Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือน เช่นเดียวกับนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ 3 โมเดลที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นลิมิเต็ดเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4308 ซึ่งเป็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง (Selfwinding) ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ อีกทั้งยังใช้ระบบถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตนเอง พร้อมดีไซน์หน้าปัดที่ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะบนบกหรือใต้น้ำ กลไกที่พร้อมสำหรับทุกการผจญภัย นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมการแสดงวินาทีและการแสดงวันที่แบบ Instant-Jump คาลิเบอร์ 4308 ถูกติดตั้งพร้อมกลไกที่ช่วยมอบเสถียรภาพและความแม่นยำเมื่อปรับฟังก์ชันของนาฬิกา สเกลเวลาการดำน้ำที่แสดงอยู่บนวงแหวนด้านในที่สามารถหมุนได้ของหน้าปัดสามารถเปิดใช้งานด้วยกลไกการคลิกแบบทิศทางเดียวที่ถูกติดตั้งให้เชื่อมกับเม็ดมะยมตรงที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ฝาหลังแซฟไฟร์เผยให้เห็นเทคนิคการตกแต่งสุดประณีตของคาลิเบอร์ 4308 ไม่ว่าจะเป็นลาย โกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) เทคนิคเทรตส์ ทิเรส์
เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาทั้งหลายที่ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ไม่จำเจ คงคุ้นเคยกับชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องราคาที่สามารถจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ALBA นั้นถือเป็นแบรนด์น้อง ที่รวมพลังร่วมบุกตลาดในไทย ยืนหยัดเคียงข้างแบรนด์พี่ใหญ่อย่าง SEIKO มายาวนาน ล่าสุดในปี 2021 นี้ ทาง ALBA ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product โดยเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และในวันนี้เราได้คัดเลือกเรือนเวลา 5 โมเดลใหม่ที่น่าสนใจจาก ALBA มาอวดโฉมความเท่ ให้ชาว UNLOCKMEN ได้สัมผัส และทำความรู้จักกับจุดเด่นของทั้ง 5 เรือนนี้ ที่พร้อมประทับลงบนข้อมือในฐานะไอเทมบอกเวลาคู่ใจซึ่งช่วยอัพความเท่ให้กับคุณได้ในทุกสถานการณ์ เริ่มต้นที่เรือนแรกซึ่งต้องบอกเลยว่าใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา กับความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัวกับ ALBA Automatic รุ่น AL4185X ตัวท็อปแห่งเรือนเวลาดีไซน์สปอร์ตขับเคลื่อนด้วยระบบออโตเมติก มาพร้อมหน้าปัดซันเรย์สีน้ำเงิน มีหลักชั่วโมงแบบพรายน้ำเหลือบทอง
ช่วงนี้เรากำลังนิยมนาฬิกาดีไซน์ย้อนยุคที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่พร้อมใส่เทคโนโลยีทันสมัยเข้าไป มันให้ฟีลลิ่งความสนุกสนานที่แตกต่างไม่ซ้ำใคร หลังจากเปิดตัว Pac-man x A100WEPC ไปก่อนหน้านี้ ล่าสุด Casio ก็ตอกย้ำกระแสความ Vintage อีกครั้งด้วยการนำ “F-100” ที่โด่งดังในปี 1978 มานำเสนอใน collection ล่าสุด “A100” หน้าปัดทรงเหลี่ยมจอดิจิทัลที่หลายคนคุ้นตาตั้งแต่วัยเด็ก หากใครเกิดไม่ทันยุค ’70s นาฬิกา Casio F-100 ในยุคนั้นเปิดตัวมาอย่างอลังการ ได้รับความนิยมอย่างสูงด้วยความแตกต่างของ resin case น้ำหนักเบา เป็นนาฬิกา digital ที่ล้ำสุด ๆ ในยุคนั้นก็ว่าได้ มันเข้าถึงภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่อย่าง Alien (1979) ที่ Ridley Scott นำ F-100 2 เรือนมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ดูล้ำหน้าเหมาะกับยุคอวกาศในบทภาพยนตร์ ก็ยิ่งดันให้มันดังเปรี้ยงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว Casio Vintage A100 Series นำความคลาสสิคของ F-100 นาฬิกาหน้าจอดิจิทัลระดับ Iconic ให้กลับมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘SEIKO (ไซโก)’ คำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “นาที” “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำคุ้นหูที่หลายคนรู้จักในฐานะชื่อแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากชื่อเสียงที่ชาวไทยคุ้นเคย ในระดับโลก SEIKO ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์วงการนาฬิกามาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาควอตซ์จนทำให้เกิดยุค Quartz Crisis และเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำไทเทเนียมรุ่นแรกของโลก รวมถึงนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย จากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ SEIKO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ผลักดันให้ SEIKO ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็น House of Watchmaking ที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยโดยช่างผู้ชำนาญการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของนาฬิกา ภายใต้คติ Keep Going Forward ซึ่งหมายถึงการไม่หยุดพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ที่ SEIKO ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น ซึ่งพวกเราชาวไทยที่เป็นสาวก SEIKO มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกน่าจะรู้กันดีว่าช่วงเวลานี้ถือเป็น “ช่วงเวลาพิเศษ” ของไซโก
เมื่อได้มองดูภูมิทัศน์อันงดงามและเงียบสงบของโลกใบนี้เรามักจะลืมตระหนักไปว่า จุดเริ่มต้นของดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกได้กำเนิดจากพลังอันมหาศาล ที่รุนแรงและยากยิ่งต่อการดำรงชีวิต อีกครั้งที่ Azimuth ได้ใช้จินตนาการพาเราท่องไปยังอดีตกาลซึ่งเป็นปฐมบทของโลกใบนี้ ณ สถานที่ ที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟและลาวาอันร้อนระอุ ผ่านยานสุดแกร่งชื่อ SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND 2021 SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND เป็นผลผลิตจากความหลงใหลที่ดำเนินมาอย่างยาวนานระหว่าง Azimuth และโลกแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ ความหลงใหลเหล่านี้ก่อให้เกิดคอลเลกชันที่โดดเด่นของแบรนด์ อาทิ Mr. Roboto, Spaceship และ Twin Turbo SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND ได้รับการผสมผสานระหว่างการขึ้นรูปตัวเรือนที่ล้ำยุค การเคลือบวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์ และการออกแบบที่ล้ำหน้า เป็นทายาทโดยตรงของคอลเลกชัน Spaceship คอลเลกชันยอดนิยมของ Azimuth ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสุนทรียศาสตร์ในการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยานอวกาศ แสดงเวลาด้วยเข็มชั่วโมงแบบกระโดดอันชาญฉลาด และมีสไตล์ด้วยเข็มนาทีแบบกว้าง รูปลักษณ์ที่โดดเด่นของ SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ค็อกพิทนักบิน” แสดงถึงจิตวิญญาณแห่งการประดิษฐ์ที่แน่วแน่ของ Azimuth ตัวเรือนสองส่วนออกแบบด้วยแคปซูลด้านในและแชสซีด้านนอก ทำการสลักโครงสร้างตัวเรือนแบบโมดูลาร์
บาสเกตบอลถือเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนวงการสตรีทแฟชั่นมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นการก่อกําเนิดรองเท้า Iconic มากมาย เช่น Converse All Star Chuck Taylor, ซีรีส์ Air Jordan, Air Force 1 หรือ สงครามเกมการตลาดของแบรนด์ใหญ่ที่ฟาดฟันพัดเปลี่ยนกันมาอย่างต่อเนื่องทั้งฝั่งยุโรป Reebok, Adidas หรือแบรนด์ในอเมริกาอย่าง Nike, Under Armor แม้กระทั่งจีนเองก็ส่งแบรนด์อย่าง Anta หรือ Li-Ning เพื่อมากอบโกยส่วนแบ่งจากตลาดนี้ นอกเหนือจากวัฒนธรรมรองเท้าที่เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับกีฬาบาสเกตบอล ตัวนักกีฬาเองก็กลายมาเป็นสปอร์ตไลท์และมีสถานะไม่ต่างจากดาราซุปเปอร์สตาร์ เพราะนักกีฬา NBA ส่วนใหญ่นั้นมีไลฟ์สไตล์ที่หรูหราหวือหวา และถูกบรรดาสื่อมวลชนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แต่จากบรรดาผู้เล่นมากมายกว่าหลายพันคนจากอดีตถึงปัจจุบัน มีนักบาสเกตบอลอยู่คนหนึ่งที่โดดเด่นทั้งในเรื่องฝืมือ สไตล์ พฤติกรรมสุดโต่ง ความติสท์อินดี้ที่แม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาผู้เล่นคนไหนมาทาบรัศมีได้ ชายคนนั้นก็คือ Dennis Rodman หรือที่แฟน ๆ บาสเกตบอลจดจําเขาในฉายา “The Worm” Dennis Rodman ถือเป็นนักกีฬาระดับออลสตาร์ที่มีสไตล์การเล่นเกมรับอันดุดันโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของยุค 90s และได้รับเครดิตอย่างมากในช่วงเวลาที่จับมือรวมพลังกับ
เชื่อว่าผู้หลงใหลในเรือนเวลาทั้งหลาย น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก ‘Captain Cook’ อีกหนึ่งซีรีส์ระดับ Masterpiece ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ RADO มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1962 ซึ่งล่าสุดความคลาสสิกจากอดีต และความล้ำสมัยด้านนวัตกรรมวัสดุ รวมถึงกลไกบอกเวลาคุณภาพสูง ได้ถูกนำมากล่าวขานเป็นตำนานบทใหม่กับเรือนเวลาสุดพิเศษอย่าง RADO Captain Cook High-Tech Ceramic ที่รวบรวมทุกความเจ๋งของ RADO เข้าไว้ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่นวัตกรรมซึ่งถือเป็น DNA ของผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุอย่าง RADO กับโครงสร้างตัวเรือนที่ใช้วัสดุ High-Tech Ceramic ชิ้นเดียวที่มีคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนและอาการแพ้ อีกทั้งขับเคลื่อนโดยกลไกออโตเมติก Cal.R734 ความถี่การทำงาน 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้สูงสุด 80 ชั่วโมง ปกป้องการรบกวนของสนามแม่เหล็กรอบตัวด้วยแฮร์สปริง Nivachron™ พร้อมถ่ายทอดความสวยงามของจักรกลให้ผู้สวมใส่ได้ยลโฉมเป็นสุนทรียภาพทางสายตา ด้วยหน้าปัด Skeleton และฝาหลังไทเทเนียมกรุแผ่นกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ เผยให้เห็นการทำงานของกลไกภายในอย่างชัดเจน นอกจากนี้เรื่องราวการเดินทางแห่งท้องทะเล ที่ถูกนำเสนอผ่านรูปแบบของ Diver Watch มาอย่างยาวนาน ยังได้ถูกตีความใหม่ใน RADO Captain Cook High-Tech
มหกรรมกีฬาโอลิมปิก คือการแข่งขันกีฬาที่มีความสำคัญมากที่สุดในโลก ถ้านับตั้งแต่การแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกที่จัดขึ้นใน Los Angeles ปี 1932 จนถึงปัจจุบัน จะมีการจัดไปแล้วทั้งหมด 28 ครั้ง และในวันที่ 23 กรกฎาคม ที่กำลังจะถึงนี้ ก็จะถึงช่วงเวลาสำคัญที่คนทั้งโลกเฝ้ารอคอย การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 29 “Olympic Games Tokyo 2020 “ ตลอด 90 ปีที่ผ่านมาของกีฬาโอลิมปิก มีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากมาย โดยเฉพาะสถิติโลกที่นักกีฬาทั่วโลกต่างพยายามจะทำลายมันลงในทุกการแข่งขัน กีฬาประเภทใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้าไปในแต่ละปี และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการตัดสินที่แม่นยำมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือการเป็น Olympic Games Official Timekeeper ของ OMEGA ผู้จับเวลาตัดสินอย่างเป็นทางการของการแข่งขันระดับโลก ที่ต้องใช้ความแม่นยำระดับ Microsecond เพราะในโลกของการแข่งขันสำหรับนักกีฬาที่ทุ่มเทฝึกซ้อมมาหลายปีเพื่อเวทีแห่งนี้ ความเที่ยงตรงแม้ 1 ใน 1,000,000 วินาที ก็มีความสำคัญอย่างมากเพื่อการตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ และเพื่อเป็นสักขีพยานยืนยันการทำลายสถิติที่คนทั้งโลกต้องจดจำ ไม่ใช่แค่ความแม่นยำ OMEGA ยังแนะนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ ๆ
ถือเป็นก้าวใหม่ของการสั่งตัดสูท วันนี้เราสามารถวัดตัวได้ผ่านทางออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้คน และไม่ใช่แค่สูท แต่รวมถึงเสื้อเชิ้ต กางเกง ไม่จำเป็นต้องมีสายวัดก็วัดตัวได้อย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยีการตัดสูทออนไลน์ครั้งแรกของ “SUITCUBE AI” “SUITCUBE AI” ใช่แล้วครับ คุณอ่านไม่ผิด นี่คือครั้งแรกกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก SUITCUBE ที่คิดค้นนวัตกรรมตัดสูทออนไลน์ได้เลยผ่านหน้าจอ Smartphone โดยที่เราไม่ต้องเดินทางไปวัดตัวที่ร้านให้เสียเวลา ช่วยแก้ปัญหาคนที่ต้องใช้สูท แต่ก็อยากจะ Social Distancing จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โดยใช้เวลาในการวัดตัวผ่าน SUITCUBE AI เพียงไม่ถึง 5 นาที (ระยะเวลาจากที่เราลองใช้งาน) ที่เหลือก็นั่งรอชุดสูทส่งมาภายใน 7 – 10 วันทำการ ในราคาที่ไม่แพง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการเดินทางไปตัดที่ร้าน ตัดสูทออนไลน์ทาง SUITCUBE AI มีครอบคลุมครบทุกความต้องการโดยผสมผสานรายละเอียดที่เข้ากันมากที่สุด ตั้งแต่สูท Single Breasted สูทกระดุมแถวเดียว เลือกได้ทั้งแบบ 1, 2 หรือ 3 กระดุม) และสูท Double Breasted สูทกระดุมสองแถวแบบ
เริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับมหกรรมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ “ยูโร 2021” ที่ได้ฤกษ์หวดแข้งกันหลังจากเลื่อนมา 1 ปีเต็มเนื่องจากการระบาดของโควิด 19 ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมาก เพราะจริง ๆ แล้วความพิเศษในฟุตบอลยูโรครั้งนี้คือการฉลองครบรอบ 60 ปีรายการลูกหนังยุโรป ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แข่งแบบไร้เจ้าภาพ ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องเวียนสนามไปทั่วยุโรปในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันตามคอนเซ็ปต์ Romantic of Europe นอกเหนือจากเรื่องราวในสนามที่กำลังดุเด็ดเผ็ดมันส์แล้ว ยูโรครั้งนี้ก็ยังมีเกร็ดความน่าสนใจนอกสนามที่พวกเราไม่ควรพลาด เพราะสายตาของสื่อทั่วโลกต่างล้วนจับจ้องไปที่ยูโร 2021 ทำให้เราได้เห็นอิริยาบถต่าง ๆ ทำให้เห็นว่านักฟุตบอลต่างประเทศวันนี้มีสไตล์การแต่งกายที่เฉียบคม ไม่ต่างจากกูรูแฟชั่นดีไซน์เนอร์ วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูไอเดียการแต่งตัวของยอดดาวเตะจากมหกรรมฟุตบอลระดับโลกนี้กัน รับรองว่าจะต้องมีสไตล์ที่เราสามารถยืมไปปรับใช้ให้การแต่งตัวไม่น่าเบื่อได้อย่างแน่นอน สำหรับคนที่แต่ง Dresswear ได้เท่ที่สุดในสายตาเรา ต้องยกให้กับ Gareth Southgate โค้ชทีมชาติ England ที่พกสไตล์การแต่งตัวแบบผู้ดีอังกฤษในลุคสูทสุดเนี้ยบ ที่แม้ว่ารอบนี้อาจจะไม่โดดเด่นเท่าฟุตบอลโลกที่ Russia ปี 2018 ไม่ได้ ตอนนั้น Southgate มาในชุด 3-piece suit tailored Waistcoat ที่เนี้ยบยันรองเท้า ภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยความคลาสสิคแบบ English