ผู้ชายอย่างเราคุยกับใครก็อยากคุยกันแบบตรงไปตรงมา หนักแน่นมั่นคง ไม่ต้องมานั่งใส่หน้ากากปั้นแต่งคำตอบใส่กันให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิต แต่บทสนทนาบางรูปแบบก็ถูกวางบทบาทมาเพื่อพูดแต่เรื่องดี ๆ เท่านั้น ลองจินตนาการถึงการสัมภาษณ์งานกับองค์กรที่เราอยากทำงานด้วยใจจะขาดดูสิ เราจะเลือกตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาทุกคำถาม หรือว่าเราก็ต้องเลือกตอบบ้าง เลี่ยงตอบบ้าง เพื่อสร้างโปร์ไฟล์ให้ดูดีกันแน่ ? บางทีคนก็ไม่ได้อยากโกหกนักหรอก แต่บางสถานการณ์เราก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงบางอย่าง เพื่อรักษาสถานะเอาไว้ ปัญหาก็คือถ้าวันหนึ่งเราต้องเป็นฝ่ายถาม แต่อยากล้วงความจริงจากอีกฝ่ายได้แบบไม่มีหมกเม็ดล่ะ เราควรต้องถามคำถามแบบไหนออกไปกันแน่ ? มีงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงการถามตอบ โดยมุ่งประเด็นไปที่วิธีถามคำถามว่ามันมีอิทธิพลต่อคนตอบในรูปแบบไหน โดยเฉพาะเมื่อผู้ตอบอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องปกปิดอะไรบางอย่าง เช่น ในการเจรจาทางธุรกิจ การสัมภาษณ์งาน การขายของ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้นำกลุ่มตัวอย่างมา โดยกำหนดให้บุคคลเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองให้กับลูกค้า (ซึ่งลูกค้าก็เป็นทีมนักวิจัยที่ปลอมตัวมานั่นแหละ) ก่อนจะทำการซื้อขาย ก็จะมีคนมาบรีฟข้อมูลให้ทีมขายก่อนว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นอย่างไร โดยข้อมูลอย่างหนึ่งคือเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้านี้มันเคยพังมาแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ว่าคนซื้อของมือสองที่ไหนก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ผลปรากฏว่าคนขายทุกคนไม่ได้บอกข้อเท็จจริงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองนี้เคยพังมาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะถ้าบอกไปก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะขายของชิ้นนั้นไม่ออกเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามผู้ขายหลายคนก็ยอมบอกความจริงออกมาว่า เฮ้ย สินค้านี้มันเคยพังนะครับคุณ ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนที่เผยความลับกับคนไม่เผยความลับก็คือ “วิธีการถาม” นั่นเอง ถ้าถามถูกวิธี ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการได้ไม่ยาก “สินค้าชิ้นนี้มีปัญหาอะไรบ้าง?” คือคำถามที่ล้วงคำตอบมาได้มากที่สุด โดยผู้ขาย 89% ยอมบอกว่าสินค้าชิ้นนี้เคยพังมาก่อนจริง ๆ แถมเล่าประวัติการพังให้ฟังด้วย ในขณะที่คำถามที่ดูซอฟต์ลงมาหน่อยอย่าง “สินค้าชิ้นนี้มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ ใช่ไหม ?” จะมีผู้ขาย
Content writer งานที่เป็นที่ต้องการมากในขณะนี้ สมัครด่วนที่ [email protected]
ทุกวันนี้พวกเราเลิกเดินทางไปซื้อของนอกบ้านแทบถาวรเพราะการไปผจญภัยข้างนอกแลกกับการต้องเผชิญรถติดบนถนนมันไม่คุ้ม สู้เอาเวลาที่รถแช่นิ่งไปทำอย่างอื่นแล้วสั่งซื้อของที่ชอบทางออนไลน์มันชัวร์กว่า (ถ้าเลือกจากร้านที่น่าเชื่อถือก็การันตีความสะดวกกับของดี ๆ ได้แล้ว) วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอนำเสนอเรื่องการส่งของหรือระบบ LOGISTIC ในไทยว่าวันนี้มันก้าวกระโดดมาถึงไหนแล้ว หนหน้าเวลาที่เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการส่งหรือเลือกบริการจัดส่งจะได้เทียบและเลือกให้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง ตัดสายสะดือบริษัทจัดส่งในประเทศไทย ปูพื้นฐานกันก่อนเรื่องการก่อตั้งของแต่ละบริษัทที่ให้บริการด้านการจัดส่ง ถึงแม้ว่า seniority จะไม่ใช่เครื่องหมายที่สามารถการันตีคุณภาพได้ 100 % แต่ Brand Heritage อาจจะสามารถเอามาใช้ตัดสินใจก่อนเลือกส่งได้ เราขอคัดเลือกแบรนด์ที่น่าจับตามองปี 2561 สรุปสั้น ๆ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ไปรษณีย์ไทย อายุ 135 ขวบ แบรนด์เก่าแก่คู่ประเทศ เกิดมาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 ใน พ.ศ. 2426 โดยใช้ชื่อว่ากรมไปรษณีย์โทรเลข จากนั้นได้ปรับการดำเนินกิจการโยกย้ายและโอนอำนาจไปมาร่วมกับหน่วยงานอื่น และเปลี่ยนฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในปี พ.ศ. 2519 ภายหลังจึงแยกตัวเป็นเอกเทศใน พ.ศ. 2546 และใช้ชื่อว่า “บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” จากนั้นเป็นต้นมา Kerry Logistics Express 12 ขวบ บริษัทสัญชาติฮ่องกงที่อยู่ในเครือ Kerry
เราเชื่อว่าโดยพื้นฐานของมนุษย์ ในวันเริ่มแรก ทุกคนน่าจะมีศักยภาพเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปก็คือประสบการณ์ ความรู้ ต่างคนต่างมีลักษณะนิสัยขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว คนที่รู้เยอะ จินตนาการเยอะ ก็อาจจะได้เปรียบคนที่ไม่ค่อยได้เสพความรู้รอบตัวมากนัก บางคนได้ท่องโลกบ่อย เข้าถึงความรู้ได้มากกว่า ก็ได้เปรียบไป แต่ในยุคของโลก INTERNET ทำให้ข้อจำกัดตรงนั้นถูกทำลายไป ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้เท่ากัน อยู่ที่แต่ละคนจะใช้มันเสพความรู้เรื่องอะไร แต่เคล็ดลับที่ BILL GATES และ ELON MUSK บอกไว้เสมอ ก็คือแหล่งความรู้ของพวกเค้านั้นมาจาก ‘การอ่าน’ แต่การอ่านเองก็มีทั้งอ่านแล้วได้ประโยชน์ กับอ่านแล้วได้บันเทิง เวลาเราเห็นสถิติที่บอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด อาจจะคิดว่าไม่จริง เราก็อ่านอยู่ตลอดเวลา อ่านทั้งวัน อ่านทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องดราม่าและข่าวบันเทิง ความต่างจากการอ่านที่ GATES และ MUSK บอกก็คือ เราจะได้ประโยชน์จากมัน ต่อเมื่อมันเป็นบทความหรือหนังสือที่มีประโยชน์ มีสาระ ช่วยพัฒนาความรู้และจินตนาการทางใดทางหนึ่ง BILL GATES บอกว่า “การอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์ สอนให้เราได้ความรู้ที่เราไม่รู้ มุมมองที่เราคิดไม่ถึง เหมือนเป็นการให้อาหารสมองตลาดเวลา จะบอกว่าการอ่านทำให้ผมประสบความสำเร็จ ก็ไม่ผิดเลย”
ความซวยเวลามันพุ่งเข้ามาหา มันจะวิ่งเข้ามาแบบถี่ ๆ แต่สำหรับปีหมาปีนี้ ถือว่าเป็นปีมหาโหด “หมาดุไล่กัดนางเงือก” เพราะร้านเจ้าดังอย่างสตาร์บัคที่มีลูกค้าทั่วโลก เจอตบหน้าขวาซ้ายด้วยข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยสารพัดเรื่องใหญ่หลายประเด็น จนต้องเร่งออกมาแก้ปัญหา เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาชนิดมือเป็นระวิง และเพื่อให้การจิบกาแฟของหนุ่ม ๆ เข้มข้นขึ้นกว่าที่เคย เราขอ RECAP เรื่องชง ๆ ขม ๆ ที่สาวก Starbucks ต้องรู้กันดังต่อไปนี้ เดือน 3 เป็นมะเร็ง เดือน 4 เหยียดผิว เดือน 6 หุ้นดิ่ง MARCH : STARBUCK VS CANCER สตาร์บัคเริ่มต้นปีชงล็อตใหญ่ตั้งแต่มีนาคมที่ผ่านมา เพราะจู่ ๆ สภาศึกษาและวิจัยสารพิษ (CERT) ก็ลุกมาฟ้องศาลลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ แจ้งข้อหาเรื่องการแปะฉลากเตือนโรคมะเร็ง ถ้าคิดไม่ออกให้คิดว่าเป็นแบบไหนให้คิดถึงซองบุหรี่ที่มีภาพชวนเศร้าทั้งหลาย แต่อันนี้พี่จะให้แปะไว้บนแก้วกาแฟที่ลูกค้ากิน ความกระอักกระอ่วนที่จะต้องบอกใครว่าตัวเองเป็นผู้ร้ายสร้างมะเร็งว่าหนักแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับค่าปรับมหาโหดที่โดนฟ้อง 2,500 ดอลลาร์
คำว่า Creative Idea สามารถปรับใช้ได้แบบไร้ขีดจำกัด ใครจะไปคิดว่าแคมเปญของแบรนด์อาหารอย่าง Domino Pizza จะมาเกี่ยวกับการซ่อมแซมหลุมบ่อบนถนนได้ นี่ไม่ใช่การหาเสียงเตรียมลงเลือกตั้งเหมือนนักการเมืองในบ้านเรา แต่เป็นการบริการเพื่อให้ Pizza หน้าโปรดขนส่งไปถึงบ้านคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ต้องเสี่ยงต่อการตกหลุมบ่อจน Pizza หน้าพัง ให้เสียทั้งอารมณ์และรสชาติ Paving for Pizza หรือ อุดรูรั่วเพื่อพิซซ่า เป็นแคมเปญสุดบรรเจิดของ Domino Pizza USA แบรนด์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของที่นั่น แน่นอนว่ามีทั้งบริการ Home Delivery และ Take Away ที่คับคั่งตลอดทั้งวัน แต่ปัญหาเล็กน้อยสำหรับคนทั่วไป แต่ถือว่าใหญ่โตสำหรับ Domino Pizza คือระหว่างทางกลับบ้านนั้น หลายคนประสบปัญหาขับขี่รถตกหลุมจนหน้า Pizza เสียหาย ซึ่งมีส่วนในการทำลายรสชาติที่กลมกล่อมของ Domino Pizza อาจจะด้วยการเสียความบาลานซ์ระหว่างซีก Pizza หรือการสูญเสียปริมาณ Cheese ที่พอเหมาะจากการกระแทกติดอยู่บนฝากล่องก็ตาม Russell Weiner, ผู้บริหารของ Domino Pizza USA
“เพราะเป็น Tech จึงเจ็บปวด” ท่ามกลางการโหมกระพือว่า เฮ้ย! ยุคนี้มัน Golden Age ของเด็กสาย Tech จบมายังไงก็ได้งาน มีแต่คนแย่งตัว คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยรู้ว่าสายอาชีพอย่างเราพอจบมามักเจอมรสุม “งานไม่ตรงปก” กับเขาเหมือนกัน ถ้าไม่จั่วหัวว่าเป็นบริษัท TECH ตรงสายแท้ ๆ แม้หน้า JD (job description) ใส่รายละเอียดล้ำแค่ไหน แต่ชีวิตจริงอาจจะต้องไปเป็น “เด่นชัย” ในแฟนเดย์หนัง GTH แก้ปัญหาแบบคนซ่อมคอมในบริษัท ไม่เท่ ไม่คูล และที่สำคัญคือ Tools ไม่ถึง เรียกได้ว่าดับไฟของเด็กจบใหม่เสียเหี้ยนเตียน “ไปธนาคารดิ” อยู่ ๆ คำ ๆ นี้มันก็ผุดขึ้นมา ทั้งที่มันไม่เคยเป็น Key message ในใจ แต่จะด้วยอาการอยาก To be Continue จากคราวที่แล้วที่ UNLOCKMEN ได้ไปเปิดโลกเรื่อง Cashless Society หรือถ้าจะเรียกให้ถูกว่าอยากลองของอีกทีก็ไม่ผิดนัก
เวลาพวกเราเลือกอะไรมาใช้สักชิ้น แน่นอนว่าต้องพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ แต่ถ้าของชิ้นนั้นเราไม่มีโอกาสได้สัมผัสหรือทดลองใช้ด้วยตัวเอง UNLOCKMEN เชื่อว่าเราคงต้องเคยใช้บริการหาตัวแทนมาทำหน้าที่หนูทดลองแทนเพื่อเช็กว่าสินค้าชิ้นนั้นดีหรือคุ้มค่าพอไหมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไอ้หนูทดลองตัวนั้นหลายครั้งก็เฉลยออกมาว่าคือหน่วยหนึ่งในการตลาดที่ชื่อว่า “Influencer” มีหน้าที่ชวนคนมาเชื่อแต่ของจริงเป็นอย่างไรก็ไม่สน ทำให้ทุกวันนี้อาการตั้งป้อมสร้างกำแพงเพราะกลัวโดนหลอกของเรามันเริ่มสูงขึ้นไม่รู้ตัว ทว่าก็ยังมีแบรนด์มากมายที่สนใจวิทยายุทธ์กระโดดกำแพงอยากแจ้งเกิดด้วย Influencer อยู่ดีโดยอาศัยบริการจากบริษัท Scout Influencer เราลองมาดูกันว่าเพราะอะไร และแบรนด์ไหนในไทยบ้างที่โดดเด่นและลงเล่นในสนามธุรกิจนี้ WHY BRAND CHOOSE INFLUENCER? “มึงมันหน้าม้า” ต่อให้พวกเรายกนิ้วชี้หน้าใส่นักรีวิวมือทองทั้งหลาย พร้อมด่าให้ย่อยยับในหน้าโซเชียล แบรนด์ก็ยังต้องมีบรรดา “Influencer” เป็นหนึ่งในหมากกลยุทธ์อยู่ดี นั่นเพราะพวกเขามีเหตุผลคุ้มทุนเหล่านี้อยู่ Influencer มอบตัวเลขการประเมินผลทางการตลาดที่ตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็น ยอดการเข้าถึง (Reach) และยอด Engagement ทั้งยอด Likes, Comments, Reactions, Retweets หรือ Shares ที่สำคัญยังได้ฐานลูกค้าใหม่จากคนที่ติดตาม Influencer เหล่านั้นอยู่แล้ว Customer Journey ยังเป็นสิ่งสำคัญเพราะสุดท้ายแล้วผู้บริโภคย่อมปฏิเสธการเชื่อคนขายของที่บอกว่าของตัวเองดีอยู่วันยันค่ำ ที่สำคัญยังได้มุมมองที่หลากหลายในการโปรโมตสินค้าจากคนที่ใช้งานจริง ช่วยเรื่องการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติด Top Search ได้ เพราะเมื่อผู้บริโภคเป็นนักค้นตัวยง
“ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน” นี่คือประโยคเตรียมใจที่ใช้ได้กับทุกเรื่องบนโลกที่โคตรไม่แน่นอนใบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องงาน ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์สุดเซ็งอย่างโดนไล่ออก โดนเลย์ออฟ ยังคงเป็นเรื่องนอยด์ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นการหางานใหม่ย่อมเกิดขึ้นทุกนาทีเช่นกัน ซึ่งเราอาจจะคุ้นชินกับวิธีเดิม ๆ อย่างท่องเว็บไซต์หางาน เข้าร่วม networking event ต่าง ๆ อัพเดท resume แล้วส่งอีเมลสมัครงานแบบกราด ๆ รอ HR บริษัทนั้น ๆ โทรมานัดสัมภาษณ์ แต่สำหรับผู้ชายที่ล้มแล้วลุกไวอย่างเรา คงจะไม่ใช้วิธีการแบบทั่วไปที่ดูเหมือนกับเป็นการรอคอยโอกาส แต่เราจะพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้น และหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหางานใหม่ ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังหางานใหม่อยู่ และเห็นด้วยว่าเราควรเงยหน้าขึ้นสู้ ลองทำตามวิธีการเหล่าที่เรานำมาแนะนำดู แล้วจะรู้ว่าคุ้มตั้งแต่ยังไม่รู้ผล รู้จักการขายตัวเองให้เจ๋งพอ “สิ่งที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังหางานใหม่ก็คือความพร้อมในตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ทำไม ?’ ” Mark Anthony Dyson โค้ช และผู้ก่อตั้ง Voice of Job Seekers ให้ความเห็นที่สนับสนุนวิธีการแรก คำถามเบสิคแต่ลึกซึ้งที่เรามักจะถูกถามเวลาสัมภาษณ์งานก็คือ “ทำไมคุณถึงอยากทำงานนี้
ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด เทรนด์การจับจ่ายสินค้าในบ้านกำลังปรับตัวสู่ความเป็น Cashless Society หรือสังคมไร้เงินสดอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลให้ผู้ประกอบการ จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และไม่ใช่เพียงแค่การปรับตัวของร้านค้ายิบย่อย แต่หมายความรวมถึงการปรับตัวในภาพใหญ่ของตลาด ใครมองเห็นช่องทาง สามารถสร้าง Solution การใช้จ่ายที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ ก็ย่อมคว้าโอกาสในการเพิ่มศักยภาพการใช้จ่าย ช่วยดึงเม็ดเงินเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้เป็นกอบเป็นกำ ด้วยเทรนด์ที่ชัดเจน มองเห็นโอกาสที่กำลังเปิดกว้างขนาดนี้ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการการเงินก็อย่างกสิกรไทยก็ไม่รอช้า ร่วมมือกับการรถไฟฯ ผุดโปรเจ็กต์สร้างจุดขายให้กับตลาดนัดจตุจักร แถมยังมองไกลไปถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงอย่างนักท่องเที่ยวชาวจีน ด้วยการนำงานสตรีทอาร์ตระดับโลกมาสร้างจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน ให้เข้ามาช้อป แชะ แชร์ พร้อมโปรโมชันพิเศษจากช่องทางการใช้จ่ายผ่าน e-wallet ที่คิดขึ้นมาบนพื้นฐานความเข้าใจ และตอบสนองต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งนิยมการชำระเงินผ่านมือถือให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนให้เติบโตขึ้นอีก 20% ตามเป้าที่หวังไว้ และยังเป็นการช่วยสร้างยอดขายให้กับร้านค้าในตลาดนัดจตุจักรที่รองรับบริการ K PLUS SHOP ที่รับชำระเงินได้ทั้ง Alipay และ WeChat Pay ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมใช้ คุณพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้เล่าถึงกลยุทธการเพิ่มยอดขายให้กับตลาดนัดจตุจักรให้เราฟังว่ามันเริ่มต้นมาจากการเล็งเห็นโอกาสจากจุดแข็งของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย และน่าจะต่อยอดสร้างแรงกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก และยังมีกำลังซื้อที่อยู่ในระดับสูง “ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย