ผู้ชายอย่างเราต่างมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพราะเราไม่ได้มองหาเแค่รถยนต์ที่ขับขี่ได้ดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการรถยนต์เอนกประสงค์ ทั้งหมดเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้รถยนต์ประเภทซีดาน B-Segment เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากในเมืองไทย หนึ่งในนั้นคือ All-New Nissan Almera (นิสสัน อัลเมร่า) รถยนต์ซีดาน B-Segment คันล่าสุดจากนิสสันที่ได้รับการพัฒนาใหม่ตั้งแต่หัวจรดท้ายและถือเป็นโอกาสดีที่ UNLOCKMEN ได้เข้าร่วมการทดสอบรถคันนี้บนเส้นทาง 250 กิโลเมตรจากจังหวัดภูเก็ต-พังงา มาดูกันว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแตกต่างของตัวเมือง ถนนเลียบทะเลอันดามันและเส้นทางที่คดเคี้ยวของเส้นทางผ่านหุบเขา All-New Nissan Almera จะโชว์สามารถดึงสมรรถนะออกมาให้เราเห็นมาก-น้อยแค่ไหน ก่อนการเดินทางจะเริ่มขึ้น เราขอพาทุกคนมาดูงานออกแบบครั้งใหม่ของรถคันนี้กันก่อน โดยดีไซน์ใหม่ของ All-New Nissan Almera ถือเป็นจุดแข็ง กับความเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนในด้านรูปลักษณ์งานดีไซน์ที่เน้นการใช้งาน สู่การเป็นรถยนต์ที่มีกลิ่นอายความสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้น กระจังหน้าทรง V-Motion งานดีไซน์ที่ต่อไปจะเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์จากนิสสันซึ่งเราเคยเห็นมาแล้วใน LEAF ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อม LED Signature Light ทรงบูมเมอแรงและชุดไฟท้าย Signature Light พร้อมไฟเบรก LED ทรงบูมเมอแรงเหมือนกันถือว่าหล่อลงตัวเลยทีเดียว All-New Nissan Almera มากับความยาวตัวรถ 4495
หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบยนตรกรรมจากฟอร์ด โดยเฉพาะโมเดลซูเปอร์คาร์อย่าง GT น่าจะถูกใจกับรุ่นพิเศษล่าสุดที่ถูกเปลี่ยนวัสดุตัวถังและล้อแม็กรวมถึงปรับสีให้ดุดันไม่แพ้พลังม้าที่มีใต้ฝากระโปรง และชื่อของมันคือ Ford GT Liquid Carbon Ford GT Liquid Carbon มีพื้นฐานมาจาก Ford GT รุ่นปี 2020 ถูกแผนก Ford Performance หยิบไปปรับแต่งและใส่แรงบันดาลใจจากโมเดล Ford GT Mk ll Track-Only ออกมาเป็น GT ที่มาพร้อมวัสดุคาร์บอนพิเศษสีดำชั้นนอกสุดเคลือบสีเงาเพื่อโชว์เส้นคาร์บอนโดยรอบตัวรถ นอกจากตัวถังคาร์บอนแล้ว Ford GT Liquid Carbon ยังมาพร้อมล้อแม็กคาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้ติดมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน น็อตล้อเสริมความแกร่งด้วยไทเทเนียม พร้อมคาลิปเปอร์เบรกให้หนุ่ม ๆ เลือกเพิ่มสีสันให้กับรถคันเก่งถึง 5 สีด้วยกัน นอกจากนี้ผู้สั่งซื้อยังสามารถสั่งคัสตอมฝาครอบกระจกและแถบสีเสริมตามส่วนต่าง ๆ ของตัวรถได้ ถือเป็นการเพิ่มความแตกต่างตั้งแต่ออกจากโรงงานกันไปเลย Liquid Carbon ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่ภายนอกแต่ยังถูกปรับแต่งในเรื่องของสมรรถนะและระบบอากาศพลศาสตร์เพิ่มเติมอีกด้วย โดยเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่อง V6 ตัวใหม่ที่มีพลังเพิ่มขึ้น 13
ถ้าพูดถึงรถสปอร์ตจากนิสสันหนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพของ Nissan Skyline หรือ GT-R เป็นภาพตัวแทนความแรงของแบรนด์รถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้ แต่จริง ๆ แล้ว อีกหลายคนคงรู้ว่านิสสันยังมีรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตอีกหนึ่งตระกูลที่เป็นตำนานไม่แพ้ Godzilla นั่นก็คือรถตระกูล Z-Cars และคอลัมน์ THE ICONIC CARS ครั้งนี้จะมาพูดถึงต้นแบบของ Z-Cars ด้วยชื่อแสนอ่อนหวานผิดวิสัยรถสปอร์ตดุดัน จนเคยโดนสบประมาทว่าเป็นชี่อที่ไม่ดีพอสำหรับใช้ทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ชื่อของรถยนต์คันนั้นคือ Nissan Fairlady Z กำเนิด Fairlady Z ต้นกำเนิดของ Nissan Fairlady Z เกิดขึ้นในปี 1969 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงได้ไม่นาน ตลาดรถยนต์ในยุคนั้นคือช่วงแห่งการแข่งขันและขยายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไปสู่ทวีปต่าง ๆ และนิสสันในเวลานั้นอยู่ภายใต้การนำทีมของประธาน Yutaka Katayama หรือ Mr.K ผู้รู้ดีถึงความสำคัญของรถสปอร์ตโดยเฉพาะถ้าพวกเขาต้องการตีตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นในเรื่องของการทำราคาที่อยู่ในระดับซึ่งจับต้องได้ควบคู่กันไป ซึ่งประจวบเหมาะกับที่นิสสันกำลังลุยสร้าง Prototype สายพันธุ์สปอร์ตขึ้นมาจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น Prince Skyline ที่ต่อมาถูกพัฒนาและเปลี่ยนชื่อเป็น Nissan
ปัจจุบันผู้ชายอย่างเราต่างสนใจรถยนต์เซกเมนต์เอสยูวี หรือ Sport Utility Vehicle เพราะเป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลาย โดดเด่นเรื่องสมรรถนะ ความปลอดภัยรวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาพร้อมกับตัวรถ ค่ายรถยนต์เอ็มจี (MG) เข้าใจความต้องการของผู้ใช้รถเป็นอย่างดี ปีที่ผ่านมาพวกเขาเปิดตัวและวางขายรถยนต์เอสยูวี 2 รุ่นล่าสุดคือ NEW MG HS และเอสยูวีพลังไฟฟ้า 100 % NEW MG ZS EV ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนที่กำลังมองหารถยนต์เอสยูวีที่ขับขี่อย่างปลอดภัยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ รถยนต์ 2 รุ่นทั้ง NEW MG HS และ NEW MG ZS EV ได้รับคะแนนด้านความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนโดยสถาบันทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ของยุโรป หรือ Euro NCAP* มาทำความรู้จักกับเอสยูวีทั้ง 2 คันให้ดีขึ้นไปพร้อมกัน เริ่มที่ NEW MG ZS EV เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100 % มาพร้อมพลังการขับขี่ทรงพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet
Porsche 911 กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แบรนด์เสื้อผ้าจากนิวยอร์กอย่าง AIME LEON DORE ออกแบบคอลเลกชันใหม่ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เนื่องในโอกาสการเปิดตัว Porsche 911 โฉมคัสตอมพิเศษที่มีเพียงแค่คันเดียวในโลก “ALD 964” คือชื่อของ Porsche 911 รุ่นปี 1990 โดยรถคันนี้ถูกคัสตอมมาในสีขาวทั้งคัน มาพร้อมสปอยเลอร์ทรง Ducktail สร้างขึ้นมาใหม่ ส่วนดีไซน์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาคือกราฟิกรูปเพกาซัสที่ด้านข้างตัวรถและป้าย “ALD 964” ชื่อที่ใช้เรียก Porsche 911 เจนแรกของคนในโรงงานปอร์เช่ งานคัสตอมสุดพิเศษทั้งหมดนี้เกิดจากความหลงใหลในรถยนต์ปอร์เช่ของ Teddy Sanis ดีไซน์เนอร์คนสำคัญของ AIME LEON DORE ที่เคยได้มีโอกาสเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของปอร์เช่ รวมถึงโรงงานประกอบโมเดล 911 ในสตุ๊ตการ์ต กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างออกแบบคอลเลกชัน “ALD 964” และใช้เตรียมรถเพื่อเป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่หลายเดือน ซึ่งแรงบันดาลใจอันเข้มข้นนี้ยังได้ถูกถ่ายทอดสู่คอลเลกชันเสื้อผ้าของแบรนด์ ประกอบไปด้วยเอาท์เตอแวร์หลัก 2 ชิ้นเป็น Hoodie และ Work Jacket บวกกับไอเทมท่อนบนอย่าง Sweatshirt และ
Lotus Cars Limited ค่ายรถสัญชาติอังกฤษเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Lotus Evora สายพันธุ์แรงไซซ์เล็กของค่ายที่มาพร้อมงานดีไซน์ใหม่บางจุดและน้ำหนักเบากว่าเดิม Evora คือรถสปอร์ตที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 ก่อนจะถูกพัฒนาและเริ่มผลิตครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมามีรุ่นรถย่อยออกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Evora S, Evora 400 และ Evora GT จนกระทั่งในปี 2018 โลตัสได้ปล่อย Evora GT410 Sport ลงสู่ตลาด ซึ่งมันได้เสียงตอบรับที่ดีในเรื่องความเร็วและความคล่องตัว แม้ยอดขายจะไม่ได้สูงมากเนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังมองว่ามันไม่เหมาะสมกับการใช้งานประจำวัน เรื่องนี้เป็นเหตุผลทำให้โลตัสต้องการปรับปรุงโมเดล Evora ให้เหมาะกับการขับขี่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความหรูหราและเทคโนโลยีสนับสนุนการขับขี่เข้าไปจนออกมาเป็น Evora GT410 คันนี้ ดีไซน์ภายนอกของ Evora GT410 ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ส่วนใหญ่ที่เคยใช้ใน Evora GT410 Sport ยกเว้นแต่ส่วนกระจกด้านหลังของ Evora GT 410 ที่ใช้เป็นวัสดุกระจกมากขึ้น รวมถึงสปอยเลอร์ดีไซน์ใหม่ ทางด้านยางมาตรฐานติดรถจะเป็น Michelin Pilot
หากพูดถึงรถยนต์รุ่น DeLorean DMC-12 บางคนอาจไม่เคยรู้จัก แต่หลายคนคงรู้ว่านี่คือรถในตำนานที่เท่เหนือกาลเวลา โดยรถระดับตำนานรุ่นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุค 80’s ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้มันกลายเป็นของหายากที่หนุ่ม ๆ ทั่วโลกอยากครอบครอง ตอนนี้มีข่าวว่า DMC-12 เตรียมกลับมาอีกครั้งในปี 2021 ดังนั้นก่อนที่ DeLorean DMC-12 จะกลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนไปทำความรู้จัก Timeless Car คันนี้ไปพร้อมกัน DMC-12 DMC-12 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย DeLorean Motor Company ค่ายรถเมืองลุงแซมที่ John DeLorean เป็นผู้ก่อตั้ง โดย Prototype คันแรกของ DMC-12 ผลิตขึ้นในปี 1976 เป็นงานออกแบบของ Giorgetto Giugiaro นักออกแบบผู้ก่อตั้ง Italdesign สำนักออกแบบรถชื่อดังจากอิตาลี ก่อนต่อยอดพัฒนา Prototype จนกระทั่งปี 1981 DeLorean DMC-12 คันแรกก็ถูกส่งออกสู่ตลาด DeLorean
หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะคอเพลง Metal และ Thrash Metal คงรู้จะรู้เจมส์ เฮตฟิลด์ ฟรอนต์แมนของโคตรวงดนตรีอย่าง Metallica ที่คงไม่ต้องอธิบายให้มากความถึงความสามารถทางดนตรีที่มีอิทธิพลกับผู้คนจำนวนมาก แต่นอกจากความหลงใหลในด้านดนตรีแล้ว หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าป๋าเจมส์ก็เป็นหนึ่งในคนรักรถและนักสะสมรถตัวยง โดยเฉพาะโมเดล Custom ซึ่งวันนี้คอลเลกชันรถส่วนตัวของเขาถูกขนมาจัดแสดงให้ชมกันแล้ว ‘Reclaimed Rust: The James Hetfield Collection’ คือชื่องานจัดแสดงครั้งนี้ซึ่งจะเปิดให้ทุกคนเข้าชมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ งานเกิดจากแนวความคิดของ James Hetfield ผู้หลงใหลในรถยนต์ที่ต้องการแสดงออกถึงพลังด้านศิลปะรถยนต์คลาสสิกหายากและรุ่น Custom จำนวนมาก รถยนต์ในคอลเลกชันประกอบไปด้วย Jaguar Mark IV รุ่นปี 1948 “Black Pearl” และ Packard รุ่นปี 1934 “Aquarius” ต่อด้วยโมเดลสุดเก๋า Buick Skylark รุ่นปี 1953 “skyscraper” และตำนานคลาสสิกอย่าง Lincoln Zephyr รุ่นปี
สำหรับ Car Guys หรือคนที่ชื่นชอบรถยนต์ เราเชื่อว่ารถยนต์ทุกคันล้วนมีเสน่ห์ มีความสวยงาม และเกิดมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของใครบางคนเสมอ วินาทีที่เราได้ยินราคาเปิดตัว 2,490,000 บาท ของ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic (CBU) ในสมองก็เกิดการประมวลผลเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่มีราคาใกล้เคียงกันทันที ไม่ว่าจะเป็น segment ที่ใหญ่กว่าอย่าง C 220d Avantgarde ตัวเริ่มต้น หรือที่ใกล้เคียงกันอย่าง GLA ที่มีพื้นที่เยอะกว่าค่อนข้างมาก หรือ CLA ที่ได้ความหล่ออารมณ์คูเป้ และอีกมากมายจากหลายแบรนด์ ว่า A-class คันนี้จะมีจุดเด่นอะไรให้หลายคนตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของ และทันทีที่เราได้ครอบครองมัน ประสบการณ์ที่ได้สัมผัส A 200 AMG Dynamic มา ก็พบว่ามีจุดเด่นที่น่าประทับใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสดใหม่ หน้าตาภายนอกและภายในที่ออกแบบได้อย่างโดดเด่น หรูหรา สปอร์ต เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า และได้รถยนต์นำเข้าทั้งคันไปขับก่อนใคร ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงเหตุผลบางส่วน แต่ก็มากพอที่จะทำให้ใครหลายคนตัดสินใจครอบครองรถคันนี้ได้ไม่ยาก Mercedes-Benz A-class
ถ้าพูดถึงเรื่องรถยนต์หนุ่ม ๆ ในเมืองไทยคงคุ้นเคยดีกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจำนวนมากที่ได้รับความนิยมในบ้านเรามาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1990 ช่วงเวลาที่มีรถญี่ปุ่นสร้างความยิ่งใหญ่ให้ทั่วโลกรู้จักกับคำว่า JDM Cars JDM ย่อมาจาก Japanese Domestic Market หมายถึงรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตขึ้นมาตามกฎหมายหรือสอดคล้องกับระเบียบรถยนต์และถนนในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถญี่ปุ่นจะถูกยกให้เป็น JDM เพราะรถยนต์ญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ออกแบบเพื่อส่งขายต่างประเทศโดยเฉพาะ เพราะกฎหมายและระเบียบควบคุมเกี่ยวกับรถยนต์ของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป รถหรือชิ้นส่วน JDM ถูกผลิตขึ้นมาภายใต้กฎข้อบังคับที่เข้มงวดซึ่งจะต้องผ่านการทดสอบที่เรียกว่า Shaken (車検) ทำให้รถที่ใช้ภายในประเทศและรถสำหรับส่งออกมีจุดที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าคุณภาพสูงกว่า บ้างก็บอกว่าความสวยงามและความแรงโดยรวมเหนือกว่า ที่แน่ ๆ คือรถเหล่านี้สามารถปรับจูนให้แรงขึ้นด้วยงบประมาณไม่สูงเกินไป คนรักความเร็วทั่วโลกรวมถึงในไทยเองจึงชื่นชอบรถยนต์ JDM ไม่ว่าจะสั่งซื้อเข้ามาทั้งคัน เปลี่ยนอะไหล่หรือทำรถแบบลูกผสมก็แล้วแต่ความชอบและงบประมาณ ยุค 90’s ยังถือเป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวและพัฒนารถยนต์ออกมาจำนวนมาก หลายคันกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยของค่ายโดยปริยาย กลายเป็นยุคสมัยที่นักเลงรถทั่วโลกอยากจะลองของแรงจากแดนอาทิตอุทัยสักครั้งในชีวิต เมื่อบวกกับอายุการใช้งานรถของคนญี่ปุ่นที่ค่อนข้างต่ำและไม่นิยมมีในครอบครองจำนวนมากเกินไป เพราะภาษีและค่าตรวจสภาพรถในญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้มีรถมือ 2 สภาพดีและอะไหล่ JDM จำนวนมากถูกส่งออกไปทั่วทุกมุมโลก แต่ JDM CAR คันไหนถือเป็นที่สุดแห่งยุค 90’s มาย้อนชมโลกรถยนต์ไอคอนิกแห่งยุคสมัยไปพร้อมกัน MAZDA RX-7 เริ่มกันที่ตัวแรงจาก