BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ประกาศเปลี่ยน Logo หรือตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในรอบ 23 ปีและเป็นโลโก้แบบที่ 6 ในรอบ 103 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ใหม่คือ BMW Concept i4 รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูหวังจะทำให้ผู้คนเข้าถึงรถยนต์ของพวกเขามากยิ่งขึ้นในอนาคต ปี 2019 บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 23.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้ยอดขายที่ดีขึ้นต่อเนื่องพวกเขายังคงพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกของผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมกัน แต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักรถยนต์คันใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต วันนี้คอลัมน์ THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักโลโก้ในอดีตทั้ง 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงยนตรกรรมที่โดดเด่นในยุคสมัยของโลโก้นั้น ๆ มาดูกันว่าตลอด 103 ปี สัญลักษณ์แห่งพลังจากแคว้นบาวาเรียนี้ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการรถยนต์ไปแค่ไหนและมีรถรุ่นอะไรที่สร้างภาพจดจำให้กับตราสัญลักษณ์ของพวกเขาบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Begin of BMW Logo! โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานโดยต้องย้อนกลับไปในปี 1913 หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะสิ้นสุดลง ชายที่ชื่อ Karl Rapp ตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินโดยใช้ชื่อว่า Rapp Motorenwerke ในช่วงแรกบริษัทของ Karl
Audi ถือเป็นอีกค่ายที่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลายรุ่นเตรียมไว้สำหรับแข่งขันในตลาดในอนาคต หนึ่งในนั้นคือเอสยูวีอย่าง E-Tron 55 Quattro ที่เปิดตัวรถคอนเซ็ปต์ครั้งแรกในปี 2015 และเพิ่งส่งมอบรถคันแรกในลูกค้าไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 ที่ผ่านมา หลังเปิดตัว E-Tron กลายเป็นรถที่ได้รับความนิยมได้ทั่วทวีปยุโรปด้วยยอดจองเกิน 10,000 คัน รั้งตำแหน่งรถยนต์ที่ถูกสั่งจองเป็นอันดับ 2 ในเดือนธันวาคมปี 2019 ของประเทศเนเธอแลนด์ แต่พร้อมกันนั้น Audi ก็ได้ทำการพัฒนา E-Tron ออกมาเป็นเอสยูวีครอสโอเวอร์ในชื่อ E-Tron S และ E-Tron Sportback S แต่รถทั้ง 2 คันจะพัฒนาขึ้นจากรุ่นมาตรฐานในจุดไหนบ้าง มาชมไปพร้อมกัน เริ่มที่เรื่องสำคัญที่ทำให้ E-Tron S และ E-Tron Sportback S มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือรถทั้ง 2 รุ่นเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ 1 ตัววางไว้ที่เพลาขับด้านหน้าและอีก 2 ตัวที่เพลาขับด้านหลัง ทั้งหมดให้พลังรวมกันที่
ปี 2020 ค่ายรถยนต์ Alfa Romeo จะมีอายุครบ 110 ปี และแบรนด์แห่งความเร็วจากอิตาลีแบรนด์นี้ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโลกแห่งยนตรกรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น Luxury Car, Sport Car หรือ Racing Car ล่าสุดพวกเขาฉลองอายุครบ 110 ปีของตัวเองด้วยรถรุ่นพิเศษอย่าง “GTA Giulia” “GTA Giulia” รุ่นฉลองการครบรอบ 110 ปีของ Alfa Romeo ได้แรงบันดาลใจจาก Alfa Romoe GTA ที่ผลิตระหว่างปี 1965-1969 โดยชื่อ GTA ย่อมาจาก Gran Turismo Alleggerita หรือภาษาอังกฤษแปลว่า Grand Touring Lightened Alfa Romeo ปรับแต่งน้ำหนักของ “GTA Giulia” ให้หายไปถึง 100 กิโลกรัมเพื่อให้สมกับชื่อรุ่นที่เป็นตำนานของมัน ทั้งส่วนหลังคาที่ใช้เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ กระจกข้างคาร์บอนตกแต่งด้วยลายธงชาติอิตาลี
Citroën (ซีตรอง) ค่ายผลิตรถยนต์จากฝรั่งเศสเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของค่ายที่มาพร้อมขนาดกะทัดรัด โดยตั้งใจสร้างให้เป็น Urban Cars ที่ใช้งานในเขตเมืองพร้อมเปิดให้บริการทั้งแบบซื้อขาดและเช่าขับในราคาถูก โดยตั้งชื่อให้ว่า Ami หรือแปลเป็นชื่อไทยว่า เพื่อน ย้อนกลับไปในปี 2019 ซีตรองเปิดตัวรถยนต์คอนเซ็ปต์ชื่อว่า Ami One เพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์ นั้นคือโมเดลต้นแบบที่ซีตรองนำมาพัฒนาต่อเป็น Ami รุ่นปัจจุบันซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะมีฟังก์ชันอะไรน่าสนใจบ้าง มาชมไปพร้อมกัน Ami เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 2 ที่นั่งมีความยาวหัวจรดท้ายที่ 2.41 เมตร สร้างขึ้นภายใต้รูปแบบที่วางไว้ให้ใช้อะไหล่น้อยชิ้นที่สุด ยกตัวอย่างคือบอดี้รถด้านหน้าและด้านหลังจะใช้ร่วมกันได้ ประตูทั้ง 2 ข้างที่เปลี่ยนทดแทนได้ ตัวรถมาพร้อมกระจกขนาดใหญ่ 3 ด้าน รวมถึงหลังคากระจกที่ช่วยให้มีทัศนวิสัยในการขับที่กว้างมากเมื่อเทียบกับขนาดของรถ ด้านขุมพลัง Ami ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 6 กิโลวัตต์ที่ให้พลังเทียบเท่า 8 แรงม้าทำให้รถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งเหมาะต่อการใช้งานในเขตเมือง เช่นไปซื้อของหรือออกกำลัง รถคันนี้มีระยะทางวิ่งอยู่ที่ 70 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ผ่านสายไฟบ้านโดยใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมง
ต้องยอมรับว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้ชายเรามากขึ้นทุกวัน ทำให้ในปัจจุบันหนุ่ม ๆ หลายคนต่างมองหายนตรกรรมสายพันธุ์ EV ที่เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเอง ซึ่งโจทย์สำคัญสำหรับรถยนต์ที่หลายคนมองหานั่นก็คือ “รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน” รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานง่ายสำหรับหลายคนอาจหมายถึง รถยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งการขับขี่ระยะสั้นในเขตเมืองและการเดินทางระยะไกลออกนอกเมือง รวมถึงมีการดูแลรักษาที่ไม่จุกจิก มีราคาค่าซ่อมบำรุงไม่แพงจนเกินไป ซึ่งถ้าจะมีรถยนต์สักคันที่ตรงกับความต้องการทั้งหมดที่พูดมา เราคิดว่า “NEW MG ZS EV” คืออีกหนึ่งยนตรกรรมยุคใหม่ที่มาพร้อมคุณสมบัติซึ่งตอบสนองความต้องการทั้งหมดได้อย่างครบครัน NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์ในเซกเมนต์ Sport Utility Vehicle (SUV) คันแรกของเอ็มจีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ โดดเด่นด้วยงานดีไซน์ภายนอกมาในสีฟ้า “Copenhagen Blue” ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor และแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออนความจุ 44.5 kWh ที่ให้อัตราเร่ง 0-50 กิโลเมตรในเวลา 3.1 วินาที ไม่เพียงเท่านั้นรถคันนี้ยังมาพร้อมองค์ประกอบอื่น ๆ ที่จะทำให้การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้งานทุกคน หลายคนเคยเข้าใจว่าขั้นตอนการชาร์จประจุไฟของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องยุ่งยากและสามารถทำได้ในสถานที่เฉพาะเท่านั้น แต่ NEW MG
ถ้าพูดถึงความหลงใหล เราทุกคนล้วนมีความหลงใหลในชีวิตแตกต่างกันออกไป บางคนคลั่งไคล้จนต้องตอบสนองกิเลสของตัวเองด้วยการสะสมสิ่งของซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตัวเองหลงใหลและเราเชื่อเหลือเกินว่า “รถโมเดลย่อส่วน” คือของอีกชิ้นที่ผู้ชายอย่างเราต่างชื่นชอบเหมือนกัน แต่สำหรับผู้ชายที่ชื่อ เอก-สัญชัย ธรรมศาสตร์สิทธิ์ หรือ เอก เฟอร์รารี่ “โมเดลรถย่อส่วน” เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตถึงขนาดที่เขาสร้างพื้นที่เฉพาะขึ้นมาเพื่อเก็บสะสม แต่อะไรคือเหตุผลทำให้ชายคนนี้ใช้เวลาถึง 20 ปีในการตามหา สั่งซื้อและดูแลรักษารถโมเดลย่อส่วนกว่า 10,000 คัน วันนี้หาคำตอบและทำความรู้จักคอลเลกชันความหลงใหลของเขาไปพร้อมกัน แนะนำตัวหน่อยครับ : สวัสดีครับ สัญชัย ธรรมศาสตร์สิทธิ์ ชื่อเล่นชื่อเอก ในวงการเรียกว่าเอก เฟอร์รารี่ครับ เอก เฟอร์รารี่ ชื่อนี้ได้มายังไง? : ย้อนกลับไปประมาณ 20 ก่อนในยุคที่เราเริ่มเล่นโมเดลรถย่อส่วนใหม่ ๆ สมัยนั้นยังไม่มีเฟซบุ๊คจะเป็นเว็บบอร์ดทั่วไป ตอนนั้นเรามีโอกาสได้รู้จักรถสเกล 1 ต่อ 18 ของเฟอร์รารีซึ่งเป็นโมเดลรถที่สวยมาก ซื้อมาใส่แท่งอะคริลิคสีแดง เราได้มาจำนวนหนึ่งและถ่ายรูปลงในเว็บบอร์ดทุกวันเลย เวลาคนคุยกันถามว่าเอกไหน ? คนก็พูดกันว่า เอก เฟอร์รารี่ไง คนที่ชอบโพสต์รถเฟอร์รารี่ลงทุกเว็บทุกวันจนกลายเป็นที่มาของฉายานี้ เริ่มต้นหลงใหลและสะสม “รถโมเดลย่อส่วน” ได้ยังไง ของชิ้นนี้มีเสน่ห์กับเรายังไงบ้าง ? : เราเริ่มสะสมรถโมเดลรถย่อส่วนครั้งแรกเมื่อประมาณ
หนุ่ม ๆ ที่แฟนของรถยนต์ Porsche โดยเฉพาะโมเดล 911 เตรียมพบบริการพิเศษของค่ายซึ่งจะใช้ลายนิ้วมือของผู้ครอบครองมาถ่ายทอดเป็นกราฟิกบนฝากระโปรงด้วย ถือเป็นลวดลายเฉพาะตัวที่มีแค่คันเดียวเท่านั้น ทุกคนรู้จัก Porsche ในฐานะค่ายรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานดีไซน์ รวมถึงสมรรถนะที่ไม่เป็นสองรองใคร และพวกเขาไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและคิดค้นบริการซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ ของลูกค้าได้และก่อตั้งเป็นแผนกพิเศษที่ชื่อ Porsche Exclusive Manufaktur ขึ้นมา Porsche Exclusive Manufaktur เป็นแผนกปรับแต่งรถยนต์ตามความต้องการของลูกค้า เกิดขึ้นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการในปี 1950 จากแนวคิดดั้งเดิมของ Ferdinand Porsche ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “ในช่วงแรกเริ่ม ตัวผมมองไปรอบ ๆ และไม่เคยเห็นรถในฝันของตัวเองเลย ดังนั้นผมถึงตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเอง” ซึ่งโปรเจ็กต์อย่างไม่เป็นทางการชิ้นนี้ ส่งให้เกิด Porsche 356 ที่ตกแต่งด้วยขนเฟอร์รอบคันโผล่ขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ และถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นให้ Porsche เดินหน้าสร้างแผนก Exclusive Manufaktur อย่างจริงจังขึ้นมาในปี 1986 ผลงานของแผนกนี้ประกอบไปด้วย Exclusive Cars สวย ๆ หลายคันที่ถูกสั่งทำออกมาพิเศษโดยผู้สั่งซื้อกระเป๋าหนัก จนมาถึงในปี 2020 Porsche Exclusive
ในยุคที่การใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิงนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ หลากหลายแบรนด์รถจักรยานยนต์ก็เริ่มคิดหาวิธีใหม่ ๆ มาช่วยนำเสนอโมเดลรถของตนให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เข้ากับกระแสนิยม และสอดคล้องไปกับแนวคิดยั่งยืนที่เริ่มหยั่งรากลึกลงในไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ แม้แต่ Switch Motorcycle บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์หน้าใหม่จากเซี่ยงไฮ้ ก็เพิ่งเปิดตัว ‘Switch eScrambler Motorcycle’ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสุดเท่ที่มาพร้อมถังทรงเหลี่ยมสีฟ้าเมทัลลิก แฝงความคลาสสิกและกลิ่นอายของความร่วมสมัยอย่างลงตัว Matthew Waddick ผู้เชี่ยวชาญที่สร้างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาหลายปี จับมือกับ Michel Riis แชมป์แข่งมอเตอร์ไซค์รายการ Flat Track ชาวเดนิชและอดีตดีไซเนอร์ค่าย Yamaha ร่วมกันออกแบบ Switch eScrambler คันนี้ ตัวรถใช้เฟรม old-school เปลคู่ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมเฟรมย่อยสไตล์ scrambler มีท่อเหล็กสองท่อนเชื่อมยึดกันจากแกนคอ และแยกออกมาเพื่อให้รับน้ำหนักเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ได้ แม้จะรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิมของจักรยาน ICE โบราณเอาไว้ แต่รถคันนี้ก็ยังดูเท่ล้ำสมัยด้วยระบบขับเคลื่อนจากพลังงานโปรตอน พร้อมคอนโทรลเลอร์จากบริษัท Mopibus หนึ่งในเจ้าดีที่สุดของโลก ที่ดีไซน์คอนโทรลเลอร์พิเศษสำหรับ Switch eScrambler คันนี้โดยเฉพาะ บนหน้าปัดแสดงผลออกแบบให้เป็นดิจิทัล มีโหมดขับขี่ให้เลือกทั้งหมดสามแบบ ทั้งยังมีระบบ GPS ติดตามตัว
ในขณะที่อยู่บนท้องถนน คุณอาจจะเห็น Mercedes-Benz หรือ BMW ทุกรุ่นจนชินตา แต่ทุกครั้งที่เราเห็นรถยนต์ Audi บางรุ่น ที่แม้ราคาจะไม่ได้แพงระยับ มันกลับทำให้เราตื่นเต้นจนต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ โดยเฉพาะรถในตระกูลทรง Avant ที่มีเสน่ห์และน่าสนใจกว่ารถ SUV หรือ Sedan ทั่วไป รวมถึงการตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุม ในลุคที่สุดจะดุดันของ Audi A6 Avant ไม่บ่อยนักที่เราจะฟันธงได้ตั้งแต่เริ่มรีวิว เพราะตลอดเวลาที่เราได้ขับมัน นี่คือรถอีกหนึ่งคันที่เรารู้สึกประทับใจจนอยากจะแนะนำให้ทุกคนไปลองขับดูให้ได้ เพราะเมื่อเทียบราคาในตลาดกับสิ่งที่ได้จาก Audi A6 (C8) Avant 45 TFSI S-Line Black Edition นั้น ค่าตัว 4.29 ล้านบาท ถือว่าไม่แพงเลย เหตุผลที่รถทรง Avant มีเสน่ห์ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความแตกต่าง เนื่องจากจำนวนรถที่มีไม่มากบนท้องถนน จึงตกเป็นเป้าหมายของนักสะสมอยู่เสมอ ส่งผลให้ราคาของมันแข็งกว่าเมื่อเทียบกับรถ SUV หรือ Sedan 4 ประตู รวมถึงการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ แถมแต่งยังไงก็หล่อ
ถ้ามีคำถามว่ารถยนต์จากภาพยนต์เรื่องไหนที่แฟนหนังอยากครอบครองมากที่สุด เชื่อว่าคำตอบจะต้องมี Ford Mustang ปี 1969 รถจากภาพยนตร์ John Wick ภาคแรกรวมอยู่ด้วยแน่นอน และความอยากนั้นจะไม่ใช่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไป เพราะตอนนี้โอกาสที่คุณจะได้เป็นเจ้าของมาถึงแล้ว Classic Recreation อู่คัสตอมรถฝีมือดีจากเมือง Oklahoma เปิดโอกาสให้คนที่อยากครอบครองรถยนต์ของยอดมือสังหารจอห์น วิค อย่าง Ford Mustang Mach ฉายา Hitman ที่พวกเขาสร้างขึ้น โดยมีรายละเอียดภายนอกทุกอย่างถอดแบบออกมาเหมือนกับรถยนต์ของป๋าวิคที่โลดแล่นอยู่ในหนัง รวมถึงรายละเอียดพิเศษสำหรับแฟนหนังโดยเฉพาะ Hitman ถูกสร้างขึ้นจากตัวถังของ Ford Mustang Mach 1 รุ่นปี 1969-1979 ที่ฟื้นฟูให้กลับมาใหม่เอี่ยมอีกครั้งในสีเทา Wick พร้อมล้อแม็กแบบ American Racing ขนาด 18 นิ้วหุ้มด้วยยาง Michelin Pilot Sport 2 ขุมพลังใต้ฝากระโปรงของ Hitman เป็นเครื่องยนต์ Ford