งในอาคารที่ยั่งยืนที่สุดของสหรัฐฯ นอกจากการใช้ไม้ลามิเนตแปรรูป Cross-laminated Timber (CLT) แทนคอนกรีตหรือเหล็กจะช่วยสร้างเอกลักษณ์งานดีไซน์ให้กับอพาร์ตเมนต์แห่งนี้แล้ว ไม้ CLT ยังเป็นวัสดุที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าคอนกรีตและเหล็กอีกด้วย แม้ไม้ CLT
เนื่องด้วยเรากำลังใช้ชีวิตท่ามกลางป่าคอนกรีตที่มีสิ่งปลูกสร้างหลากระดับ ตั้งแต่บ้านแนวราบ อาคารแนวตั้ง ไปจนถึงตึกระฟ้าสูงลิบลิ่ว จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีสถาปัตยกรรมสอดแทรกอยู่ในแทบทุกรายละเอียดยิบย่อยของชีวิตเสมอ ไม่เพียงนิยามถึงสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน อาคาร หรือคอนโดมิเนียมที่มนุษย์อาศัยอยู่ หากสถาปัตยกรรมกว้างขวางจนครอบคลุมไปถึงเจดีย์ สถูป และอนุสาวรีย์ที่ปราศจากผู้อยู่อาศัย ในยุคกระแสนิยมที่ทุกอย่างมาเร็วไปเร็วเฉกเช่นตอนนี้ ต้องยอมรับว่าแนวคิดการสร้างสถาปัตยกรรมแบบเดิมถูกปรับแต่งและโละทิ้งไป แทนที่ด้วยแนวคิดสมัยใหม่ จนบางครั้งค่านิยมของสถาปัตยกรรมปัจจุบันโน้มเอียงไปทางสุนทรียศาสตร์ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกและรสนิยม มากกว่าความหมายดั้งเดิมทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ชั่งตวงระหว่างเทคนิควิทยาศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอย่างละเท่า ๆ กัน แต่น่าแปลกที่การตอกเสาเข็มสร้างสถาปัตยกรรมของ ‘บุญเสริม เปรมธาดา’ กลับต่างออกไป เขาไม่ได้ใช้สถาปัตยกรรมเพื่อขับเน้นความงามให้ตกกระทบต่อสายตาผู้ชมเท่านั้น ทว่ายึดมั่นการขับเคลื่อนบริบทแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในเวลาเดียวกัน วิธีการทางสถาปัตยกรรมที่ปลีกออกไปของ ‘บุญเสริม เปรมธาดา’ ความสงสัยใคร่รู้เรื่องมุมมองการสร้างสถาปัตยกรรมพาเราเดินดุ่มเข้ามาคุยกับ ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา สถาปนิกเจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาออกแบบเชิงสร้างสรรค์ (สถาปัตยกรรม) ในปีล่าสุด ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของสตูดิโอออกแบบเล็ก ๆ ชื่อว่า ‘Bangkok Project Studio’ และสอนหนังสือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาร่วม 20 ปี “หลังเรียนจบผมก็เหมือนคนทั่ว ๆ ไปที่ทำงานในสตูดิโอออกแบบและสร้างงานตามคำสั่งลูกค้า แต่พอทำมาได้สักพักมันก็เบื่อ และรู้สึกว่าสถาปัตยกรรมมันไม่ได้ส่งผลอะไรต่อคุณภาพชีวิตคนเลย ตั้งแต่นั้นผมจึงตัดสินใจออกมาเปิดสตูดิโอของตัวเอง เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกในการออกแบบ แต่เผอิญมันดันเป็นวิธีการทางสถาปัตยกรรมที่โลกกำลังสนใจตอนนี้” “ผมคิดว่าสถาปัตยกรรมคือความจริงใจ” ไม่แปลกถ้าคุณไม่เคยเห็นผลงานของสถาปนิกคนนี้ในกรุงเทพฯ
ต่อให้ไม่รู้จักชื่อหรือที่มาที่ไปแน่ชัด แต่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงเคยเห็นการออกแบบสไตล์บรูทัลลิสต์ (Brutalist) ผ่านตากันมาบ้าง บรูทัลลิสต์ถือเป็นงานดีไซน์ที่เน้นโครงสร้างและชูความโดดเด่นของสัจจะวัสดุอย่าง ‘คอนกรีต’ เป็นหลัก แต่บางครั้งก็นำรูปทรงเรขาคณิตและแพตเทิร์นซ้ำไปซ้ำมามาใช้ในงานออกแบบ เพื่อเติมความสนุกสนานหรือลูกเล่นให้งานนั้น ๆ แม้บรูทัลลิสต์จะเกิดขึ้นในช่วงปี 1950-1970 แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสไตล์นี้ยังมีเสน่ห์และผู้คนยังนิยมจวบจนทุกวันนี้ แม้แต่ Annabell Kutucu นักออกแบบและตกแต่งภายใน ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบบ้านหรูมากว่า 10 ปี ก็นำสไตล์บรูทัลลิสต์มาผนวกเข้ากับงานของเธอด้วย เธอได้รับโจทย์จาก NOA – No Ordinary Agency ให้ออกแบบ ‘Brutalist Silence’ ออฟฟิศกึ่ง Co-working Space ริมแม่น้ำชเปร (Spree) ในกรุงเบอร์ลิน ออฟฟิศแห่งนี้ถูกฉาบด้วยพื้นผิวคอนกรีตไล่ตั้งแต่พื้น ผนัง ไปจนถึงเพดาน เน้นชูความโดดเด่นของคอนกรีตตามสไตล์บรูทัลลิสต์โดยไม่ปรุงแต่ง ผิวคอนกรีตที่เป็นพระเอกหลักไม่เพียงสร้างบรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับการทำงาน หากยังทำให้ออฟฟิศนี้ดูเรียบง่าย เนี้ยบเท่ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เติมความเคร่งขรึมให้สเปซที่ว่างเปล่าด้วยเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ชั้นวาง built-in รวมทั้งผนังกั้นห้องที่ทำจากไม้โอ๊ครมควัน นอกจากนั้นยังมีของตกแต่งโบราณหลากชิ้นตั้งวางตามจุดต่าง ๆ ในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นชามเซรามิกสีเอิร์ธโทน
เรารู้จัก ‘ยูเครน’ ในฐานะประเทศลึกลับแห่งยุโรปตะวันออก และอาจเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องข่าวสงครามมากกว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ แต่เมืองเคียฟ (Kiev) หรือ อิฟ (Kyiv) เมืองหลวงของประเทศลึกลับแห่งนี้ กลับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออก แถมยังมีพื้นที่ว่างให้สถาปัตยกรรมปรากฏตัวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และความขลังผ่านกำแพงอิฐเก่าแก่ Rina Lovko Studio ได้รับโจทย์ให้ออกแบบ ‘Balthazar’ บาร์ชั้นใต้ดินที่ตั้งอยู่ทางใต้ของตลาด Besarabsky อันเป็นตลาดในร่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและชาวเมืองก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี Balthazar เป็นบาร์เครื่องดื่มเก่าแก่ที่ดูลึกลับและมีเสน่ห์เฉพาะตัว และ Rina Lovko Studio สตูดิโอสัญชาติยูเครนรายนี้ก็เข้ามาออกแบบภายใน โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายความเก่าและเก๋าของวัสดุในอดีต ภายในบาร์เผยให้เห็นโครงสร้างแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ที่ชัดเจน การตกแต่งจะใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มเป็นหลัก มีเบาะนั่งสีเขียว และกระเบื้องเคลือบเฉดเขียวหุ้มฐานของเคาน์เตอร์ เพื่อสร้างบรรยากาศลึกลับ มีเสน่ห์ และน่าค้นหา แสงไฟสลัวตามมุมต่าง ๆ ของร้านเกิดจากการผสมผสานของเทียน โคมระย้า และโคมไฟตั้งพื้นที่คลุมด้วยผ้า ส่วนผนังและเพดานยังคงความเก่าของอิฐมอญที่ก่อรูปร่างไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยไม่ได้ดัดแปลงหรือแต่งเติมจนความขลังที่ว่านั้นเลือนรางไป แม้การออกแบบภายในครั้งนี้จะไปได้สวย แต่ Rina Lovko Studio ก็ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เพราะเดิมทีบาร์ใต้ดินแห่งนี้มีทางเดินคดเคี้ยวและลูกค้ามักจะถูกเพดานอิฐความสูง 1.6 เมตรมาขัดจังหวะการเดิน เนื่องจากไม่สามารถทุบเพดานอิฐด้านบนที่เป็นโครงสร้างหลักได้
Wabi-sabi (วะบิ-ซะบิ) เป็นอีกแนวทางการออกแบบของญี่ปุ่นที่โด่งดังไม่แพ้มินิมัลสไตล์อันเลื่องชื่อ บ้างว่า Wabi-sabi คือปรัชญาการใช้ชีวิตเช่นเดียวกับ Ikigai (อิคิไก) แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการค้นหาความหมายในชีวิต หากว่าด้วยเรื่องการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว นอกจากแนวคิดนี้จะหยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแล้ว Wabi-sabi ยังเข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงการออกแบบด้วยเช่นกัน เหล่านักออกแบบและสถาปนิกบางคนเริ่มนำวัสดุที่ผุกร่อนและมีรอยตำหนิมาใช้ในงาน เลิกยึดติดกับความงามตามอุดมคติและเปิดใจยอมรับว่าบางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบก็งดงามและมีคุณค่า NC Design & Architecture สตูดิโอออกแบบของฮ่องกงได้รับโจทย์ให้ออกแบบห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย ดูสวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สตูดิโอรายนี้จึงนำวัสดุที่มีร่องรอยขีดข่วนและรอยตำหนิ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปจนถึงของตกแต่งชิ้นเล็ก มาสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมภายใน ที่สะท้อนความงดงามของความไม่สมบูรณ์แบบตามหลักปรัชญา Wabi-sabi พื้นที่ใช้สอยขนาด 157 ตารางเมตรถูกแบ่งให้เป็นสามส่วนหลักคือห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำที่มีทางเดินไม้ยกระดับเป็นตัวกั้น ซึ่งทางเดินไม้ที่ออกแบบให้สูงกว่าพื้นห้องนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Genkan (เก็นคัง) โถงทางเข้าบ้านที่ไล่ระดับพื้นตามแบบบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม ส่วนห้องครัวและห้องอ่านหนังสือจะตั้งอยู่ทางด้านหลังของห้องหลัก ภายในอพาร์ตเมนต์นี้ดีไซน์ด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก ใช้พื้นไม้และผนังไม้บางส่วนสร้างความอบอุ่นแบบบ้านญี่ปุ่น ผนัง เพดาน ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็เลือกใช้เป็นสีเอิร์ธโทนที่ดูอบอุ่นเช่นกัน แม้จะตกแต่งให้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์หินอ่อนที่มีรอยตำหนิหลายชิ้นช่วยสร้างความโดดเด่นและเป็นจุดนำสายตา ทั้งยังได้หินอ่อนทรงเรขาคณิตและโลหะออกซิไดซ์เก่า ๆ ประดับประดาตามผนัง เป็นเหมือนงานประติมากรรมขนาดย่อม เฟอร์นิเจอร์ที่ติดตั้งในห้องนั่งเล่นยังถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ เรียบง่าย และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โทรทัศน์และประตูที่เชื่อมไปยังห้องต่าง ๆ
‘Whidbey Farm’ เป็นผลงานการออกแบบบ้านของ MW Works สตูดิโอออกแบบในซีแอตเทิล ที่เนรมิตฟาร์มเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ให้กลายเป็นบ้านแสนสงบบนเนินเขา มองเห็นทัศนียภาพของทุ่งหญ้า บ่อน้ำ และป่าไม้ได้เต็มสองตา บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ที่ Whidbey Island ทางตอนเหนือของ Seattle ในรัฐ Washington เดิมทีเป็นฟาร์มที่มีต้นไม้ บ่อตกปลา และโรงนาอายุเก่าแก่หลายช่วงอายุคน ก่อนที่สตูดิโอ MW Works จะเข้ามาสร้างสถานที่พักผ่อนสุดพิเศษ เปลี่ยนฟาร์มเป็นบ้านที่ยืดหยุ่น ทนทาน และรองรับผู้พักอาศัยได้สูงสุด 20 คน (ตามโจทย์ของเจ้าของบ้าน) พื้นที่ 4,420 ตารางฟุต ถูกตอกเสาเข็มสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศที่รองรับครอบครัวขนาดใหญ่ นอกจากต้องมีพื้นที่ให้คนทุกช่วงวัยทำกิจกรรมร่วมกันได้แล้ว ยังต้องเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย ทีมสถาปนิกจึงสร้างบ้านบริเวณใจกลางลานที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากชนิด ตั้งแต่ต้นซีดาร์และต้นเฟอร์สูงใหญ่ ไปจนถึงต้นหญ้าและเฟิร์นที่มีขนาดเล็กลงมา ซึ่งลานกลางบ้านนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงคนในครอบครัวเข้าด้วยกัน ผ่านทางเดินไม้ที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่น ๆ ของบ้าน นอกจากผนังกระจกทรงสูงที่เปิดรับภูมิทัศน์ด้านนอก ตัวบ้านยังใช้ผนังไม้ซีดาร์สีแดงแบบตะวันตกช่วยสร้างความรู้สึกมิดชิดและเป็นส่วนตัวให้คนในบ้าน แถมผนังบางส่วนก็สร้างจากกำแพงหินที่วางเรียงซ้อนกัน ทำให้บ้านดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบมากยิ่งขึ้น บริเวณลานมีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ทำจากหินบะซอลต์ในท้องถิ่น ช่วยแบ่งขอบเขต และทำหน้าที่เหมือนรั้วบ้านขนาดย่อมที่ไม่ทำให้บ้านดูอึดอัดทึบตัน