เมื่อเอ่ยถึง Tom Ford หลายคนอาจรู้จักในฐานะของชื่อแบรนด์ไฮแฟชั่นสุดหรู แต่ถ้าเป็นคอแฟชั่นสายลึกคงรู้ซึ้งถึงกิตติศัพท์ความเก๋าของชายที่ชื่อว่า Tom Ford คนนี้เป็นอย่างดี กับการเป็นดีไซเนอร์มากฝีมือผู้เข้ามากอบกู้ Gucci แบรนด์ดังจากอิตาลีที่กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ล้มละลายให้กลับมาเป็นหนึ่งในแบรนด์มหาอำนาจทางแฟชั่นในปัจจุบัน ก่อนที่จะแยกตัวออกมาปลุกปั้นแบรนด์ Tom Ford ของตัวเองให้ผงาดขึ้นมาฉายแสงในยุทธจักรแฟชั่น ไม่ต่างจากที่เคยฝากฝีไม้ลายมือในการพลิกฟื้นแบรนด์ Gucci มาก่อน นอกจากนี้ Tom Ford ยังไม่ได้หยุดความสามารถในการสร้างสรรค์ของเขาเอาไว้แค่การเป็นดีไซเนอร์เท่านั้น แต่เขายังก้าวข้ามจากวงการแฟชั่นมาสู่เส้นทางของแผ่นฟิล์ม และแค่ผลงานการกำกับภาพยนตร์ชิ้นแรกของเขาก็ได้ส่งให้นักแสดงนำชายในเรื่องถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว ซึ่งการที่ใครหลายคนยกให้ Tom Ford เป็นอีกหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จในศตวรรษนี้ก็คงจะไม่เป็นคำกล่าวที่เกินไปนัก ด้วยพลังสร้างสรรค์อันโดดเด่นของเขา ที่เราเชื่อว่าจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคนได้เป็นอย่างดี เราจึงอยากนำชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปรู้จักกับเขาให้มากกว่านี้ ย้อนไปตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม ปี 1961 ซึ่งเป็นวันที่ Thomas Carlyle Ford หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Tom Ford ได้ถือกำเนิดขึ้นมาที่ รัฐ Texas โดยเขาได้เล่าถึงความสนใจในเรื่องของศิลปะ การออกแบบ และงานดีไซน์ ที่มีมาตั้งแต่วัยเด็กว่า “อย่าเพิ่งคิดภาพผมในวัย 5 ขวบกำลังนั่งร่างแบบเสื้อผ้าเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่หรืออะไรแบบนั้น แต่ในทุกครั้งที่พวกเขาไม่อยู่บ้าน
หลังจากต้นปีที่ชาวพืชได้ต้อนรับปีหมากันสมชื่อจากสถานการณ์ข่าวเคาะกะลาให้หมาดีใจว่าไทยแลนด์เราจะกลายเป็นแดนกัญชาเสรีแต่สุดท้ายก็โดนเบรกหัวทิ่มจาก อย. ว่า NO NO นายกำลังเข้าใจผิด เราให้สิทธิปลูกกัญชงต่างหากจนเหล่าสายเขียวหลายคนเลยต้องปาดน้ำตาไปด้วยความเสียดาย แต่เรื่องน้ีก็ไม่ได้ทำให้ทีมงาน UNLOCKMEN ท้อแท้หยุดอัปเดตข่าวคราววงการสายเขียวสุดครึกครื้นนอกบ้าน โดยเฉพาะกับเรื่องธุรกิจกัญชาที่กำลังหอมหวลได้ที่จนใครก็อยากขอมีเอี่ยวแบ่งเค้กสีเขียวชิ้นนี้กันถ้วนหน้า เพื่อให้กระจ่างว่าทำไมกัญชาถึงกลายเป็นวาระแห่งชาติของยอดชายสายธุรกิจในสหรัฐอเมริกา เราลองมาดู 7 เหตุผลที่ Marijuana Business Factbook เขาสรุปไว้พร้อมกัน 1. ปี 2561 นี้กัญชาเสรีในสหรัฐฯ เติบโตขึ้นอีก 50% ท่ามกลางสีแดงเถือกของพอร์ตหลายตัวบนกระดาน มนต์แห่งกัญชายังคงขลังวิ่งพอร์ตได้เขียวอยู่ ทั้งนี้เพราะใน Marijuana Business Factbook ได้ระบุตัวเลขคาดการณ์สถิติการเติบโตไว้ว่ามูลค่าการเติบโตทางธุรกิจสูงขึ้นอีกที่ราว 42 % ต่อปี ใครที่สงสัยว่าทำไมกล้าจิ้มบอกเลขการเติบโตไว้สูงขนาดนี้ เขาได้อ้างอิงเหตุผลจากปรากฏการณ์ขายกัญชาเพื่อสันทนาการใน 3 รัฐ ได้แก่ รัฐ California ที่เปิดประตูด้านกฎหมายอย่างร้อนแรงและน่าจะขายได้อย่างน้อยที่สุด 500 ล้านดอลลาร์ปีนี้ ประกอบกับรัฐ Massachusetts ที่เพิ่งเสรีเปิดขายเพื่อสันทนาการในปีนี้ และรัฐ Nevada ที่เปิดการขายกัญชาเพื่อสันทนาการในกรกฎาคม ปี 2560 ที่ผ่านมา เทียบได้กับคลื่นลูกใหม่ที่จะพาให้วงการการลงทุนคึกคักแบบฉุดไม่อยู่
“ขอไอเดียที่น่าสนใจ ส่งภายในวันนี้” สิ้นเสียงหัวหน้าที่น่าสะพรึงกลัว เปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจกังวาลลั่นไปทั่วห้องประชุม “งานเข้าเต็มใบ เอาไงดีวะกู” คิดไปพลางกลับไปนั่งหันหน้าประจันจอคอมพิวเตอร์ตัวเก่ง คิดซิคิด คิดก็ได้วะ ผ่านไปหลายชั่วโมง ไอ้ความคิดที่น่าสนใจมันหน้าตาเป็นยังไงวะ เจอแต่ความคิดอะไรก็ไม่รู้ที่ประสบการณ์บอกว่า…ไม่น่ารอด เราจะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะถ้าถามบรรดา Creative หรือ Marketer มือฉมังทั้งหลายว่า “คุณคิดไอเดียดี ๆ ออกตอนไหน” รับรองว่าไม่มีใครตอบว่าคิดออกหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน หรือระหว่างโดนหัวหน้าไล่ซักไซ้หาไอเดียหรอกนะ บ้างก็ตอบว่า คิดออกตอนลงไปสูบบุหรี่ บางทีก็มักจะฟลุคคิดออกตอนเข้าห้องน้ำ ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือผลบุญโชคช่วยใด ๆ แต่มีการวิจัยพบว่า ไอเดียดี ๆ เกิดขึ้นได้ตอนเราไม่ได้หมกมุ่นกับมัน แม้วิทยาศาสตร์จะยังไม่ล้ำถึงขั้นบอกได้ว่าความคิดสร้างสรรค์มันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร แต่สิ่งนึงที่รู้คือมันทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ยิ่งไปรีดเค้นบีบบังคับให้มันออกมา มันยิ่งหดกลับเข้าไปซ่อนอยู่ในสมองทั้งสองซีก ในขณะที่เราหมกมุ่นอยู่กับมัน ก็เหมือนการที่เราถือของหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา ย่อมมีเมื่อยล้ากล้ามเนื้อกันเป็นปกติ งานวิจัยจาก Stanford University บอกว่าให้เลิกคิดถึงมัน แล้วหันไปทำอย่างอื่นแทน ออกไปเดินเล่น อาบน้ำ จูงหมา หาแฟน ก็เหมือนเป็นการ Relax
หนึ่งในคำถามแรกสุดของการสัมภาษณ์งานแต่ละครั้งคงหนีไม่พ้น “แนะนำตัวเองหน่อยครับ” หรือ “เล่าเรื่องของคุณให้เราฟังหน่อยค่ะ” แม้จะดูเป็นคำถามสุดพื้นฐานและง่ายแสนง่ายเพราะก็แค่บรรยายความเป็นตัวเองให้เขาฟัง แต่หลายต่อหลายคนก็ตกม้าตายเพราะไม่รู้ว่าจะทำให้การแนะนำตัวเองนี้มันน่าสนใจหรือแตกต่างจากคนอื่นได้อย่างไร ? แค่แนะนำชื่อ นามสกุล จบจากที่ไหน ทำงานอะไรมา มีประสบการณ์แค่ไหนอาจจะเพียงพอสำหรับการให้ข้อมูล แต่การเริ่มต้นแบบที่แตกต่างจะสร้างความประทับใจและทำให้คุณได้เปรียบผู้เข้าสมัครคนอื่น ๆ แบบไม่เห็นฝุ่นแน่นอน “ผมสามารถสรุปความเป็นตัวเองได้ใน 3 คำ” : ดึงความสนใจจากคนสัมภาษณ์มาอย่างรวดเร็วด้วยการบอกเขาว่า ไม่ต้องฟังอะไรให้ยืดยาวแต่อย่างใด เริ่มต้นด้วยคำที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณได้อยู่หมัดและสร้างสรรค์ เป็นการปล่อยหมัดฮุกเด็ดให้เขาอยากถามเราต่อไปว่าทำไมเราถึงเลือก 3 คำนี้ “โควตที่ผมใช้ในการดำรงชีวิตเสมอมาก็คือ …” : ยกโควตของคนดัง คนประสบความสำเร็จ (จะดีมากถ้าเป็นสายงานเดียวกับคุณ) หรือใครก็ได้ขึ้นมา เพื่อบอกให้เขารู้ว่านี่แหละคือวิถีที่คุณยึดถือมาตลอด วิธีการเลือกโควตที่ใช่ของคุณ หรือคนที่กล่าวโควตนั้นออกมามีผลอย่างมากต่อวิธีที่คนสัมภาษณ์จะมองคุณ ดีกว่าบอกลอย ๆ ว่าคุณเชื่ออะไร หรือดำรงชีวิตแบบไหน แต่ให้คำพูดของคนที่คุณยึดถือมาช่วยบอกด้วยกลาย ๆ “ปรัชญาส่วนตัวของผมคือ…” : การบอกปรัชญาในการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นการบอกให้คนสัมภาษณ์รู้ว่าคุณไม่ได้แค่ใช้ชีวิต ทำงาน แล้วปล่อยให้วันเวลาไหลไปเรื่อย ๆ แต่คุณมีปรัชญาหลักที่คุณยึดถือ คุณเป็นนักคิด เป็นนักไตร่ตรอง และคุณจะใช้ชีวิตเพื่อบรรลุถึงปรัชญาที่คุณตั้งไว้ ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ “คนที่รู้จักผมดีมักจะบอกว่าผมเป็นคน…” :
ระยะหลังเราเห็นความ Craft ของคนไทยมากขึ้นเยอะ สมัยนี้เราใส่ใจรายละเอียดกว่ายุคก่อนมาก อาจจะเพราะเทคโนโลยีทำให้โลกนี้แคบลง มีการพัฒนาสินค้าหลายอย่างแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลประโยชน์จึงตกอยู่กับ Consumer หรือกลุ่มลูกค้าอย่างพวกเรา เกิดทางเลือกใหม่ ๆ มากมายที่ตอบโจทย์มากขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของเบียร์ เครื่องดื่มที่คนทั้งโลกคุ้นเคยเป็นอันดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเกิดกระแส Craft Beer อย่างรุนแรง เกิดเป็นกลุ่มคนรัก Craft Beer ที่มีทั้งผู้ผลิตและผู้พร้อมสนับสนุนดื่ม แต่ปัญหาเรื่องใบอนุญาตผลิตเบียร์ระดับ Micro ทำให้คนรักเบียร์ยากจะผลิตได้อย่างถูกกฎหมาย แน่นอนว่าเบียร์ Lager จากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ก็ยังคงเป็นเบียร์ที่ดี ดื่มง่าย เข้ากับสภาพอากาศ และถูกปากคนไทยอยู่แล้ว Craft Beer เป็นทางเลือกที่เพิ่มประสบการณ์ให้ครบถ้วนขึ้น เมื่อมันไม่ใช่เพียงกระแส ต่อให้มีอุปสรรคอะไรก็ไม่สามารถหยุดคนรัก Craft Beer ที่ฝังรากลึกลงไปในสังคม มันกลายเป็น Culture ที่แข็งแรงและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้กลุ่มสยามบรูวบราเธอร์ได้เป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยผลักดัน Thai Craft Beer ด้วยการเปิดตัว 3 คราฟท์เบียร์ไทยถูกกฎหมาย ได้แก่ ยักษา สเปซคราฟท์ และทริปเปิ้ลเพิร์ล กลุ่มสยามบรูวบราเธอร์
หากเอ่ยชื่อของ Mitsubishi สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นรถยนต์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อย่างตู้เย็น หรือ แอร์ Mitsubishi ที่คุ้นเคยกันดี แต่เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่า Mitsubishi นั้นเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ที่เชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมหนักและวิศวกรรมเทคโนโลยีระดับสูง ซึ่งผลิตสินค้าต่าง ๆ มากมายแบบครอบจักรวาล ตั้งแต่เรือรบ, เรือเดินสมุทร, เรือดำน้ำ, ยานอวกาศ, ขีปนาวุธ, จรวด, ดาวเทียม, ตอร์ปิโด, เครื่องบินพาณิชย์, เครื่องบินรบ, รถหุ้มเกราะ, เครื่องยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, รถยนต์, อุปกรณ์ไฮดรอลิก, หุ่นยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยจุดเริ่มต้นก่อนจะเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมแบบนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับชายผู้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่าง ยาทาโร่ อิวาซากิ (Yataro Iwasaki) หนุ่มน้อยจากเมืองโคชิ ที่มีโอกาสได้ทำงานดูแลด้านการค้าขายให้กับตระกูลโทสะ (Tosa Clan) ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลในเมืองนั้น ด้วยความขยัน และตั้งใจ ทำให้หน้าที่การงานของ ยาทาโร่ อิวาซากิ โดดเด่นชนิดที่ว่าถ้าพล็อตกราฟออกมาคงเห็นเป็นเส้นความชันที่พุ่งขึ้นพรวด ๆ จนในปี
ทุกวันนี้เกิดกระแสของสะสมขึ้นมากมายหลากหลายรูปแบบจริงๆ ทั้งสะสมทั่วไปและสะสมเพื่อเก็งกำไร แต่สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่ามีของสะสมอยู่แขนงนึงที่น่าสนใจไม่น้อยเลย มีการเติบโตทั้งจำนวนผู้สะสม มีความหลากหลายของตัวตน และที่สำคัญคือมีการเติบโตของราคาที่สูงทีเดียว ด้วยวัฒนธรรมของเราในอดีตอาจจะมองว่าสิ่งนี้เป็นของใช้งานไม่ได้มีคุณค่าหรือราคาอะไร แต่ในปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว โดยเฉพาะกับคนยุคใหม่นั่นคือรองเท้าผ้าใบ หรือ Sneaker เมื่อไม่นานมานี้น่าจะพอได้ยินข่าวคราวเรื่อง Sneaker จากค่ายยักษ์ใหญ่รุ่นนึงที่เกิดการผลิตผิดพลาดโดยมีการปักตัวอักษรผิดและเกิดหลุดออกมาสู่ตลาด ด้วยโชคหรืออะไรก็ไม่ทราบดันมีลูกค้าชาวไทยคนนึงซื้อไปด้วยความบังเอิญ ซึ่งโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดแบบนี้มีน้อยมาก ๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนรองเท้าคู่นี้คงไม่มีค่าหรือราคาอะไรมากนัก ผู้ซื้อคงเสียใจและเสียอารมณ์อย่างแน่นอนหรือเลวร้ายที่สุดอาจจะเกิดการฟ้องร้องกับทางผู้ผลิตเพื่อเรียกร้องความเสียหายได้เลย แต่ในความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้นหน่ะสิครับ รองเท้าคู่นี้ถูกรับซื้อต่อในระยะเวลาอันรวดเร็วจากคนไทยด้วยกันที่จำนวนเงินถึงหนึ่งล้านบาท ใช่ครับฟังไม่ผิดหรอก”หนึ่งล้านบาท” และจากข้อมูลที่ทราบมาว่าในตลาดโลกราคาของรองเท้าคู่นี้สามารถมีราคาขึ้นไปสูงถึงสองล้านบาทเลยทีเดียว มันเป็นไปได้ยังไงกันรองเท้าคู่เดียวมีราคาเทียบเท่ารถยุโรปคุณภาพดีคันนึงเลย ที่มันเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะโอกาสที่โรงงานจะผลิตชิ้นงานผิดพลาดและหลุดรอดการตรวจสอบจนถูกนำมาวางขายในตลาดนั้นต่ำมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ฉะนั้นรองเท้าคู่นี้อาจจะมีเพียงคู่เดียวในโลกก็เป็นได้และปัจจัยหลักต่อมาคือกำลังซื้อครับ ตลาด Sneaker และ Street Fashion มีกำลังซื้อและเงินหมุนเวียนที่สูงมาก ต้องอย่าลืมนะครับว่าสิ่งของเหล่านี้มักจะถูกซื้อด้วยความชอบและอารมณ์ เรื่องเหตุและผลเป็นเรื่องรองหรือไม่มีเลยจึงทำให้ซื้อง่ายจ่ายไวจ่ายหนักนั่นเอง และแน่นอนครับผมต้องมีข้อมูลติดไม้ติดมือมาให้ผู้อ่านเพื่อเป็นแนวแทง เอ้ยแนวทางสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ Sneaker โดยวันนี้จะพูดถึง Sneaker 5 รุ่นที่น่าจับตามองกันครับ Adidas Yeezy Boost 350 V2 Beluga 2.0 ราคา 16,000 – 18,000 บาท :
เหมือนเป็นธรรมเนียมประจำปีไปแล้วที่ Forbes ต้องจัดอันดับมหาเศรษฐีระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าบรรดาคนมีตังค์ล้นฟ้าเหล่านั้นก็คือบรรดาคนมีตังค์ที่อายุยังน้อย จนเรียกได้ว่าอายุน้อยหลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์ที่แท้จริง โฉมหน้าพวกเขาจะเป็นอย่างไร? และเขาทำอะไรกันบ้าง UNLOCKMEN ชวนมาอัปเดตไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ฮึดสู้ฟัดเผื่อจะรวยให้ได้เสี้ยวของเขาขึ้นมาบ้าง สำหรับมหาเศรษฐีที่เด็กที่สุด 3 ลำดับแรกล้วนแต่เป็นชาวนอร์เวย์ สำหรับคนที่เด็กที่สุดนั้นมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น เธอคือ Alexandra Andresen โดยมีทรัพย์สินจำนวน 1.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือจะเป็นใครบ้างนั้นเราจะพามารู้จักพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน John Collison, 27 ปี — $1 พันล้าน John Collison เป็นนักลงทุนชาวไอริชผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นบริษัทออนไลน์เพย์เมนต์ที่ตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก John Collison เริ่มมีไอเดียที่จะทำบริษัท Stripe กับพี่ชายของเขาตั้งแต่เรียนอยู่ในวิทยาลัยที่บอสตัน จนกระทั่งบริษัทของเขาก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จในปี 2011 ซึ่งขณะนั้นบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักเนื่องจากเขาไม่ได้ขายอะไรที่เป็นสินค้าที่บริโภคได้ แต่เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่จะขายให้บริษัททั่วโลกติดตั้งแล้วสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ แต่ล่าสุดเขาก็มีลูกค้ากว่า 100,000 รายทั่วโลก และได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐีพันล้านที่รวยที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว Evan Spiegel, 27 ปี — $4.1
สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
มีคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่าการแสดงความคิดที่ต่างกันก็เหมือนการสวมแว่น เราสวมกรอบที่ต่างกันจึงมีมุมมองต่างกัน แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะมีคนคู่หนึ่งหยิบ “แว่น” จากคำเปรียบที่จับต้องไม่ได้มาสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นจริง ถอดคาแรคเตอร์คนสวมมาสร้างเฟรมแห่งตัวตน ชนิดที่ไม่ว่าจะสวมหรือวางไว้บนโต๊ะก็รู้ว่าเป็นตัวเรา ที่สำคัญมันยังสามารถกลายเป็นมรดกส่งต่อให้คนรอบข้างได้นึกถึงในวันที่เราไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้วด้วย เพราะถ้าเก็บรักษาให้ดีก็มีอายุขัยมากกว่าคนสวมเสียอีก! อาร์ท – ชนกันต์ อุโฆษกุล และเฟิร์น – อานิกนันท์ เอี่ยมอ่อง คือ 2 นักดีไซน์ที่จบจากคณะมัณฑนศิลป์ รั้วศิลปากร ทำงานด้านครีเอทีฟและกราฟิกดีไซน์เนอร์ก่อนผันมาเป็นเจ้าของ Arty & Fern Eyewear ร้านแว่นแบรนด์ไทยมากเอกลักษณ์สไตล์ custom-made ร้านที่เปลี่ยนสโลแกนจากการ วัด “สายตา” ประกอบแว่น ให้ no limit ไปอีกขั้นด้วยการ วัด “สไตล์” ประกอบแว่น จนใครก็พร้อมใจเข้าคิวอยากเป็นเจ้าของ เปิดร้านแว่นจากคนนอก “สายตา” แม้หลายคนอาจจะเคยเห็นทั้งอาร์ตและเฟิร์นผ่านสื่ออื่น ๆ แต่สิ่งที่อาจไม่รู้มาก่อนคือ ทั้งคู่เป็นคนที่มีค่าสายตาน้อยมาก ๆ ดังนั้นความหลงใหลเรื่องแว่นที่พาพวกเขาให้ก้าวมาเปิดร้านจึงไม่ใช่เรื่องของทัศนมาตรศาสตร์ หรือเรื่องของการมองเห็นแต่เป็นเรื่องของดีไซน์ล้วน ๆ โดยเริ่มต้นจากความชอบแบบนักใส่นักสะสม ผสมกับความรู้เรื่องการดีไซน์ที่ร่ำเรียน จนกลายเป็นการเล่นสนุกตอบสนองความชอบตัวเองผ่านการทำแว่นไร้สายตาที่พวกเขาชื่นชอบกันอย่าง “แว่นกันแดด” ซึ่งแม้มันจะเป็นก้าวแรกของการสร้างแบรนด์แบบสนุก ๆ ที่ดันรุ่งโดยไม่ตั้งใจ