กีฬาบาสเก็ตบอลเรียกได้ว่ามีส่วนสำคัญต่อหน้าประวัติของสนีกเกอร์ของโลกอย่างมาก เพราะหากว่ากันตามตรงแล้วรองเท้าโมเดลตลอดกาลที่เราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Converse All Star Chuck Taylor , Nike Air Force 1 , Air Jordan Series ล้วนเคยเป็นรองเท้าบาสเก็ตบอลมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาเหล่าแบรนด์ดังมากมายถึงให้ความสำคัญกับการว่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อผลักดันไลน์สินค้านี้ รวมถึงพยายามดึงตัวซุปเปอร์สตาร์ของลีค NBA มาไว้ในมือ เอาที่เห็นภาพชัดที่สุดก็คือ Nike ที่ต้องยอดควักเงินมหาศาลรวมนักกีฬาระดับ MVP ไว้แทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น Lebron James , Kevin Durant , Kylie Irving ,Giannis Antetokounmpo หรือในอดีตอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ผู้ล่วงลับ แต่การที่แบรนด์เหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อดึงนักกีฬาดังไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ สิ่งที่แลกตามมาคือต้นทุนที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับรองเท้าโมเดล Signature รุ่นดังกล่าวจะมีราคาที่สูงขึ้น อย่างต่ำๆ เราต้องเสียเงินให้ค่างวดรองเท้ารุ่นพิเศษไม่ต่ำกว่า $150 (4,500 บาท) ทำให้บรรดาเด็กที่ต้องการจะดำเนินตามไอดอลของเขาไม่มีกำลังซื้อหรืออาจจะต้องไปรบกวนเงินของผู้ปกครอง เพื่อได้ครอบครองรองเท้าคู่ที่ตัวเองต้องการ เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหมือนปมให้กับอดีตนักบอลระดับออลสตาร์คนหนึ่งอย่าง Shaquilie O’neal รู้สึกว่าไม่ได้หละ ทำไมเด็กคนที่มีไอดอลเป็นของตัวเองจะสามารถซื้อรองเท้าที่สวยและราคาถูกไม่ได้ โดยเขาคิดว่าตัวเองต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง กระทั่งมีอยู่วันหนึ่งสมัยที่เขาเล่นอยู่กับทีม Orlando Magic ขณะที่เขาซ้อมเสร็จ เขาได้พบกับแม่คนนึงมายืนร้องไห้ต่อหน้าเขา พร้อมบอกว่าเธอทำให้ลูกชายของเธอเสียใจเพียงเพราะไม่สามารถซื้อรองเท้างี่เง่าของพวกคุณในราคาแสนแพงได้ และด้วยความที่ Shaq เป็นคนที่ค่อนข้างเฟรนลี่และเป็นกันเองกับแฟน ๆ Shaq จึงพยายามให้เงินแก่แม่คนนั้น เพื่อเป็นซื้อรองเท้าให้ลูกเธอ แต่เธอปฎิเสธและบอกฉันไม่ได้ต้องการเงินคุณพร้อมเดินจากไป ปมนี้คือเรื่องในใจของ Shaq ตั้งแต่นั่นมา และเป็นไอเดียที่ว่าอยากจะทำรองเท้าในราคาที่สมเหตุสมผลออกมาขาย ซึ่งในช่วงแรกของอาชีพการเล่นของเขาไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้มากนัก เนื่องจาก Shaq ได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ Reebok ตั้งแต่ปีที่เป็น Rookie แล้วมีสินค้ารุ่นพิเศษของตัวเองรุ่น Attaq ออกมาอยู่ต่อเนื่อง ทว่ารองเท้าไลน์พิเศษของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย และเป็นเหมือนคำสาปสำหรับนักบอลในตำแหน่งเซ็นเตอร์ เพราะไม่ว่าคุณจะดังระดับซุปเปอร์สตาร์อย่าง Kareem Abdul Jabbar หรือ Patrick Ewings แต่รองเท้าของพวกเขาก็จะไม่ได้รับความนิยมเท่ากับผู้เล่นตำแหน่ง ฟาวเวิร์ด์ หรือ การ์ด เช่นเดียวกับ Shaq จนกระทั้งเขาย้ายออกจาก La Lakers ในช่วงกลางๆ การเล่นของเขาที่รองเท้าของเขาจะเริ่มมียอดขายที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ตามเป้าที่ Reebok คาดหวังไว้ ซึ่งมีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า Shaq พยายามนำเสนอโปรเจครองเท้าราคาถูกให้กับทาง Reebok ช่วงก่อนที่เขาจะหมดสัญญา แต่แน่นอนว่าสำหรับ Reebok ที่กำลังตีตลาดสร้างแบรนด์ ต้องมาขายรองเท้าราคาถูก ไอเดียนี้จึงถูกปรับตกอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับยอดขายรองเท้าของ Shaq ก็ไม่ได้ดีพอที่จะมีปากมีเสียงมากนั้น ทั้งคู่จึงบอกเลิกสัญญากันไป และ Shaq ก็เป็นนักกีฬาที่ไม่มี Sponsorship ส่วนตัวใดๆ ในระหว่างนั้นเองเขาก็ได้เจอกับผู้บริหารของ ACI International ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาราคาถูกอย่าง la Gear และอีกมากมาย ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันในไอเดียการสร้างรองเท้าราคาถูกเพื่อทุกคน จึงได้สร้างไลน์สินค้าใหม่ที่เรียกว่า Dunkman และมีสัญลักษณ์เป็นภาพของ Shaq กำลัง Two Hand Dunk ขึ้นมา สำหรับดีไซน์แรกๆ ของ Dunkman เรียกว่าได้ถูกคนวิจารณ์อย่างหนักมาก เนื่องจากมีความคล้ายคลึงหรือแทบจะถอดแบบมาจากรองเท้าสุดฮิตอย่าง Air Jordan เลยก็ว่าได้ แต่ Shaq ก็ไม่ได้สนใจคำวิจารณ์เหล่าเพราะเขาบอกว่าของที่มันดีอยู่แล้วจะไปเปลี่ยนมันทำไม อีกทั้งเขารู้ว่าปนิธานของการทำแบรนด์นี้คืออะไร โดยรองเท้าของ Shaq เรียกได้ว่าสวนทุกกฎการตลาดทั้งหลายเลยก็ว่าได้ เนื่องจากราคาสุดถูกเพียง $35 ( 1,050 บาท ) แต่มีดีไซน์สวยเหมือนรองเท้าราคาแพง แถมมี endorser เป็นระดับผู้เล่น All Star ของลีค ( โดยในขณะนั้น Shaq เพิ่งจะคว้าแหวนแชมป์วงที่สามร่วมกับ La Laker ) อีกทั้งเขาเลือกที่จะวางขายมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่ว่าจะเป็นร้านอย่าง Payless, Walmart และหลายที่ เพียงแค่ปีแรกรองเท้า Dunkman ขายมาก 2 ล้านคู่ เรียกว่ามากที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมดของ NBA แม้ว่าจะราคาถูกแต่เนื่องจากปริมาณที่สูงลิบทำให้ Shaq ได้รับส่วนแบ่งคร่าวๆ ราวๆ $ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ ( 180 ล้านบาท ) เทียบกับค่าจ้างที่เขาได้รับจากทีมในตอนนั้น สำหรับเบื้องหลังความสำเร็จนี้ทาง Matthew Powell นักวิเคราะห์จาก SportsOneSource ได้อธิบายว่ารองเท้าของ Shaq เป็นรองเท้าที่ราคาถูก เด็กสามารถซื้อใส่ไปเรียนหรือเล่นบาสจนทำให้มันพังได้โดยไม่เสียดาย แถมไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนผู้ปกครอง มันง่ายขนาดที่ว่าหากวันนี้เด็กคนนึงลืมนำรองเท้าบาสไป และเขาอยากลงไปเล่นกับเพื่อน เพียงแค่เขาเดินเข้า Payless ซื้อมันออกมาลงสนามเหมือนกับพวกเราซื้อของออกจากร้านสะดวกซื้อเลยก็ว่าได้ ความสำเร็จของ Dunkman ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เพราะว่าในจีนเอง Shaq ก็มีฐานแฟนคลับค่อนข้างมากๆ เนื่องจากเขาเป็นคนที่สนิทสนมกับ Yao Ming เซ็นเตอร์ออลสตาร์ชาวจีน รองเท้าของเขามียอดขายมากกว่า $ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
หากถามว่านักบอลคนใดเก่งที่สุด คำถามนี้พวกเราอาจจะต้องเกาหัวไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะตัวชี้วัดนั้นช่างยากเสียเหลือเกินที่จะเอามาเป็นตัวตัดสิน แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนคำถามเป็นว่า คุณคิดว่านักฟุตบอลคนไหนมีสไตล์เท่ที่สุดในโลก ? เราเชื่อว่าทุกคนต้องพร้อมใจยกให้กับชายที่ David Robert Joseph Beckham เพราะแม้แต่คนที่ไม่เคยดูฟุตบอลเลย ก็ต่างรู้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว แฟชั่น หรือแม้แต่เรื่องราวครอบครัว เรียกได้ว่าอยู่ในสปอร์ตไลท์ตลอดเวลา ซึ่งเราคงไม่สาธยายเล่าความโด่งดังของชายคนนี้อีก เพราะเชื่อว่าทุกคนคงจะเคยทราบประวัติรวมถึงผลงานต่างๆ ของเขาผ่านสื่อหลักต่างๆ มานับไม่ถ้วน แต่วันนี้ UNLOCKMEN จะขอนำ Evolution Style & Look รวมถึงถอดรหัสสไตล์การแต่งตัวของ David Beckham ที่หลายสำนักยกให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ชายที่เท่ตลอดกาล จนกาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย Academy to Pro Player หากย้อนกลับไปช่วงยุค 90s ที่เรียกได้ว่าเป็นยุคทอง David Beckham เริ่มต้นพร้อมๆ กับช่วงเวลาที่เขาได้ออกเดทกับ Victoria Beckham ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน โดยมีการบอกเล่าว่าช่วงเริ่มแรกคนที่ดูแลเรื่องสไตล์การแต่งตัวให้เขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นภรรยาสุดที่รักที่เป็น Stylist ส่วนตัว คอยจัดสรรเสื้อผ้ามาให้เนื่องจาก David Beckham ก็ไม่ต่างจากนักกีฬาคนอื่นที่เน้นใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ อย่าง Tracksuit กางเกงขา Baggy กับเสื้อยืดง่าย ๆ ทว่า Victoria Beckham มักกำชับให้เขาใส่ใจเรื่องเสื้อผ้า เพราะจะมีปาปารัสซี่คอยจับตาอยู่ตลอดเวลา และจะเห็นได้ว่าเสื้อผ้าของทั้งคู่จะไปในแนวทางเดียวกัน The Sophisticated Moto Cafe Racer หลังจากที่เขาย้ายไปใช้ชีวิตใน Los Angeles เราก็เริ่มเห็นว่า Beckham ได้อิทธิพลการแต่งตัวที่เอนไปทาง Biker เล็กน้อย
โลกของสตรีทแวร์เป็นกระแสหลักของแฟชั่นในยุคปัจจุบัน แต่ต้องไม่ลืมว่าเครื่องแต่งกายชายนั้นยังมีโลกคู่ขนานของเสื้อผ้าประเภท Dresswear หรือสูทที่เป็นเครื่องแบบชั้นสูงเพิ่มความภูมิฐานและบุคลิกภาพให้ผู้ชายทุกคนเมื่อสวมใส่ และแม้ว่าเรื่องของสูทจะดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับชายไทยไปเสียบ้าง แต่เมื่อถึงวาระสำคัญ เสื้อสูท Formal นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นไอเทมสำคัญอย่างขาดเสียไม่ได้เลย ถ้าพูดถึงผู้มีอิทธิพลของโลก Dresswear ชายแล้ว คงปฎิเสธชื่อของสองดีไซน์เนอร์ที่กำลังขับเคลื่อนวงการ และทั้งคู่ที่เรากล่าวถึงนี้ดันมีชื่อเรียกที่เหมือนกันนั้นคือ Thom Browne และ Tom Ford Thom Browne และ Tom Ford ถือเป็นแรงบันดาลใจและผู้กำหนดทิศทางและนิยามของคำว่าเสื้อผ้าสุภาพบุรุษที่ใคร ๆ ก็ล้วนอยากมีสไตล์เหมือนกับเขา มีการเปรียบเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ว่าจริง ๆ แล้วแฟชั่นและสไตล์ของใครนั้นเจ๋งและโดดเด่นกว่ากัน ระหว่าง Tom Ford กับ Thom Browne เนื่องจากดีกรีของทั้งคู่ล้วนแต่ไม่ธรรมดา เพราะ Tom Ford ได้รับเลือกให้เป็นผู้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับพยัคฆ์ร้าย 007 : James Bond ยุคของ Daniel Craig รวมถึงภาพยนตร์ Kingsman ที่โดดเด่นในเรื่องของสูทเป็นอย่างมาก ด้านของ Thom Brown เองก็ไม่น้อยหน้า
หลังจากการประกาศพาร์ทเนอร์ชิพอย่างเป็นทางการกับ Marvel Entertainment โอเดอมาร์ ปิเกต์ (Audemars Piguet) แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมแล้วที่จะเผยโฉมนาฬิกาเรือนแรกในซีรีส์นาฬิกาซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล กับนาฬิการุ่น รอยัล โอ๊ค คอนเซปท์ “แบล็ค แพนเธอร์” ฟลายอิ้ง ตูร์บิยอง (Royal Oak Concept “Black Panther” Flying Tourbillon) ลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่ผลิตเพียง 250 เรือน ด้วยแรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกาจากคาแรคเตอร์ในตำนานเพื่อยกย่องซูเปอร์ฮีโร่เจเนอเรชันใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก จึงเป็นที่มาให้โอเดอมาร์ ปิเกต์เลือกความแข็งแกร่งและทรงพลังของตัวละครในจักรวาลมาร์เวล และเลือกเปิดตัวนาฬิกาเรือนแรกด้วยคาแรคเตอร์ที่มีความเชื่อมโยงกับโอเดอมาร์ ปิเกต์ อย่าง แบล็ค แพนเธอร์ (Black Panther) ที่ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ของครอบครัว รวมไปถึงการผสมผสานระหว่างขนบธรรมเนียมดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากันอย่างลงตัว ในการสร้างสรรค์นาฬิการอยัล โอ๊ค คอนเซปท์ “แบล็ค แพนเธอร์” ฟลายอิ้ง ตูร์บิยอง นั้น โอเดอมาร์ ปิเกต์ ได้เน้นถึงรากฐานของแบรนด์ทั้งในด้านความพิถีพิถันของงานฝีมือแบบดั้งเดิมและความล้ำสมัยของเทคโนโลยีแห่งอนาคต กลั่นเอาความคิดสร้างสรรค์ที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ กลายเป็นนาฬิกาที่มีกลไกอันซับซ้อน นาฬิกาขนาดหน้าปัด
ช่วงหลังเราได้เห็นความเคลื่อนไหวของ The North Face ที่น่าสนใจออกมาหลาย collection ซึ่งมีจุดเด่นทั้งดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งาน และสำหรับ item ที่เราอยากเลือกมานำเสนอชิ้นนี้ก็น่าประทับใจเช่นกัน เป็นผลงานจาก The North Face Japan สำหรับคุณพ่อคุณแม่นักผจญภัยที่มีลูกโดยเฉพาะ The North Face maternity line “MTY Pickapack Rain Coat” เป็นเสื้อกันฝนที่ใส่ได้ทั้งชายและหญิง (genderless) โดยจะออกแบบให้หลวม Oversize ผลิตจากผ้า Hyvent fabric ของ North Face ที่ทั้งกันน้ำและระบายอากาศได้ดี เหมาะกับใส่รับมือฝน หิมะ และความชื้น จึงเหมาะกับการใส่ลุยทุกกิจกรรมอย่างมีสไตล์ แต่ที่เจ๋งสุดจนเราอยากแนะนำคือมี weatherproof pocket ที่เป็น separate zipper สามารถติดเพิ่มเข้าไปในชุดได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มฟังก์ชันใส่สัมภาระ และยังใช้เป็น baby carrier สำหรับใส่อุ้มเด็กเล็กไปผจญภัยด้วยกันได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศ ดูดี มีประโยชน์ แถมยังช่วยผ่อนแรงพ่อแม่ได้อีกด้วย
เมื่อพูดถึงเรือนเวลาคุณภาพสูงที่สะท้อนจิตวิญญาณอเมริกันออกมาได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่า Hamilton แบรนด์นาฬิกาซึ่งก่อตั้งขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1892 คือชื่อแรกที่ผู้หลงใหลในเรือนเวลาต่างนึกถึง กับชื่อเสียงเรื่องมาตรฐานการบอกเวลาที่แม่นยำ พร้อมเสน่ห์ของการผสานจิตวิญญาณแห่งความเป็นอเมริกันเข้ากับความเที่ยงตรงตามแบบฉบับของนาฬิกาสัญชาติสวิส จนได้รับความไว้วางใจให้มีบทบาทในช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์การบินมาอย่างยาวนาน ด้วยเกียรติประวัติการได้รับเลือกให้เป็นนาฬิกาที่ใช้งานบอกเวลาอย่างเป็นทางการของเที่ยวบินไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในความสำเร็จของเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในเส้นทางการบินเชื่อมระหว่างสองชายฝั่งของสหรัฐฯ นอกจากภาพลักษณ์ของเรือนเวลาที่เกี่ยวข้องกับวงการการบินอย่างแนบแน่น นาฬิกา Hamilton ยังได้รับการขนานนามให้เป็น The Movie Brand ที่สะท้อนภาพวัฒนธรรมความเท่แบบคลาสสิกสไตล์อเมริกันสู่สายตาชาวโลกได้อย่างน่าประทับใจ ยืนยันได้จากการที่นาฬิกาหลายต่อหลายรุ่นของ Hamilton ได้ไปอวดโฉมอยู่ในภาพยนตร์ Hollywood ระดับ Blockbuster มาแล้วมากมายกว่า 500 เรื่อง และต้องบอกว่าหนึ่งในเรือนเวลายอดนิยมตลอดกาลจาก Hamilton ที่บรรดาผู้นิยมในสไตล์ American Classic ต่างโปรดปราน คือตำนานนาฬิกา Chronograph ชื่อเรียบง่าย ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน 2 รุ่นอย่าง Chronograph A และ Chronograph B ซึ่งหลายคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อ Hamilton Panda และ Hamilton Reverse Panda
สองแบรนด์ที่เข้าใจคนเมือง Freitag กระเป๋าที่ recycle จากผ้า canvas กับดีไซน์สุดเท่แบบลายนี้มีชิ้นเดียวในโลก จับมือกับ Brompton แบรนด์จักรยานพับได้จาก London ร่วมมือกันสร้างสรรค์ collection ที่เข้ากันและสามารถติดตั้งในจักรยานได้ จึงต้องนับว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจสำหรับสาวก Freitag ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย หลายคนน่าจะรู้จัก Freitag อยู่แล้วในฐานะกระเป๋าดีไซน์เก๋แถมยัง eco friendly จากการดีไซน์ที่ใช้ผ้าคลุมรถบรรทุกมาออกแบบทำให้ทุกใบมีเพียงชิ้นเดียวในโลก กับกระเป๋าทรงใหม่ที่ออกแบบร่วมกับ Brompton folding bike ให้โดนใจคนเมืองที่นิยมเดินทางด้วยจักรยานพับได้ และสามารถติดตั้งเข้าไปในจักรยานเหนือบังโคลนหน้าได้อย่างลงตัว แถมยังเลือกปรับตำแหน่งได้อย่างละเอียดตามความเหมาะสม แก้ปัญหาไม่มีช่องของบนจักรยานได้ ช่วยให้การเดินทางในเมืองหลวงที่วุ่นวายทำได้ง่ายขึ้น FREITAG x Brompton เป็น collection ที่ผลิตมาคู่กันในจำนวนจำกัด ใครสนใจสามารถเข้าไปดูและสั่งซื้อได้ที่ https://www.freitag.ch/en
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าช่วงนี้กระแสของเหล่าแก๊งมาเฟียกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวรองหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเพิ่งออกจากคุกมาหมาด ๆ หรือภาพยนตร์มาเฟียเรื่อง The Irishman ของผู้กำกับดังออกฉายพร้อมกวาดรางวัลจากเวทีไปแล้วนับไม่ถ้วน ไปจนถึงเรื่องราวของแก๊งนักเลงปลายแถวจากย่านเบอร์มิงแฮมของเกาะอังกฤษที่นำมาสร้างเป็นซีรีส์เรื่อง Peaky Blinders ทั้งหมดสามารถโหมกระแสโลกผู้ชายให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาเล่าถึงเรื่องราวในซีรีส์ของ Peaky Blinders แต่เน้นการเจาะลึกด้านแฟชั่นอันโดดเด่นของ Thomas Shelby กับชาวแก๊งของเขาว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมสั้นเกรียนเกือบทั้งหัว เสื้อโค้ตยาว หมวกรุ่นคุณปู่แสนเชย และมวนบุหรี่ถึงเท่มากเมื่ออยู่ในหนังเรื่องนี้ WHAT IS ‘PEAKY BLINDERS’ ? ย้อนกลับไปในเกาะอังกฤษคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาแห่งรอยต่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ใครหลายคนไม่คาดคิดว่าโลกจะกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง อังกฤษกำลังเจริญทางด้านอุตสาหกรรมแบบสุด ๆ แต่กลับไม่ใช่ทุกคนจะร่ำรวย ยังมีคนตกงานจำนวนมาก ชนชั้นแรงงานทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินจำนวนน้อยนิด เกิดอาชญากรรมบ่อยครั้งในย่านที่ไม่ค่อยได้รับการใส่ใจ Peaky Blinders เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในชีวิตจริงพวกเขาเป็นแก๊งอันธพาลเล็ก ๆ ในเมืองเบอร์มิงแฮม สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นเยาวชนแต่งตัวจัดจ้าน จากคำบอกเล่าของผู้คนบอกว่า ชาวแก๊งบางคนมีแต่กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง เดินเตร่ไปมาบนถนน ไม่ได้มีอำนาจล้นมือมากขนาดนั้น
แม้ว่ากระแสโควิดจะยังระบาดไปทั่วโลก ชะลอเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักไปตาม ๆ กัน แต่ทว่ากระแสเทรนด์แฟชั่นไม่ได้นิ่งหยุดตาม เพราะในโลกแห่งการแต่งตัวยังคงหมุนตัวไปยังรวดเร็วต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เสียด้วย ซึ่งเทรนด์แฟชั่นที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศประจำปี 2021 ยังคงเป็นเทรนด์ที่ฮิตต่อเนื่องมาจากปี 2020 นั้นคือ Utility ที่เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่าง ทั้งแฟชั่นญี่ปุ่นและยุโรป จนเกิดเป็นสไตล์ใหม่ สำหรับจุดสำคัญคือการที่ไอเทมเหล่านั้นจำเป็นจะต้องมีกระเป๋าอเนกประสงค์ให้เลือกใช้งาน เน้นความเรียบหรูไม่จำเป็นจะต้องมีลวดลายที่เยอะแยะให้ดูรกตา สำหรับสไตล์ Utility นั้นคือเสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันเป็นหลัก โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ที่เราเห็นบ่อย ๆ คือเสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องแบบทหาร (Military) เนื่องจากเสื้อผ้าเหล่านี้คือเสื้อผ้าฟังก์ชันที่มีช่องกระเป๋าให้เก็บของมากมายเต็มไปหมด และสีสันส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง Earth Tone ที่ดูสบายตาย ไม่ฉูดฉาดตา หากจะบอกว่าสไตล์นี้ฮิตขนาดไหน เพราะตั้งแต่แบรนด์บนรันเวย์อย่าง Louis Vuitton , Alyx ไปจนถึงสตรีทอย่าง Engineered Garments , Beams , Stussy ล้วนต้องมีลุค หรือไอเทมที่สอดคล้องกับแนว Utilitty สำหรับ Must Item
ฮิปฮอปกับแฟชั่นถือเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ละยุคก็จะมีไอคอนที่แตกต่างกันออกไป เราเติบโตมากับ Run DMC ที่คนต้องหาหมวก Bucket มาใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง หรือแม้แต่ยุค Air Force 1 ที่ Jay-Z หรือ Nelly ใส่ใน Music Video ช่วงยุค 2000 จนมาถึงปรากฎการณ์ Yeezy ของ Kanye West ที่ทำให้สตรีทแฟชั่นการเป็นเรื่องของทุกคน แต่หากพูดถึงไอคอนของเด็กยุคนี้คงไม่มีใครโดดเด่นเกินหน้าเกินตาของ Jacques Bermon Webster II หรือ Travis Scott ย้อนกลับปี 2013 คือจุดเริ่มต้นของ Travis Scott ที่ออกสู่สายตาประชาชนเป็นครั้งแรกจากมิกซ์เทป Owl Pharaoh ก่อนจะปล่อยอัลบั้มเต็มในเวลาต่อมา สร้างความสนใจให้กับบรรดาแฟนๆ ฮิปฮอปที่ได้ดาวรุ่งดวงใหม่ประดับวงการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตัว โชว์การแสดงสด หรือแม้แต่แนวดนตรี ที่เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากอาจารย์ Kanye West ซึ่งเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และไม่ได้อินเทรนด์เหมือนเดิม Travis Scott